ขณะเดียวกันพัดชาที่ขึ้นมานั่งอยู่บนคาคบของกระท้อนต้นใหญ่เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ก็เริ่มนั่งขยุกขยิกอยู่ไม่สุข เพราะถูกเจ้าถิ่นอย่างมดแดงรังควานอย่างหนัก จนต้องสังหารไปเสียหลายตัว ก่อนจะสะดุ้งเฮือกจนเกือบพลัดตกลงไปด้านล่าง เมื่อได้ยินเสียงเรียกไม่คุ้นหูที่ดังอยู่ใต้ต้น
“ไอ้หนู ขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้น เดี๋ยวก็ตกลงมาขาแข้งหักหรอก”
คนถูกเรียกว่าไอ้หนูเลยลืมมดแดงไปชั่วขณะ เมื่อก้มลงไปมองก็เห็นชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบสีขาว ที่น่าจะอายุมากกว่าเธอหลายปียืนอยู่ ซ้ำร้ายยังตาถั่วเห็นเธอเป็นเด็กผู้ชายเสียอีก จึงนึกฉุนระคนขุ่นเคืองเลยหันไปบี้มดแดงที่กำลังกัดแขนเธอจนแดดิ้น ก่อนจะเชิดหน้าปีนขึ้นไปยังกิ่งที่มีกระท้อนลูกที่หมายตา เลิกสนใจคนแปลกหน้าทั้งสอง
“เฮ้ย! ไอ้หนู ไหนๆ ก็อยู่บนนั้นแล้ว เก็บกระท้อนส่งลงมาให้พี่สักสองสามลูกสิ” ฉัตรพงษ์ที่ยืนอยู่ใต้ต้นตะโกนบอกเสียงดัง
คนอยู่บนต้นกระท้อนนิ่งไปชั่วครู่ ผุดยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ากระท้อนลูกโต บิดจากขั้วแล้วโยนลงไปข้างล่างตามที่ถูกขอทันที
“เฮ้ย! ค่อยๆ สิไอ้หนู โยนลงมาแบบนี้เกิดหัวแตกขึ้นมาจะทำไง”
เสียงตะโกนที่ดังโหวกเหวกช่วยให้อารมณ์ฉุนๆ ระคนขุ่นเคืองของเด็กหญิงค่อยคลายลง นึกสมน้ำหน้า ก็ให้เธอโยนลงไปเองนี่นา ถ้าไม่รู้จักหลบจะมาโทษกันได้อย่างไร
“กระท้อนลูกแค่นี้ไม่ถึงกับหัวแตกหรอกน่า”
เสียงใสแจ๋วของคนที่อยู่บนต้นกระท้อนทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มที่เกือบจะถูกกระท้อนลูกโตหล่นใส่ศีรษะ ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง พลันคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่เชื่อสายตา
“อ้าว เด็กผู้หญิงนี่หว่า”
ฉัตรพงษ์เองก็มีอาการไม่ต่างกัน “นั่นสิวะ ตอนแรกคิดว่าเป็นเด็กผู้ชาย แต่เด็กผู้หญิงอะไรซุกซนอย่างนี้ ไม่กลัวตกลงมาขาแห้งหักบ้างหรือไงนะ”
พัดชาที่ได้ยินชายหนุ่มทั้งคู่พูดถึงตัวเอง ก็นึกหัวเราะเยาะคนพูด คนปีนต้นไม้เก่งกาจเช่นเธอน่ะหรือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพลาดท่า เดี๋ยวจะแสดงให้ดูเป็นขวัญตา ว่าแล้วก็ไต่ลงจากคาคบที่ตัวเองนั่ง ทว่าเป็นเพราะอยากจะลบคำสบประมาทมากไปหน่อย เลยขาดความระมัดระวังจนพลาดเหยียบกิ่งผุเข้า ทำให้ร่างผอมบางเสียหลักหล่นตุ้บลงไปนอนแอ้งแม้งตรงหน้าชายทั้งคู่พอดิบพอดี
“เฮ้ย! อะไรกันวะ” เสียงอุทานดังมาจากชายหนุ่มทั้งคู่ ที่จู่ๆ ก็เห็นเด็กผู้หญิงซึ่งส่งเสียงแจ๋วๆ อยู่บนต้นกระท้อนหล่นตุ้บลงมาตรงหน้า
“โอ๊ย!!”
เสียงร้องที่ดังตามมาติดๆ จากเจ้าของร่างผอมบางซึ่งหล่นตุ้บลงมา และที่ร้องโอดโอยก็ไม่ใช่เพราะเจ็บที่หล่นลงมาแต่อย่างใด ด้วยกิ่งผุที่เหยียบนั้นไม่ได้สูงจากพื้นนัก แต่เป็นเพราะถูกมดแดงซึ่งไต่อยู่บนพื้นกัดต่างหาก
“เจ็บตรงไหนบ้างหนู” ฉัตรพงษ์ถามด้วยความเป็นห่วง
คนถูกถามรู้สึกเสียหน้า เมื่อลุกขึ้นได้จึงใช้เท้ากระทืบมดแดงบนพื้นดับอารมณ์โมโห
“คงไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกมั้งไอ้ฉัตร ยังลุกขึ้นกระทืบมดแดงได้นี่หว่า”
หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์พูดด้วยน้ำเสียงเจือความขบขัน เมื่อเห็นเด็กหญิงที่เพิ่งตกจากต้นไม้ลุกขึ้นมากระทืบมดแดงเป็นพัลวัน “เด็กผู้หญิงอะไรปีนต้นไม้ ซนอย่างกับเด็กผู้ชาย”
คนถูกหาว่าซนอย่างกับเด็กผู้ชายมองหน้าคนพูด แล้วถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เด็กผู้หญิงปีนต้นไม้ผิดตรงไหนไม่ทราบ”
“แน่ะ ว่าแล้วยังจะเถียงอีก”
คุณชายณุกอดอกพลางกวาดตาคมกริบมองเด็กผู้หญิงผอมสูงตรงหน้า ที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวของตนอย่างแปลกใจระคนสงสัย เพราะจากคำพูดคำจาฉะฉานไม่น่าจะใช่ลูกสาวชาวบ้านทั่วๆ ไป หน้าตาก็ดีทีเดียว เสียแต่ผิวคล้ำไปหน่อยเท่านั้น และที่เข้าใจว่าเป็นเด็กผู้ชายก็เพราะหมวกแก๊ปบนศีรษะเล็กๆ นั่นเอง
“ตกลงเจ็บตรงไหนบ้าง”
ฉัตรพงษ์ถามย้ำพลางเก็บกระท้อนสีเหลืองลูกโตขึ้นมาจากพื้น แล้วก็น้ำลายสอนึกอยากกินขึ้นมาทันใด
“ไม่เจ็บหรอก ตกต้นไม้แค่นี้เอง”
คนตกต้นไม้พูดอย่างไม่ยี่หระ ทั้งที่ความจริงจะว่าไม่เจ็บเลยก็คงไม่ถูกต้องนัก เธอเจ็บตรงก้นบ้างแต่ไม่มาก ถ้าใต้ต้นไม่มีใบไม้แห้งทับถมรองรับเอาไว้ละก็ คาดว่าคงจะเจ็บมากกว่านี้ แต่เรื่องอะไรจะแสดงอาการให้เห็นเล่า จะได้ถูกหัวเราะเยาะปะไร โดยเฉพาะจากผู้ชายตัวสูงที่ยืนกอดอกยิ้มนิดๆ เหมือนกำลังยิ้มเยาะเธอนั่นละ
“แล้วเราน่ะชื่ออะไร บ้านอยู่แถวนี้หรือไง” คนยืนกอดอกถาม
คนถูกถามเม้มปากแน่นด้วยไม่อยากจะบอกชื่อตัวเองแก่คนแปลกหน้า แต่ถ้าทำอย่างนั้นอีกฝ่ายก็จะหาว่าเธอไม่มีมารยาทอีก จึงบอกออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
“ชื่อพัดชา บ้านอยู่ตรงโน้น” คนพูดชี้ไปยังเรือนหลังสีขาว พลางถอดหมวกที่สวมออก เผยให้เห็นผมดำขลับที่ถูกถักเป็นเปียพันไว้รอบศีรษะ
“เรือนตุ๊กตานั่นน่ะเหรอ” หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่” เจ้าของเรือนตอบด้วยน้ำเสียงเจือความภาคภูมิใจ หลายคนที่เห็นบ้านของเธอมักจะพูดอย่างนี้
ฉัตรพงษ์มองเด็กหญิงร่างผอมสูง ผิวออกคล้ำ ในชุดเสื้อกางเกงติดกันขาสั้นลายสกอตสีแดง ที่แม้เนื้อตัวจะมอมแมมด้วยเศษใบไม้และคราบดิน แต่ก็ปกปิดความงดงามไว้ไม่ได้ หน้าตานั้นส่อเค้าว่าอีกไม่กี่ปีต้องสวยชนิดหาตัวจับยากเลยทีเดียว อีกทั้งท่าทางก็ฉลาดเฉลียว แถมไม่ยอมคนเสียด้วย
“พูดจาไม่เพราะเลยนะเรา หางเสียงก็ไม่มี เรียนหนังสือคุณครูไม่เคยสอนเลยหรือไง” คนเกิดในราชสกุลตำหนิติเตียน
คนถูกตำหนิทำหน้างอง้ำ นัยน์ตาโตวาววับ
“สอน แต่ไม่อยากพูดกับคนแปลกหน้า”
นัยน์ตาคู่คมของคนถูกว่าแปลกหน้าเป็นประกาย นึกอยากจับร่างผอมบางตรงหน้ามาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนนัก เด็กอะไร ว่าแล้วยังจะเถียงคำไม่ตกฟากอีก ก่อนจะหันไปด่าเพื่อนสนิทที่ยืนหัวเราะหึๆ อยู่ข้างๆ
“หัวเราะอะไรไอ้ฉัตร”
“ขำคนแปลกหน้า” ฉัตรพงษ์ตอบเพื่อนแล้วจึงหันไปทางเด็กหญิงที่ยืนทำหน้างอง้ำอยู่ “ขอบใจนะหนูสำหรับกระท้อน แม้จะโยนลงมาจนเกือบถูกหัวเพื่อนพี่ก็ตาม พี่ชื่อฉัตรพงษ์ เรียกว่าพี่ฉัตรก็ได้ แล้วหนูชื่ออะไรนะ เมื่อกี้ฟังไม่ถนัด”
คนถูกเรียกว่าหนูแม้จะไม่ค่อยชื่นชอบกับคำเรียกเท่าไรนัก แต่เป็นเพราะว่าเขาพูดไพเราะน่าฟังกว่าคนตัวสูงอีกคน เด็กหญิงจึงยอมพูดดีด้วย