บทที่ 1 คนในกำแพง EP.4

978 คำ
หลังจากออกมาได้หม่อมราชวงศ์หนุ่มซึ่งมีสายเลือดสีน้ำเงินเข้มข้นก็ทอดถอนหายใจยาว กวาดตามองบรรยากาศรอบกายด้วยความพึงพอใจ จนฉัตรพงษ์ที่ก้าวตามมาติดๆ ถึงกับหัวเราะก๊ากด้วยความขบขัน เมื่อเห็นกิริยาดังกล่าวของเพื่อน “คุณหญิงเอื้อยอุตส่าห์เล่นเปียโนเพลง “Moonlight Sonata” ให้ใครบางคนฟัง แต่คนคนนั้นกลับเดินออกมาชมนกชมไม้เสียนี่ ไม่กลัวเจ้าตัวเสียใจแย่หรือครับคุณชายณุ” “ถ้าแกอยากฟังเพลงที่ว่านั่นนักก็กลับเข้าไปก็ได้นะ ฉันไม่ว่า” คนถูกกระเซ้าไม่เลิกพูดเสียงหนัก ทำเอาผู้เป็นเพื่อนส่ายหน้าพลางโบกไม้โบกมือ “คงไม่ละ ฉันไม่อยากไปยืนตัวลีบเวลาอยู่ต่อหน้าหม่อมอา แค่อยู่ที่โรงเรียนก็เต็มกลืนแล้ว” หม่อมอาที่ฉัตรพงษ์พูดถึงคือหม่อมราชวงศ์นภดารา เทพรัตน์ มารดาของผู้เป็นเพื่อน เขารู้จักสนิทสนมกับคุณชายณุมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น เพราะพลเรือตรีจักรภพ บริรักษ์สกุลวงศ์ บิดาของเขานั้นถูกส่งไปเรียนด้านการทหารที่ประเทศอังกฤษ พร้อมกับหม่อมเจ้าอลงกต เทพรัตน์ บิดาของผู้เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น จึงรักใคร่สนิทสนมกันดีจนมาถึงรุ่นลูก แม้แต่การเลือกสอบเข้าเป็นนักเรียนนายเรือก็ยังเลือกเหมือนกันอีก “แกก็พูดเกินไป ฉันไม่เคยเห็นแกยืนตัวลีบเลยสักครั้งเวลาคุยกับหม่อมแม่” หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ค่อนขอดเพื่อน “ใครบอกล่ะ ฉันเกร็งทุกครั้งเวลาพบหน้า หม่อมอาทำท่าอย่างกับครูฝ่ายปกครองที่คอยจับผิดนักเรียนยังไงยังงั้น ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าใครหนอจะมาเป็นศรีสะใภ้ของหม่อมอาได้ แต่ตอนนี้ดูแล้วคนโปรดก็คงไม่พ้นคุณเอื้อยใช่ไหมณุ” ฉัตรพงษ์พูดกระเซ้าเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้คนถูกกระเซ้ากลับตีหน้าขรึมทันที “แกไม่ต้องมาทำเป็นสู่รู้เลย เอื้อยจะเป็นคนโปรดหรือไม่โปรด ฉันไม่รับรู้ด้วย เพราะฉันไม่เคยมองเธอเป็นอื่นนอกจากน้องเท่านั้น แล้วแกก็เลิกเรียกเธอว่าเป็นว่าที่คู่หมั้นฉันเสียที” คนถูกว่าหัวเราะชอบใจ ไม่มีท่าทีสลดเลยแม้แต่น้อย “ฉันก็พูดไปตามที่เห็น ถ้าหม่อมอาเห็นดีเห็นงามในตัวคุณเอื้อย จะให้แกแต่งงานกับเธอในอนาคต แกจะทำอย่างไร นี่ฉันถามเล่นๆ นะ” ทำไมฉัตรพงษ์จะไม่รู้ว่าหม่อมแม่ของเพื่อนนั้นแสนจะหยิ่งทะนงในชาติกำเนิดทั้งของตนเองและของสวามียิ่งนัก ถ้าเขาไม่ใช่ลูกชายสหายสนิทของผู้เป็นสวามี คงไม่ได้เดินเข้าเดินออกภายในวังเก่า รวมทั้งบ้านหลังใหม่เป็นว่าเล่นได้หรอก ยิ่งเพื่อนสนิทเป็นบุตรชายคนเดียวด้วยแล้ว มีหรือคนที่จะมาร่วมวงศ์วานว่านเครือจะไม่ถูกคัดสรรเป็นอย่างดี “แกถามเล่นๆ แต่ฉันขอตอบจริงๆ นะฉัตรพงษ์” นานทีปีหนที่หม่อมราชวงศ์หนุ่มจะเอ่ยนามจริงของผู้เป็นเพื่อน “คนอย่างฉันถ้าจะมีคนรักจนถึงขั้นแต่งงาน ฉันต้องเลือกด้วยตัวเองเท่านั้น ใครก็มาบงการชีวิตฉันไม่ได้ แม้แต่หม่อมแม่ เพราะคนที่จะอยู่กับฉันชั่วชีวิตคือคนที่ฉันเลือกและรักเท่านั้น จำใส่ใจแกไว้เลยนะ” คนถูกบอกให้จำยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือขึ้นแตะหางคิ้วขวา เหมือนกำลังพูดกับผู้บังคับบัญชา “กระผมจะจำไว้ขอรับ” แม้เสียงเปียโนเพลง “Moonlight Sonata” จะดังกังวานหวานแว่วมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์สนใจแต่ประการใด เพราะมีสิ่งจูงใจมากกว่า นั่นคือเรือนไทยชั้นเดียวหลังคาทรงปั้นหยาสีขาว ซึ่งอยู่เยื้องกับจุดที่เขาและเพื่อนยืนอยู่นั่นเอง “เรือนหลังนั้นงามอย่างที่แกว่าจริงๆ” ฉัตรพงษ์พูดพลางมองไปยังเรือนไทยเขม็ง “อืม” หม่อมราชวงศ์หนุ่มพยักหน้ารับ ยังไม่ละสายตาจากสิ่งที่มอง “อย่างกับบ้านตุ๊กตา” “ฉันคิดว่าที่แกมองว่าเรือนหลังนั้นเหมือนบ้านตุ๊กตา คงเป็นเพราะบ้านของแกหลังใหญ่อย่างกับปราสาทน่ะสิ แต่ฉันขอบอกตามตรงเลยว่ากำแพงบ้านแกนี่สูงจนทำลายทัศนียภาพรอบๆ จนหมด ถ้าไม่เดินออกมาข้างนอกก็คงไม่รู้ว่านอกจากจะได้พบกับเรือนไทยหลังงามๆ แล้ว ยังได้เห็นทุ่งนาสีเขียวขจีนั่นอีก เห็นแล้วสดชื่นเป็นบ้า” พูดจบฉัตรพงษ์ก็สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอีกครั้ง เขายกแขนทั้งสองข้างราวกับต้องการกอบโกยอากาศบริสุทธิ์รอบตัวเข้าปอดให้มากที่สุด “ก็จริงของแก ถ้าฉันรู้ล่วงหน้าว่าหม่อมแม่จะสั่งทำกำแพงสูงถึงเพียงนี้คงเอ่ยปากห้ามไปแล้ว” หม่อมราชวงศ์หนุ่มพูดพลางเลิกคิ้วเข้มด้วยความแปลกใจ เมื่อหันไปเห็นกระท้อนต้นใหญ่ที่อยู่ริมกำแพงด้านหนึ่งสั่นไหวเหมือนมีอะไรอยู่บนนั้น จึงเพ่งสายตามองแล้วชี้ให้เพื่อนดู “ฉัตร แกช่วยฉันมองหน่อยซิว่าบนต้นกระท้อนนั่นมีคนอยู่ใช่ไหม” ฉัตรพงษ์เขม้นมองตามแล้วพยักหน้า “น่าจะมีคนอยู่บนนั้นจริงๆ แต่ขนาดมองจากตรงนี้ก็ยังเห็นว่ากระท้อนนั่นดกเต็มต้น น่ากินชะมัด ไปดูกันเถอะว่าใครหนอช่างปีนขึ้นไปได้ สูงไม่น้อยเลยนะนั่น ถ้าตกลงมาแข้งขาก็หักกันพอดี” คนเห็นเป็นคนแรกอย่างหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์นั้นเดินนำลิ่วๆ ตรงไปยังต้นกระท้อนอย่างรวดเร็ว ด้วยอยากรู้นักว่าใครกันที่อุตริปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม