“นอกจากขี่ควายได้ดีอย่างที่พี่นุชว่า แม้แต่ม้า ยายพัดชาก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน”
“ม้า!!! แกหมายถึงขี่ม้าเหรอยายอร” นงนุชร้องถามเสียงหลง
“ใช่จ้ะ ขี่ม้า” คนเป็นน้องสาวพยักหน้า “มิสเตอร์เจมส์มีม้าพันธุ์อาหรับคู่หนึ่ง เพราะคุณสิริมาน่ะชอบขี่ม้ามาก ก็เลยจับยายพัดชาหัดขี่ด้วย อรเองก็เพิ่งจะมารู้ว่าแม่ลูกสาวขี่ม้าเป็นกับเขาก็เมื่อไม่นานมานี้เอง”
“ตายแล้วหลานสาวฉัน ทำไมถึงได้โลดโผนอย่างนี้” คนเป็นป้าพูดพลางยกมือขึ้นทาบอกเพราะตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้จากน้องสาว “ตอนเห็นขี่ควายพี่ก็ยังนึกกลัวจะพลัดตกลงมา แต่นี่ม้ามันสูงแถมวิ่งเร็ว ไม่ตกลงมาขาแข้งหักก็บุญแล้ว”
“ยายพัดชาขี่ม้าเก่งจนมิสเตอร์เจมส์ชมเปาะ เก่งกว่าคนสอนอย่างคุณสิริมาเสียอีก”
“แล้วผัวแกไม่ว่าอะไรเลยหรือไงที่แม่ลูกสาวโลดโผนแบบนี้” นงนุชถามพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ทั้งที่พอจะเดาคำตอบได้
“จะว่าอะไรล่ะ เห็นดีเห็นงามไปด้วยละสิไม่ว่า บอกว่าลูกสาวเก่งถูกใจไปหมดทุกอย่าง” อรสาพูดถึงวิศาลผู้เป็นสามีด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“นี่ดีนะที่ผัวแกเป็นแค่ลูกหลานคนจีน ถ้าเป็นคนจีนแท้ๆ ป่านนี้ยายพัดชาคงกลายเป็นลูกชังไปแล้ว”
สิ่งที่ผู้เป็นพี่สาวพูดอรสาก็เห็นด้วย เพราะคนจีนส่วนใหญ่มักจะทุ่มเทความรักให้บุตรชายมากกว่าบุตรสาว โชคดีนักที่สามีของนางแม้จะเป็นลูกหลานคนจีนแต่ก็เป็นชั้นปลายแถว ซ้ำยังมีหัวคิดทันสมัย จึงไม่ได้ให้ความสำคัญแก่บุตรชายเพียงคนเดียวเหมือนครอบครัวอื่น
“แล้วนี่ตาเพชรไปไหนล่ะ” คนเป็นป้าถามหาหลานชายคนโต
“ตามพ่อเขาไปโรงสีตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ”
คนถามหาหลานชายนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถึงเรื่องที่ค้างคาใจ “ตกลงแกสองคนผัวเมียจะให้ตาเพชรไปเรียนต่อที่อังกฤษหลังจบ ม.๘ จริงๆ หรือ ไม่เด็กไปหน่อยหรือยายอร”
คำถามดังกล่าวทำให้รอยยิ้มของอรสาค่อยๆ หุบลง และมีร่องรอยความวิตกกังวลบนใบหน้าทันที
“อรก็คิดไม่ต่างจากพี่นุชหรอกจ้ะ แต่พ่อตาเพชรบอกว่าส่งไปตอนอายุเท่านี้แหละกำลังดี จะได้ไม่ลืมภาษาไทย และยังได้ภาษาอังกฤษเพิ่มด้วย ตาเพชรเองจะครบสิบแปดอีกไม่กี่เดือน ก็คงจะดูแลตัวเองได้แล้ว”
“เอาละ ในเมื่อพ่อตาเพชรคิดอย่างนี้ก็คงต้องแล้วแต่เขา พี่ก็แค่เป็นห่วงว่าอายุยังน้อยนัก ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจะลำบากเอา”
“เรื่องนี้เดี๋ยวคงต้องคุยกันอีกครั้ง คนกลางอย่างตาเพชรคงจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด” อรสาพูดตัดบทก่อนจะหันไปสนใจข้าวต้มผัดในซึ้งที่เริ่มจะส่งกลิ่นหอม
“บ้านหลังใหม่ของแกนี่สวยจังว่ะณุ สมกับที่เป็นบ้านแบบโคโลเนียลอย่างแท้จริง ฉันคิดถูกที่ตามแกมาเที่ยวด้วยคราวนี้”
ฉัตรพงษ์ บริรักษ์สกุลวงศ์ อยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนนายเรือสีขาวสะอาดเอ่ยขึ้น แล้วจึงเดินไปยืนเคียงข้างร่างสูงใหญ่ของหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ เทพรัตน์ ผู้เป็นเพื่อนสนิท ซึ่งยืนกอดอกอยู่ตรงริมกำแพงสูงด้านหนึ่งของตึก
“ท่านพ่อตรัสกับฉันว่าเจ้าของบ้านคนเก่าเป็นชาวอังกฤษ แต่มีภรรยาเป็นคนไทย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บ้านหลังนี้จะเป็นแบบโคโลเนียลแท้อย่างที่แกว่า”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มในชุดเครื่องแบบสีขาวเช่นเดียวกับเพื่อนบอกเสียงเรียบ เขามองไปยังบ้านหลังใหม่ซึ่งเป็นตึกกึ่งปราสาทสองชั้นหลังโอฬารสีเหลืองอ่อน หลังคามุงกระเบื้องว่าว ตัวตึกมีส่วนโค้งหักมุม อีกทั้งยังมีเฉลียงกว้างโอบล้อมโดยรอบบริเวณชั้นสองตามแบบสถาปัตยกรรมของตะวันตก ผนังตอนบน หัวเสา ขอบหน้าต่าง รวมทั้งลูกกรงระเบียงประดับด้วยลายปูนปั้น ประตูและหน้าต่างเป็นไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างงดงาม ที่เด่นสะดุดสายตาคงเป็นป้อมปราการสีขาวบนยอดตึก
“อ๋อ เจ้าของเดิมเป็นชาวอังกฤษนี่เอง แต่จะว่าไปแล้วก็มีแค่ตัวตึกเท่านั้นนะที่เป็นแบบยุโรป รอบๆ ข้างนี่เป็นแบบไทยแท้เลยนะณุ แกคิดเหมือนฉันไหมว่าคล้ายกับวังเดิมของแกที่โดนระเบิดลงไม่มีผิด”
ฉัตรพงษ์พูดยิ้มๆ แล้วมองไปยังอาณาเขตของบ้านที่ค่อนข้างกว้างขวาง จากประตูรั้วด้านหน้าจนถึงตึกใหญ่ โดยมีทางเดินคดเคี้ยวปูด้วยอิฐสีแดง ขนาบข้างด้วยพุ่มไม้ประดับและไม้ดอกที่ออกดอกสะพรั่งจนส่งกลิ่นหอมรวยรินตลอดสองข้างทาง แล้วจึงเป็นสนามหญ้าเขียวขจีที่เขากับเพื่อนยืนอยู่ ถัดไปทางซ้ายมือมีบึงขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยบัววิกตอเรียที่จะเริ่มบานในตอนเย็น
“อืม คงเป็นเพราะบรรยากาศคล้ายกับวังเก่าด้วยมั้ง ที่มีส่วนทำให้ท่านพ่อตัดสินพระทัยซื้อจากเจ้าของเก่า ทั้งที่ราคาแพงมหาศาล” หม่อมราชวงศ์หนุ่มบอกผู้เป็นเพื่อน
“ราคามหาศาลแต่ก็คุ้มกับสิ่งที่ได้ไม่ใช่หรือ บ้านที่มีต้นไม้ดอกไม้เยอะๆ แบบนี้ดีชะมัด ได้สูดอากาศบริสุทธิ์”
พูดจบฉัตรพงษ์ก็สูดลมหายใจลึกๆ รับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด ซึ่งอาการดังกล่าวก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาของคนเป็นเพื่อนที่เวลานี้ไปยืนพิงอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งออกดอกสีขาวอมชมพูสะพรั่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าว
“อืม ฉันก็ชอบอากาศ รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่นี่ อีกทั้งผู้คนรอบข้างก็ดูเป็นมิตรดี ครั้งแรกที่ท่านพ่อตรัสว่าจะซื้อบ้านใหม่ที่ทุ่งบางกะปิ ฉันยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยมาแถบนี้เลยสักครั้ง เคยนึกว่าทุ่งบางกะปิคงมีแต่ทุ่งนาและฝูงวัวควาย ไม่คิดเลยว่านอกจากทุ่งนาเขียวขจีแล้ว ยังมีเรือนปั้นหยาหลังงามๆ ให้เห็นอีกต่างหาก”
ตั้งแต่ครอบครัวย้ายบ้านใหม่ หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์เองก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาติดภารกิจซ้อมกีฬารักบี้ที่โรงเรียนนายเรือทุกสัปดาห์ เพิ่งจะว่างก็วันนี้
“แกหมายถึงเรือนไทยสีขาวชั้นเดียวหลังที่อยู่เยื้องๆ กับประตูบ้านของแกหรือเปล่าวะ เมื่อกี้ตอนนั่งรถเข้ามาฉันก็มองอยู่เหมือนกัน งามอย่างที่แกว่าจริงๆ บ้านหลังนั้นปลูกอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ดอกไม้ประดับ น่าอยู่ชะมัด ตอนนี้ในพระนครมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกแบบโคโลเนียลแทบทั้งนั้น อ้าว...แล้วนั่นแกจะรีบร้อนไปไหนวะ ไม่อยู่ฟังคุณเอื้อยว่าที่คู่หมั้นเล่นเปียโนเพลง “Moonlight Sonata” ของ บีโธเฟน หรือไง”
ฉัตรพงษ์ผู้มีรูปร่างสูงแต่ตัวบางกว่าพูดกระเซ้าแกมหัวเราะ เมื่อเห็นเพื่อนเดินลิ่วๆ ตรงไปยังทางเดินคดเคี้ยวที่ทอดยาวไปสู่ประตูด้านหน้า
“พูดมากจริง รีบๆ ตามมาเถอะ ฉันจะพาแกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกโน้น ขืนชักช้าเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าก็ไม่ได้ไปกันพอดี” พูดพลางเร่งฝีเท้าจนผู้เป็นเพื่อนแทบจะต้องออกแรงวิ่งตาม กระทั่งมาถึงป้อมยามหน้าประตู
“คุณชายณุจะไปไหนหรือครับ” บุญมีผู้ทำหน้าที่เปิดปิดประตูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพจากในป้อมยาม
“จะออกไปข้างนอก รีบเปิดประตูให้ฉันหน่อย” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาปานเทวดาบอกเสียงเข้ม ซึ่งชายวัยกลางคนก็รีบเปิดประตูให้โดยมิรอช้า