6

3262 คำ
“ทำไมไม่ออกมาดูลูก งานในครัวมันใช่หน้าที่เขาหรือไง” ศยามลอยากบอกว่าให้ไปถามนายแม่ดูเอาเองเถอะ แต่แล้วก็เม้มปากแน่นๆ เอาไว้ พูดน้อยไว้น่าจะดีกว่าพูดมากแล้วตกงาน พลินช่วยเก็บของ ทำความสะอาดบริเวณบ้านจนเรียบร้อย ออกไปตรงโถงด้านหน้า พบบุตรสาวนอนหลับซบอกนายแม่ไปแล้ว พอเห็นเธอ ท่านก็เอ่ยปาก “ยัยพราวด์เต็มสามขวบแล้วนะแม่พลิน” พลินพยักหน้าตอบรับด้วยหัวใจวูบโหวงในตอนนั้นเองเมื่อได้ยินท่านท้วงเรื่องนี้ขึ้น “ค่ะนายแม่” คุณศุภลักษณ์เงียบไปอึดใจเดียวก็พูดเรื่องที่พลินไม่อยากได้ยินเลยสักนิด “จำที่เราตกลงกันไว้ได้ใช่ไหม” “จำได้ค่ะนายแม่” “ดีแล้ว ถ้าหลานฉันเต็มสามขวบ เธอก็ต้องกลับไปเรียน ส่วนน้องพราวด์อยู่ที่นี่ ฉันจะดูเอง” ท่านบอกต่อไม่เชิงขอ “ส่วนมะรืนนี้ ฉันจะพาแม่ตัวดีนี่ไปเที่ยวที่เชียงใหม่ด้วย” เอ่ยจบโยกตัวเบาๆ เมื่อหลานสาวขยับตัวคล้ายตื่น ส่งเสียงอือม์เบาๆ เป็นทำนองเพลงกล่อมประเดี๋ยวเดียว ร่างที่ซบค่อยนิ่งหลับต่อ ค่อยว่า “ส่วนเธอ อยู่ที่นี่ไปก่อน ลูกไม่มีให้เลี้ยงเดี๋ยวจะเหงาเอา ช่วยงานอะไรเขาได้ก็ช่วยเขาไป รอฉันกลับมาแล้วเราจะได้จัดการเรื่องทั้งหมดให้จบกันเสียที” พลินกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อนคล้ายกลืนก้อนกรวด น้ำ เอ่อคลอเบ้าตาทั้งสองข้าง เม้มปากพยักหน้าก่อนตอบรับเบาๆ สะท้อนในอกเมื่อถึงเวลาที่เคยรับปากนายแม่เอาไว้ เธอกำลังจะต้องห่างจากเลือดเนื้อของตัวเองในไม่ช้านี้แล้ว ใจก็เหมือนแก้วที่ค่อยปริแตกออกทีละเล็กละน้อย วอนเสียงสั่น “ขอพลินอยู่ดูลูกอีกสักระยะได้ไหมคะนายแม่” หญิงสูงวัยไม่ได้ตอบรับ ท่านไม่มองพลินด้วยซ้ำ แล้วเอ่ยปากไล่คล้ายไม่ได้ยินที่พลินว่ามา “ไปพักผ่อนเถอะไป เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” “ค่ะ” พลินเม้มปาก พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องโถงนั้นตรงสู่ทางเดินไปที่บันได พอขึ้นมาถึงเห็นบารมียืนกอดอกมองเธออยู่ ราวกับว่าเขาจ้องว่าเธอกำลังทำอะไรบ้างภายใต้ชายคาบ้านของเขา “ทำไมปล่อยไปให้อยู่กับยัยแจ๊ว นี่ถ้ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในงานแล้วลูกถูกพาออกไป ไม่มีคนเห็นจะทำยังไง” พอเริ่มต้น เขาก็เอ็ดขึ้นมาก่อนโดยไม่ซักถามอะไรเธอสักคำ ถอนใจยาวๆ นึกถึงเมื่อเช้าที่นายแม่ให้เธอคอยช่วยงานในครัว ส่วนน้องพราวด์ท่านว่าให้อยู่กับท่าน เลยตอบออกไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “พลินคิดว่าลูกอยู่กับนายแม่ค่ะ เลย...” ยังว่าไม่จบ เขาก็ขัดขึ้นก่อน “จะมา ‘คิดว่า’ ได้ยังไง น้องพราวด์ลูกของใครกัน ไม่ใช่ของเธอหรือไง แล้วทีหน้าทีหลังเวลามีงานแบบนี้เธอต้องคอยอยู่ดูลูก อย่าปล่อยไปแบบนั้นอีก คนอื่นจะไว้ใจได้ไหม เกิดลูกเป็นอะไรขึ้นมา ใครหน้าไหนมันจะมารับผิดชอบ!” พลินก้มหน้านิ่ง ปวดใจจากเมื่อนาทีก่อนยังไม่พอ ตอนนี้ยังต้องมา รองรับอารมณ์ของบารมีอีก แต่ก็เลือกที่จะไม่โต้ตอบอะไรเขาออกไป ยิ่งเถียงเรื่องยิ่งยืดยาวออก จึงยอมเป็นคนผิดในสายตาของเขาเสีย และที่เธอไม่ได้ออกมาดูลูกก็เพราะนายแม่ใช้ให้เธอดูความเรียบร้อยที่ในห้องครัว ถอนใจเฮือก ยืนก้มหน้านิ่ง บารมีที่มองอยู่ตลอดเห็นแล้วนึกโมโห สุดท้ายก็ว่า “นายแม่จะพาลูกไปเชียงใหม่ด้วย ท่านบอกเธอหรือยัง” พลินที่ยังคงมึนๆ เนือยๆ ก้มหน้าตอบรับเขาสั้นๆ คำเดียว แว่วเสียงทุ้มตอบกลับมาว่า ‘อืมม์’ คำเดียวเช่นกัน ก็ชั่งใจในวินาทีนั้นว่าน่าจะลองขอร้องบารมีดูดีไหม หลังเอ่ยปากกับนายแม่แล้วท่านไม่เห็นว่าอย่างไร จึงรวบรวมความกล้าบอกเขาอย่างคนหมดหนทาง “ถ้าเอ่อ...ถ้าพลินขอเลี้ยงลูกต่ออีกสักสองปีได้ไหมคะ ให้พลินแยกกับลูกตอนนี้ พลินทำใจไม่ได้ค่ะ” บารมียิ้มมุมปาก ท้วงเสียงเนิบ “แล้วเดี๋ยวอีกสองปี เธอก็จะขอเวลาออกไปอีก” ก่อนเท้าความหลัง “ลืมข้อตกลงนั่นแล้วหรือไงพลิน” “ใครที่ตอนแรกให้เธอไปเอาเด็กออก แล้วใช่นายแม่นี่ไหมเป็นคนบอกให้เธอเอาเด็กไว้ แล้วใครที่รับเงินจากนายแม่ไปเป็นล้านๆ ไปซื้อข้าวของใช้จนไม่มีเหลือสักแดงเดียว ยังมีหน้าขออยู่เลี้ยงน้องพราวด์จนครบสามขวบถึงยอมไปตามทางตัวเอง ใครมันเอ่ยปากขออย่างที่พูดมา นึกซิ พลิน ใช่แม่ของเธอกับเธอไหม” บารมีพูดความหลังเมื่อครั้งสี่ปีก่อน วันที่เธอกับแม่เข้าไปหาคุณศุภลักษณ์เพื่อบอกเรื่องตั้งครรภ์ ก่อนเหน็บส่งท้าย “คนพวกนี้นี่น่าเบื่อนะ แกล้งทำตัวว่าน่าสงสารทั้งๆ ที่จริงแล้วเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ จ้องแต่จะเอาประโยชน์จากคนอื่น!” คราวนี้พลินถึงกับหน้าถอดสี หลบตา อึกอักพูดไม่ออก เขาพูดออกมานั่นถูกแต่ไม่ทั้งหมด เป็นแม่ของเธอเองที่ตอนแรกท่านบอกให้เธอเอาเด็กในท้องออก เพราะท่านมองแล้วว่าเธอยังเด็กแม้จะตั้งครรภ์กับชายผู้ที่มีพร้อมทุกอย่างแต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก ยังจำได้ว่าวันนั้นแม่บอกเธอว่า ‘พลินเอ๊ย...ลูกยังเด็กนัก มีตอนนี้แล้วหนังสือหนังหาหนูเล่าจะทำยังไง อุตส่าห์สอบติดแล้วจะไม่เรียนหรือ’ พลินสับสนไปหมดในตอนนั้นมันประจวบเหมาะกับอะไรหลายๆอย่าง พลินจึงตัดสินใจเลือกลูก แทนที่จะกลับไปเรียนต่อ และเงินหลักล้านที่บารมีว่ามา พลินก็มีความจำเป็นต้องใช้มัน เธอไม่ได้เอามาถลุงใช้ฟุ่มเฟือยอย่างที่เขาเข้าใจ แต่พลินก็เลือกที่จะเงียบ ไม่อธิบายอะไรให้บารมีได้รู้ “อะไรกัน ไม่ทันไรเธอก็กลายเป็นคนพูดจากลับกลอกไปแล้ว หรือความจริงเธอเป็นคนแบบนั้น” บารมียังคงถามจี้ กล่าววาจาส่อเสียดเหน็บแนม รุกคืบเมื่อมีโอกาส อันที่จริงเขานึกเห็นใจพลินอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นที่เธอต้องสูญเสียความสาวให้เขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และเขาเองในตอนนั้นก็ตั้งใจจะชดเชยให้พลิน พร้อมจะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ แต่พอเขารู้ความจริงทั้งหมดจากมารดา ก็ถึงกับเงิบไปไม่น้อย ต้องยอมใจเด็กสมัยนี้จริงๆ ที่กล้าทำทุกอย่างได้แม้จะเป็นสิ่งผิดสิ่งไม่ดี โดยไม่นึกถึงผลที่ตามมาเพียงเพื่อต้องการแลกกับเงินจำนวนมากๆ เท่านั้น พลินมองตอบบารมีด้วยหัวใจแตกสลาย แววตาคลอไปด้วยหยาดน้ำ ก่อนโต้เขาเสียงสั่น “พลินไม่เคยคิดอยากจะนอนกับคุณเลยนะคะ คืนนั้นพลินเมาไม่รู้เรื่อง และคุณเองก็เมาเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ ตื่นเช้ามาเราถึง...ถึงได้...” พอได้พูดเรื่องที่ค้างคาในใจมาตลอดแล้วก็หยุดไปต่อไม่ไหว บารมีพูดเหมือนกับว่าที่พลินไปอยู่บนเตียงกับเขาเพราะเธอเห็นแก่เงิน แม้จะมีความจริงอยู่บ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ฉับพลันพลินถอยหลังกรูดเมื่อเห็นว่าบารมีสืบเท้าก้าวเข้ามาหา ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มก็จริง แต่เป็นรอยยิ้มมาดร้าย ดวงตาก็ไร้ซึ่งความเป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด “ก็แล้วเธอเอาเรื่องนี้มาพูดอีกทำไมล่ะ เธอต้องการอะไรกันแน่พลิน” พลินหน้าซีดเผือด บอกเสียงสั่น “คุณเป็นคนเริ่มก่อนนะคะ” “ลองนึกดูดีๆ สิพลิน ว่าใครกันแน่ที่เริ่มก่อน” ถามคาดคั้น ยังคงเดินเข้าหาจนตอนนี้ลำตัวแทบจะแนบชิดติดกันอยู่แล้ว แววตาที่เคยดูว่าสงบนิ่งบัดนี้วาววับขึ้นราวกับว่าเขาสนุกกับการไล่ต้อนเธออย่างไรอย่างนั้น “คุณ...คุณ อย่าเข้ามาใกล้พลินนะ คุณกำลังขู่พลิน คุณไม่ใช่ลูกผู้ชาย” พลินทั้งกลัวทั้งเกรงเขา ปากก็ต่อว่าออกไปเพราะคิดว่าคำพูดพวกนั้นจะช่วยกันเขาออกไปไกลๆ จากเธอได้ “เธอก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าที่มีน้องพราวด์ออกมานั่น ไม่ใช่เพราะลูกผู้ชายแบบนายบารมีนี่หรอกหรือ ฮืมม์” คราวนี้เขาตวัดแขนรัดรอบเอวของเธอแล้ว พร้อมทั้งดันให้ร่างเต็มอิ่มมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อสี่ปีก่อนเข้ามาแนบกับลำตัวของเขา พลินเบี่ยงหน้าหนีทันทีด้วยความประหม่า ใบหน้าร้อนผะผ่าวเมื่อใกล้ชิดกันกว่าที่ควร “จะว่าไปแล้ว ความรู้สึกคืนนั้นมันก็...เลือนๆ เต็มทีแล้วนะ เราน่าจะย้อนอดีตกันหน่อยไหมพลิน” คำพูดของเขามาพร้อมเสียงหัวเราะขรึมๆ ทำให้พลินตื่นตระหนกผงะตาเบิกกว้าง โต้ออกไปทันควัน “มะ...ไม่นะคะ คุณ...คุณบ้าไปแล้วหรือไง” พยายามดันอกเขาให้ห่างจากอกของเธอ แต่แล้วกลับเหมือนดันแผ่นหินที่ทั้งหนาทั้งใหญ่เป็นตันๆ ที่มันเกินกว่ากำลังของเธอจะทานทนไหว แล้วในจังหวะนั้นเองพลินก็เห็นแววตาคมของบารมีวาวแสงขึ้นคล้ายมีลูกไฟเต้นอยู่ข้างในนั้น ใบหน้าของเขาขยับเข้ามาใกล้เธอทุกขณะ แล้วพลินก็แทบกลั้นลมหายใจ เธอฮึดออกแรงในตอนนี้เอง ผลักเขาจนสุดแขน บารมีไม่ทันตั้งตัวเลยเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่เท่านั้นก็เพียงพอให้พลินตั้งสติแล้ววิ่งหนีเขาไป พลินพุ่งตัวกลับเข้าห้อง แตะลูกบิดประตูมือสั่นเหมือนคนเป็นไข้ปิดลงอย่างรวดเร็วแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้นเพราะหมดแรงจะก้าวขาแล้วตอนนี้ ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งอยู่บนพื้นหลังบานประตู ยกมือขึ้นแตะหน้าอกฝั่งซ้ายพบว่าหัวใจของเธอบีบตัวเต้นรัวแรงและเร็วมาก จนกลัวว่ามันจะกระดอนออกมากองที่พื้นเสียก่อน เขาเป็นบ้าอะไร มาก่อกวนอารมณ์เธอแบบนี้ทำไม เธอไม่มีทางนอนกับเขาอีกเพราะแค่ต้องการรื้อฟื้นอดีตบ้าบออะไรนั่นแน่ คนมักง่าย! เธอหลงคิดได้อย่างไรว่าบารมีเป็นผู้ชายแสนดี แสนอบอุ่น หรือที่เขาทำเมื่อครู่นี้คงเพราะยังโกรธแค้นเธอไม่เลิกที่ไปนอนเปลือยอยู่กับเขาบนเตียงจนทำให้พี่สาวของเธอมาเจอเข้า เกิดเข้าใจผิดหนีเตลิดไปอยู่เมืองนอก คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ให้ใจวูบโหวง บารมียังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแม้ว่าแผ่นหลังของพลินจะลับตานานแล้วก็ตาม พลันได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินขึ้นบันไดบ้านมา พร้อมเสียงพูดคุยกันเบาๆ หันไปมองก็เห็นว่าเป็นมารดาของตัวเอง เดินนำคนสนิทที่อุ้มน้องพราวด์ มาด้วย คงกำลังพาไปส่งยังห้องนอนที่อีกฟาก คุณศุภลักษณ์เห็นลูกชายก็บอกให้คนของท่านพาหลานเข้าห้องนอนไปเสีย คล้อยหลังคนอื่นแล้วท่านก็ว่า “อันที่จริงบ้านแม่ก็ไฟไหม้หน่อยเดียวนะ แล้วตรงตึกแม่ก็ไม่ได้โดนไฟคลอกหรืออะไรเลย ไม่เห็นต้องหอบลูกหอบเด็กนั่นย้ายมาที่นี่” บารมีนิ่งไปครู่ค่อยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชากลับไป “ผมเป็นห่วงน้องพราวด์” “ห่วงแต่น้องพราวด์น่ะหรือ แม่ยัยน้องพราวด์ไม่ได้ห่วง?” บารมีเบือนหน้าหนีเลือกจะไม่ตอบอะไรอีก เขาหรือจะเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้น คนเป็นแม่เห็นท่าทีตึงๆ ของบุตรชายก็ถอนใจเฮือก ว่า “เอาเถอะ แม่ไม่ถามอะไรลูกแล้วล่ะ” “ผมขอตัวครับ” ขณะที่บุตรชายเตรียมหันหลังจากไป คุณศุภลักษณ์ก็ร้องเรียกเอาไว้ก่อนด้วยชื่อเล่นของบุตรชาย “บี” บารมีนิ่งไม่ได้ขานรับ คุณศุภลักษณ์มองท่าทีนั้นแล้วก็สะเทือนในอก นึกน้อยใจที่ท่านทำดีหวังดีกับลูกทุกเรื่องทุกอย่างแต่ความหวังดีของท่านดูเหมือนจะไปไม่ถึงจิตใจของบารมีเลยสักนิด “เด็กนั่นขออยู่เลี้ยงน้องพราวด์ต่ออีกระยะ ลูกจะว่ายังไง” เลยลองหยั่งเชิงถามคนเป็นพ่อของเด็กหญิงพราวนภาดู “ถึงเวลาก็ต้องให้เป็นไปตามที่เขาเคยตกลงเอาไว้แต่แรกสิครับ ไหนว่าจะขอเลี้ยงน้องพราวด์ถึงแค่สามขวบ เคยคุยไว้ว่ายังไงก็ต้องอย่างนั้น หรืออยากได้เงินอีกก้อนถึงได้ถ่วงเวลาต่ออีก เดี๋ยวพอให้ก็จะขอเลี้ยงต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น ไม่เชื่อก็รอดูเถอะครับ” คนเป็นแม่ฟังแล้วก็ถอนใจ บุตรชายของท่าน บทจะใจร้ายก็น้อยเสียที่ไหนกัน “เอาเถอะ ถ้าแบบนั้นแม่ก็จะได้บอกเขาไปอย่างที่ลูกว่ามา” บารมีไม่พูดอะไร ขอตัวเดินกลับห้องตนเอง คุณศุภลักษณ์มองตามหลังบุตรชายด้วยสายตาครุ่นคิดแล้วจึงแยกเข้าห้องของท่านบ้าง ถึงวันเดินทางท่านพาเด็กหญิงพราวนภาจากไปโดยมีแม่อย่างพลินยืนมองจนรถลับตานานแล้วก็ยังคงยืนเหม่อมองอยู่อย่างนั้น ดวงตาแดงก่ำ คราบน้ำตาเริ่มแห้งตรงสองข้างแก้ม พร้อมหัวใจที่ค่อยๆ ปริแตกออก นี่ยังไม่ใช่การแยกจากลูกไปจริงๆ เพียงแค่พาน้องพราวด์ไปเที่ยวเท่านั้น เธอยังเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วหากว่าถึงเวลานั้นจริงๆ หัวใจของเธอจะทานทนได้อย่างไร พลินยืนสะอื้นอยู่อย่างนั้นเป็นนานสองนาน ไหล่ลู่ลงอย่างน่าอนาถ ค่อยปลีกตัวตรงไปยังอาคารสำนักงานของไร่มากล้นบารมี บางทีการได้ทำงานหนักๆ อาจช่วยให้ความคิดถึงที่มีต่อบุตรสาวลดลงบ้างก็เป็นได้   ญาดาเดินทางกลับถึงเมืองไทยในตอนพลบค่ำ แล้วก็เปิดห้องพักที่โรงแรมใกล้ๆ สนามบินนอนพักคืนเดียวค่อยออกเดินทางไปไร่มากล้นบารมี แทนที่จะกลับบ้านของตนเอง นึกเจ็บใจที่พอทะเลาะกับอสิตย์วันนั้นแล้ว เขาก็หายหัวไปจากห้องเลย เสื้อผ้ายังอยู่ครบแต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปอยู่ที่ไหน ไม่มีการบอกกล่าวอะไรกับเธอไว้เลยสักคำเดียว ตอนนั้นเธอพูดเพราะโมโห แล้วก็ยังสองจิตสองใจว่าจะเลิกรากับอสิตย์ได้จริงไหม แต่พอเขาทำแบบนี้เห็นจะต้องจบกันจริงๆ เสียที ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ลงจากรถรับจ้างที่เหมามาจากสนามบินแล้ว ก็เจอเข้ากับบารมี เขายืนมองเธอนิ่งราวกับล่วงรู้การมาถึงของเธอ เป็นญาดาที่ยิ้มหวานหยดแล้วปราดเข้าไปหาเสียเอง “สวัสดีค่ะคุณบารมี ดาเพิ่งกลับมาน่ะค่ะ ติดต่อคุณพ่อก็ไม่ได้ พอดีโทรคุยกับพลินเห็นว่ามาพักกันที่นี่ ดาก็เลย...ก็เลยแวะมาหาค่ะ หวังว่าคุณบารมีคงไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหมคะ” บารมียิ้มน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยว่าอะไรออกไป แต่ใช่ว่าในหัวเขาจะไม่คิดตำหนิหรือว่าคนตรงหน้าที่ไม่เอ่ยปากขอกับเขาก่อนที่เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ แล้วเลยคิดตำหนิพลินที่วิสาสะอนุญาตให้พี่สาวมาพักโดยไม่บอกเขาแม้แต่คำเดียว ญาดาเห็นท่าทีเฉยเมยของบารมีแล้วก็ให้ใจแป้ว คงต้องออกปากเองแล้วล่ะ ด้านก็ได้ ถ้าเหนียมอายเห็นทีคงจะชวด อย่างน้อยก็ต้องได้ยินเขาเอ่ยออกมาสักคำว่าพักได้ จะได้อยู่แบบหน้าเชิดๆ หน่อย “เอ่อ คุณบารมีคะ” ชายหนุ่มยังคงเงียบตามวิสัยคนพูดน้อย เขาทำเพียงยิ้ม แล้วส่งสายตาที่เป็นคำถามกลับไปเท่านั้นว่าต้องการพูดอะไรกับเขา เห็นแบบนั้นแล้ว ญาดาก็ให้ขัดใจ ข่มกลั้นความอาย บอกด้วยท่าทีเหนียมอายชนิดปรุงแต่ง “คือ...คือดาอยากรบกวนขอพักด้วยสักระยะ จะได้ไหมคะ” เจ้าของบ้านกระตุกรอยยิ้มมุมปาก ไม่ว่าอะไรจากนั้น สายตาคมกริบไม่ได้มองที่ญาดา แต่กลับมองเลยออกไปยังทิศทางของสำนักงานไร่มากล้นบารมีแทน   ญาดามาถึงแล้ว พลินรู้จากศยามลอีกที และบารมีไม่ได้เข้ามาที่นี่ในวันนี้ เขาน่าจะอยู่ดูแลพี่สาวของเธอ คิดแล้วก็ให้อึดอัดเหมือนหายใจไม่ออกเมื่อภาพในหัวต่างประดังประเดกันเข้ามา ก่อนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อด้วยสติที่บินหายจากไปไม่เต็มร้อยเหมือนตอนเริ่มทำงานตอนแรก โทรศัพท์สำนักงานกรีดเสียงดังขึ้น จนคนที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดใจหาย รีบคว้าขึ้นมา กำลังจะกรอกเสียงตอบรับลงไป แต่ทางนั้นเอ่ยขึ้นมาก่อน ‘เอกสารด่วนของโรงงานส่งมาหรือยัง’ เป็นเขาเอง พลินตั้งสติได้แล้วตอบกลับไป “มาแล้วค่ะ” ‘เอากลับบ้านมาด้วย’ “ค่ะ” ‘เหลืองานอีกเยอะไหม’ “ไม่เยอะค่ะ ปิดงบบัญชีแล้วก็เสร็จค่ะ” ได้ยินเขาตอบรับมาคำเดียวว่า ‘อืมม์’ สั้นๆ แล้ววางสายไป พลินถอนใจก่อนวางโทรศัพท์ลงที่เดิมของมัน อยู่ทำงานต่อ จากที่คิดจะกลับบ้านเมื่อแล้วเสร็จงานแฟ้มนี้ เธอเลือกหยิบงานที่ไม่ได้เร่งด่วนอะไรนัก ออกมาทำต่ออีกหน่อย เพื่อยืดเวลากลับบ้านให้นานออกไป และแล้วก็ต้องยอมแพ้ให้กับเวลา เมื่อเห็นว่าสมควรแล้วที่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงที่รอเธออยู่ แม้จะยังไม่พร้อมก็ตามที พลินเลือกเดินกลับไร่ แทนที่จะติดรถใครไปแบบทุกที เธอเดินละเลียดบรรยากาศลมเย็นที่พัดโชยเอื่อยมาเบาๆ สลับแรงบ้าง สุดท้ายสายตาก็มองเห็นบ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้า ยืนนิ่งมองอยู่อึดใจ ถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวขาเดินตรงไปจนถึงบริเวณของบ้านในที่สุด ก้มมองขาที่ก้าวไปเรื่อยๆ จนถึงในตัวบ้าน และภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าก็ตอกย้ำความคิดของพลิน ว่าบารมีเฝ้ารอการกลับมาของญาดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม