5

2515 คำ
รถตู้สีขาวขับเข้ามายังบริเวณลานจอดรถของบ้านหลังใหญ่ในตอนพลบค่ำก่อนที่คนขับจะเปิดประตูวิ่งอ้อมมาที่อีกด้านของรถเพื่อรอรับนายของตนที่นั่งมาเพียงลำพังด้วยใบหน้าครุ่นคิดตั้งแต่สนามบินจนถึงปลายทาง “นายแม่มา!” เสียงบอกต่อกันเป็นทอดให้ผู้ที่อยู่ภายในบ้านรู้ ก่อนที่ทุกคนจะพากันวิ่งหน้าตั้งมารอรับหญิงผู้มาเยือนอย่างเร็วรี่ บางคนถึงกับเหงื่อแตกพลั่กทั้งๆ ที่พบหญิงสูงวัยคนนี้ไม่กี่ครั้ง เพราะเสียงเล่าลือที่ว่านายแม่คนนี้ดุแสนดุ จึงกลัวกันถึงขนาดขี้ขึ้นสมองเลยทีเดียว “หลานฉันอยู่ไหน” ทันทีที่เดินเข้าบ้านมา เสียงเอ่ยถามทรงอำนาจก็ดังขึ้นราวกับว่าจุดประสงค์เดียวที่ท่านต้องเหยียบย่างที่นี่ก็เพื่อมาตามหาเด็กหญิงพราวนภาเท่านั้น ศยามล คนสนิทของบารมีปรี่เข้ามารายงาน “เห็นสมหมายว่าคุณพลินให้ขับรถพาไปเยี่ยมคุณยายน่ะค่ะ” “ออกไปตอนไหน แล้วจะกลับมากี่โมงกี่ยาม” “ไปเมื่อตอนสายๆ นี่เองค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วค่ะนายแม่” “ไปตั้งแต่สาย นี่มันเย็นมากแล้ว ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ” เหมือนจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าเอ่ยถามบริวาร บ่นทิ้งท้าย “ชักเหลวไหลใหญ่” พลันเสียงรถอีกคันขับเข้ามาจอด ไม่นานจากนั้นเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วเข้ามาในบ้าน “คุณย่ากลับมาแล้วหรือคะ คุณย่าขา…คุณย่าสวัสดีค่ะ” เสียงเล็กแจ๋วๆ เหมือนถามคนที่อยู่ด้านนอก พอเข้ามาในตัวบ้านแล้วก็ดิ้นๆ ลงจากอกบารมีที่อุ้มลงจากรถ เจ้าตัววิ่งปรู้ดเข้ามายืนประจันหน้าหญิงผู้มีศักดิ์เป็นย่าแล้วค่อยพุ่มมือยกขึ้นไหว้คุณศุภลักษณ์อย่างชดช้อย ดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อยเพราะถูกฝึกฝนอยู่ตลอดนั่นเอง คุณศุภลักษณ์มองบุตรชายที่เดินตามเข้ามา ก่อนเบนสายตามามองหลานสาวของตน ถามคล้ายจะดุ “หายไปไหนกันมา กลับเอาป่านนี้” “น้องพราวด์ไปเยี่ยมคุณยายมาค่ะ” เด็กหญิงตอบจบยิ้มจนตาหยีอ้อนคุณศุภลักษณ์ ท่านพยักหน้าทำนองว่ารับรู้แล้วไม่วายบ่นต่อ “แล้วทำไมยังต้องให้พ่อเราอุ้มลงรถ ไปอ้อนอะไรเขาอีกแม่ตัวดี” บารมีเงียบไปอึดใจ ตอบกลับด้วยท่าทีนิ่งๆ “นอนหลับมาบนรถครับ ถึงแล้วเลยงัวเงียนิดหน่อย” “ไม่ใช่ว่าอ้อนพ่อเราหรอกหรือ ไหนมาหาย่าซิ” น้ำเสียงนายแม่อ่อนลงก่อนอ้าแขนออกรับร่างเล็กที่อวบอ้วนน่าฟัดร่างนั้น พลินรีบตามเข้ามาพาบุตรสาวส่งให้ท่าน นายแม่รับมากอดไว้แนบอก ลูบผมพร้อมก้มลงหอมอย่างแสนคิดถึง “หน้าเราเหมือนคุณยายทวดเหลือเกินลูก” ท่านรำพึงรำพันแค่ให้ได้ยินกับหลานแค่สองคน คุณศุภลักษณ์อาจพูดจาเถรตรง ไม่ไว้หน้าคนในบ้านเหล่าบริวารทั้งหลาย อีกทั้งใบหน้าหากไม่ยิ้มจะดูดุดันอยู่เสมอ แต่คนใกล้ชิดสนิทกับท่านจะรู้ดีว่านายแม่ใจจริงท่านไม่มีอะไร เป็นคนคิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น ผิดจากบุตรชายที่ขรึมเงียบพูดน้อยแลดูท่าจะน่ากลัวกว่ากันมากกว่า และพลินก็พอรู้มาอีกว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกคู่นี้ดูผิวเผินอาจเหมือนแม่ลูกปกติทั่วไป แต่ภายในใจลึกๆ ของคนทั้งคู่มีบางสิ่งบางอย่างที่กินแหนงแคลงใจกันอยู่ พลินหยุดความคิดเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วยิ้มบางๆ เมื่อเห็นท่าทีของนายแม่ดูอ่อนลงหลังได้กอดได้หอมหลานสาวของท่านแล้ว มองอากัปกิริยาของคนเป็นย่าที่มีต่อบุตรสาวด้วยความสะท้อนในอกในใจ รู้สถานะของตนเองดี แม้คุณศุภลักษณ์จะเมตตาเธอและลูก แต่ท่านไม่ได้ยกย่องให้เธอเป็นภรรยาของบารมีออกหน้าออกตา แม้แต่ตัวบารมีเองก็ยังไม่ต้องการเธอ หลังความสัมพันธ์คืนนั้นจนเธอตั้งครรภ์ก็ไม่มีการจดทะเบียนสมรส ไม่มีการตกแต่งให้เป็นเรื่องราว มีเพียงเงินสามล้านบาทที่โอนเข้าบัญชีของเธอ บ้านน้อยหลังนั้นที่นางพยอมอาศัยอยู่ในตอนนี้ และการพูดจากันระหว่างแม่ของเธอกับนายแม่เพียงสองคนเท่านั้น ไม่มีใครรู้รายละเอียดในการเจรจาแม้แต่พลินเอง เคยแว่วคนในบ้านคุยว่าท่านไม่ได้รังเกียจเธอที่มีหลานสาวให้ท่าน แต่ก็มิได้ชื่นชมมากพอจะยกขึ้นมาเป็นสะใภ้ อีกทั้งท่านมีหญิงสาวที่เตรียมไว้ให้บุตรชายของตัวเองแล้วด้วย ปัญหาคือบุตรชายของท่านดื้อดึงไม่เคยเดินตามรอยตามที่ท่านขีดเอาไว้เลยตั้งแต่แตกเข้าวัยหนุ่มเป็นต้นมา บารมีเป็นพวกดื้อเงียบ ขรึม พูดน้อย แต่เนื้อแท้ข้างในคาดว่าคงไม่ธรรมดา พลินเคยได้ยินคนเก่าคนแก่ในบ้านของนายแม่บ่นเขาออกบ่อยว่าถอดแบบบิดามาแทบไม่ผิดเพี้ยน “ตอนเล็กๆ ก็น่ารักแบบนี้ทั้งนั้นแหละ โตมาอย่าหัวดื้อหัวรั้นแบบคนแถวนี้ก็แล้วกัน” นายแม่ว่ากึ่งเหน็บไปถึงชายคนเดียวในห้องรับแขกที่ยืนหน้าเฉยเมยอยู่ตรงนั้น แล้วเอ่ยขึ้นเมื่อก้มลงชื่นใจหลานสาวอีกจนพอแล้ว “อยู่กันพร้อมหน้าก็ดี” บารมีมองสบตามารดาอึดใจเดียวค่อยเอ่ยถาม ใบหน้ายังคงความเรียบเฉยเอาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยนแปลง “มีอะไรหรือครับ” “งานแจกข้าวตายายแม่ว่าจะจัดที่นี่เลย แขกเหรื่อไม่มากหรอกมีแต่พี่ๆ น้องๆ เรา บรรยากาศไร่เราดูไม่แออัดดี ไม่เหมือนที่บ้านในเมือง” บารมีไม่ได้บึ้งตึงแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ตอบมารดา “แล้วแต่คุณแม่เถอะครับ” พลินมองสองแม่ลูกคุยกันแล้วก็ร้อนวาบขึ้นบนใบหน้าเมื่อบุตรชายของท่านหันมามองที่เธอ คุณศุภลักษณ์ที่สังเกตการณ์อยู่เงียบๆ เอ่ยปากขึ้นราวกับเพิ่งนึกได้ “วันเกิดเราด้วยนี่แม่พลิน อาทิตย์หน้านี้ใช่ไหม” พลินยิ้มรับ นึกดีใจที่คุณศุภลักษณ์รู้ว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอ ตอบรับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ค่ะนายแม่” “ยี่สิบสองแล้วสินะ” นายแม่ไม่เชิงเอ่ยออกมาเป็นคำถาม แต่ถึงอย่างนั้นพลินก็ยังคงตอบรับท่านออกไป คุณศุภลักษณ์นิ่งอยู่ครู่ก็บ่นเรื่องที่ท่านแคลงใจไม่เลิกตั้งแต่ได้ข่าวมา “แล้วทำไมถึงไฟไหม้ได้ ก่อนไปก็บอกให้ดูให้ดีฟืนไฟในบ้านให้ระวังกัน แล้วปล่อยให้ไหม้ได้ยังไง” พลินตอบเท่าที่รู้ “ไฟฟ้าลัดวงจรน่ะค่ะนายแม่”  “เอาเถอะ ไว้ให้ไหม้บ้านฉันทั้งหลังก่อนค่อยให้คนมาดู บอกให้ตามช่างมาดูสายฟงสายไฟ ยัยแจ๊วก็เดี๋ยวลืมบ้างอะไรบ้าง ฉันละเบื่อ” “พลินเองค่ะที่อาสาจะตามให้ แต่ก็ลืมทุกที” นายแม่ปรายตามองพลินที่สนิทสนมกับคนของท่าน มักออกหน้ารับแทนกันอยู่เสมอ เหน็บเข้าให้ “เลิกรับหน้าแทนคนอื่นเสียทีเถอะแม่พลิน” พลินก้มหน้าก่อนตอบรับ “ค่ะ นายแม่” คุยอีกสองสามประโยคจากนั้นจึงพากันย้ายไปที่ห้องรับประทานอาหารจัดแจงมื้อสุดท้ายของวันจนเรียบร้อย รอจนหลานอิ่มแล้ว คนเป็นย่าเอ่ยชวน “ไปดูของฝากที่ห้องย่าไหมน้องพราวด์” “ไปค่ะคุณย่า” เด็กหญิงพราวนภารับคำทันที พลินที่รอจะตามบุตรสาวไปด้วย ถูกนายแม่ไล่กลายๆ “ไปพักผ่อนเถอะแม่พลิน เรียบร้อยจากฉันแล้วจะให้ยัยพวกนั้นพาเข้านอนให้” พลินจำใจรับคำด้วยการพยักหน้าเบาๆ รอจนท่านเดินจากไปแล้ว ค่อยแยกเข้าห้องของตนเองในเวลาต่อมา แว่วเสียงรถขับออกไป เมียงมองดูเห็นว่าเป็นรถของบารมี จึงกลับมานอนบนเตียงดังเก่าข่มตาให้หลับ ก่อนเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้งเมื่ออาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้า   จากนั้นอีกราวสัปดาห์เห็นจะได้ก็ถึงวันงานแจกข้าวตายายที่นายแม่บอกไว้ ท่านรออยู่เตรียมงานที่นี่ต่อไม่ได้กลับไปที่บ้านของท่านในเมือง แขกเหรื่อมาไม่มากอย่างที่คุณศุภลักษณ์บอกไว้ มีเพียงญาติสนิทกันเท่านั้นที่แวะเวียนมาร่วมตักบาตรทำบุญ เด็กหญิงพราวนภาดูจะสนุกสนานดีกับญาติลูกพี่ลูกน้องวัยไล่เลี่ยกัน แว่วเสียงหัวเราะกรี๊ดกร๊าดดังอยู่ที่สนามหญ้าเป็นระยะๆ พลินแอบไปชำเลืองมองอยู่เกือบๆ สามนาทีห้านาที เห็นว่านายแม่เองก็นั่งอยู่ใกล้ๆ เด็กหญิงประเดี๋ยววิ่งไปเล่นกับเพื่อนอีกประเดี๋ยวก็ปีนขึ้นตักย่า เธอห่วงลูกแม้จะเห็นว่าอยู่กับนายแม่ อีกทั้งมีพี่เลี้ยงมีคนเฝ้าอยู่ก็ตามแต่ก็ไม่ได้ปล่อยวางใจ จะให้ออกไปเฝ้าที่บริเวณหน้าบ้านก็ไม่สะดวกนัก เพราะไม่ได้อยากให้ใครมาว่าเสนอหน้าออกไปให้คนอื่นเห็น ญาติพี่น้องคนอื่นพอรู้เรื่องของบารมีกับพลินมาบ้างแต่ไม่มีใครกล้าถามให้ลึกซึ้งลงไปมากกว่านั้น เพราะบารมีเองไม่ใช่คนที่จะพูดคุยหรือทำตัวไปซักไซ้ถามอะไรแบบนั้นด้วยได้ ศยามลแวะเวียนมาบอกว่ามีคนช่วยดูอยู่สามคน ไม่นับรวมเพื่อนวัยใกล้ๆ กันอีกห้าถึงหกคน ค่อยวางใจไปเปลาะหนึ่ง แล้วช่วยงานในครัวที่ด้านหลังบ้านต่อ “แจ๊ว มารับน้องพราวด์ไปเล่นทางนู้นที ฉันมีธุระจะคุยกับพี่ผ่อง” คุณศุภลักษณ์เรียกหาคนสนิท ทางนั้นยืนคอยอยู่แล้วก็ปรี่ไปหา “ค่ะนายแม่” รับเด็กหญิงออกมาจากคุณศุภลักษณ์แล้ว หญิงรับใช้ก้มลงถาม “ไปเล่นกับพี่ๆ ตรงนู้นกันไหมคะน้องพราวด์” “ไปค่ะพี่แจ๊ว” เด็กหญิงตอบรับเสร็จสรรพ มองไปรอบๆ งาน พอไม่พบว่ามารดาอยู่บริเวณนี้ด้วย เลยเอ่ยถามขึ้น “แล้วคุณแม่ไปไหนคะ” “คุณแม่ทำอาหารอร่อยๆ ให้น้องพราวด์อยู่ที่ในครัวไงคะ” “ทำไมนานจัง น้องพราวด์อยากให้คุณแม่ออกมาเล่นด้วยจังเลยค่ะ” ยัยแจ๊วได้ยินก็หน้าถอดสี คุณพลินหรือจะกล้าออกมา ในเมื่อนายแม่วานให้ช่วยงานที่ในครัวแบบนั้นน่ะ แล้วบอกกับเด็กหญิง “มาค่ะ เดี๋ยวน้องพราวด์มาเล่นกับพวกพี่ๆ ตรงนี้ดีกว่านะคะ” ยัยแจ๊วพามาหาเด็กๆ ในงานที่คาดว่าจะเป็นญาติกัน แต่ดูโตกว่าสามสี่คนกำลังเล่นวิ่งไล่จับ ฝากให้เล่นด้วย พร้อมยืนคุม ครู่ใหญ่ก็บอกเด็กที่โตที่สุดคนหนึ่งว่าฝากน้องพราวด์ครู่เดียว เพราะจะขอเข้าไปดูที่ในครัวว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ คล้อยหลังแจ๊วเดี๋ยวเดียว เด็กหญิงพราวนภาที่ถูกพี่วิ่งไล่จับก็ร้องกรี๊ดๆ สนุกสนานเพราะถูกไล่งับ ด้วยบทสมมติว่าเป็นปลาเป็นจระเข้ แล้วเลยวิ่งหนีไปหลบตรงพุ่มไม้ ก่อนเตลิดไปอีกทางเมื่อถูกพวกพี่ๆ ตามหาจนเจอ แล้วก็ชนเข้ากับชายร่างสูงใหญ่พอกันกับบิดาของเจ้าตัว “ลูกสาวใครครับเนี่ย”                         ชายคนนั้นทักยิ้มๆ สาวน้อยเอียงมองชายร่างสูงใหญ่ที่ย่อตัวลงมาคุยด้วย จนสายตาแทบอยู่ในระดับเดียวกันแล้วก็มองจ้องอีกฝ่าย ท่าทางแม่หนูคล้ายอยากคุยแต่เพราะถูกพร่ำสอนมาเสมอว่าไม่ให้คุยกับคนไม่รู้จัก หรือคนแปลกหน้า แม่หนูน้อยเลยเปลี่ยนจากทีท่าเป็นมิตรเป็นมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจในทันที “ว๊ายตายแล้ว คุณหนูพราวด์คะ มาซนอยู่นี่เอง พี่แจ๊วใจหายหมด แหม ปล่อยไว้ไม่ได้เลยจริงๆ” แจ๊วที่วิ่งตามหาจนหน้าซีด หอบไปบ่นไป ชายคนนั้นมองเด็กหญิงก่อนเอ่ยถาม “ลูกสาวใครครับพี่แจ๊ว” “ของคุณบารมีค่ะ” “นี่ลูกโตขนาดนี้แล้วหรือครับ ไปแต่งงานตอนไหนครับเนี่ย ทำไมผมตกข่าว” อีกฝ่ายเย้าอย่างรู้ตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดี แจ๊วทำเพียงค้อนปะหลับปะเหลือกให้ ไม่ตอบคำใดกับชายคนนั้น ก็พอดีบารมีเดินเข้ามาสมทบ มองชายคนนั้นที่รูปร่างไล่เลี่ยกัน ย่อตัวลงอุ้มเด็กหญิงพราวนภาขึ้นมาไว้ในวงแขนตนเองเสร็จแล้วค่อยทักชายคนนั้น “กลับมาเมื่อไร” อีกฝ่ายยิ้ม ก่อนยกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับพี่ ลูกสาวน่ารักจังเลยนะครับ” บารมีไม่ว่าอะไรเพราะกำลังยื้อร่างเล็กในอ้อมแขนที่อยากลงไปวิ่งเล่นมากกว่าให้คนเป็นพ่ออุ้ม สุดท้ายก็ต้องปล่อยบุตรสาวไปเมื่อเจ้าตัวดิ้นขลุกขลักหนักขึ้น พอลงพื้นได้ก็วิ่งป๋อไปเล่นกับคนอื่นๆ ต่อ ส่วนแจ๊วรีบวิ่งตามเด็กหญิงไป ชายคนนั้นมองซ้ายทีขวาทีก่อนขยับเข้ามายืนใกล้ๆ วกเข้าเรื่องของตนทันทีที่มีโอกาสได้สนทนากับบารมีตามลำพัง “พี่...ผมมีเรื่องอยากรบกวน” บารมียิ้มมุมปากก่อนถามกลับ “เงินอีกหรือไง” “ผมก็มีปัญหาอยู่เรื่องเดียวนี่แหละ พี่ก็น่าจะรู้นี่ครับ” บารมีรับแล้วเอ่ยปากหยั่งเชิง “ช่วยอะไรพี่ก่อน ส่วนเรื่องเงินน่ะไม่มีปัญหา” ชายสองคนมองตากันอึดใจไม่นานชายคนนั้นก็ยอมลงให้บารมี รับปากตามที่บารมีต้องการให้ช่วยเพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ที่เคยได้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสี่ปีก่อน และกำลังจะได้ก้อนใหญ่นี่อีกครั้งในเร็ววันนี้ งานเลี้ยงเลิกราแล้ว บารมีลงนั่งที่โซฟา ก่อนถามหาใครบางคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยตั้งแต่เช้ากับคนสนิทที่ยกเบียร์เข้ามาบริการ “พลินไปไหนคุณมล” “อยู่หลังบ้านนู่นแน่ะค่ะ ทำอาหารอยู่หน้าเตานั้นเตานี้จนหน้าเงี้ยทั้งมัน ทั้งดำไปหมดแล้วล่ะค่ะ” ศยามลพยายามพูดเอาดีให้พลิน แต่ดูเหมือนบารมีจะไม่อยากฟัง เสียงแข็งเอ็ดกลับ “ทำไมไม่ออกมาดูลูก งานในครัวมันใช่หน้าที่เขาหรือไง” ศยามลอยากบอกว่าให้ไปถามนายแม่ดูเอาเองเถอะ แต่แล้วก็เม้มปากแน่นๆ เอาไว้ พูดน้อยไว้น่าจะดีกว่าพูดมากแล้วตกงาน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม