4

4165 คำ
ญาดานั่งรอเงียบๆ ตรงมุมมืดอยู่อย่างนั้นนานร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ คิดสะระตะวุ่นวายอยู่ในหัวถึงเรื่องราวหลายๆ อย่างในชีวิตไล่เรียงมาจนหยุดความคิดอยู่ที่เรื่องราวครั้งเมื่อสี่ปีก่อน รวมไปถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นด้วย พลันประตูห้องเปิดออก พร้อมร่างของชายหนุ่มอีกคนที่เธอยอมตามเขามาไกลถึงบอสตันเพื่อชีวิตที่ดีกว่า “ไปไหนมาคะอสิตย์” ถามจากมุมที่นั่งรอ เห็นเขาสะดุ้งเล็กน้อย คงตกใจ ก่อนยกมือขึ้นลูบใบหน้าตอบเสียงที่พอฟังออกว่ามึนเมามา “ไม่นอนอีกหรือไง เดี๋ยวหน้าไม่ตึงก็มาบ่นอีก” ญาดาสูดหายใจแรงๆ เข้าออกหลายๆ ครั้งติดกัน เมื่อได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ เสียงที่เอ่ยถามจึงสูงตามแรงอารมณ์ในขณะนั้นไปด้วย “ดาถาม...ว่าคุณไปไหนมา” ย้ำด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ไปดื่มกับเพื่อนนิดหน่อยน่า” ญาดาลุกพรวด เดินเข้ามาจนใกล้ชายผู้เป็นสามีทางพฤตินัย โน้มหน้าลงไปหาหน่อยเดียว แล้วชักสีหน้า “ทำไมมีกลิ่นน้ำหอมติดมาด้วย คุณไม่ได้ใช้กลิ่นตอแหลแบบนี้นี่คะ” “ดูพูดเข้า” อสิตย์เลี่ยงไปอีกทางเพื่อลดแรงประทะ แต่แล้วญาดา กลับเดินตาม เธอต้องการการปะทะ ไม่ต้องการให้เรื่องจบแบบครั้งก่อนที่เขาบ่ายเบี่ยงไม่ตอบเธออีกแล้ว เป็นอย่างไรก็ให้เป็นกันหากวันนี้ต้องแตกหัก เธอยอม “คุณมีคนอื่นใช่ไหมอสิตย์” “อย่าจับผิดกันนักเลยดา ที่ร้านคนมันเยอะ ก็ต้องมีเดินชนเดินเบียดกันบ้างสิ” ญาดากดมุมปากลง เบ้หน้าก่อนถามเสียงหยัน มองกราดคนตรงหน้าขึ้นลงรอบเดียว สายตาสะดุดอยู่ที่กระเป๋ากางเกงของเขา “แล้วนี่ เบียดกันแบบไหนคะถึงมีจีสตริงสีแปร๋นติดกระเป๋าคุณมาด้วย” ว่าจบ เอื้อมมือออกไปคว้าชิ้นผ้าที่ห้อยแล่งอยู่ อสิตย์ดึงกลับตวาดให้บ้าง “ทำตัวแบบนี้ไง ผมถึงต้องติดจีสตริงคนอื่นมาด้วยน่ะ” ญาดาผลักอกอสิตย์เต็มแรง ตวาดถามดังลั่นห้อง “ฉันทำตัวยังไง” “เอาเถอะ ถ้ายังไม่รู้ตัว ผมก็จนปัญญากับคุณแล้ว” ชายที่เคยบอกว่าเธอสวย เธอน่ารัก และเขาจะรักเธอคนเดียวไปจนวันตายพูดจบ ส่ายหน้า ทำท่าจะปลีกตัวไป ญาดาตวาดเรียกเขาอีกครั้ง “อสิตย์! ถ้าคุณเดินหนีดาแบบนี้ก็จบกันไปเลยนะ ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว เลิกกันไปเลย!” แต่อสิตย์ไม่หือไม่อือแล้วก็ไม่อยู่ฟังด้วย ชายที่เธอเลือกเขามาเป็นสามีเดินจากไปแล้ว และญาดาก็เครียดหนัก เธอปวดหัวจี๊ดเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่วาดหวังเอาไว้เลยสักเรื่องเดียว เธอคิดผิดแท้ๆ ที่หนีผู้ชายอย่างบารมี เพื่อมาอยู่กินกับอสิตย์ บารมีชอบเธอ เผลอๆ คงเข้าขั้นรักหลงอย่างหนักดูจากที่เขาลงทุนพาผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอเธอกับพ่อ ไหนจะสินสอดนั่นอีก เขาคลั่งไคล้เธอมากแค่ไหนใครๆ ก็บอกแบบนั้น แล้วผีป่าซาตานตนไหนที่มันเข้าสิงเธอ ให้มองว่าอสิตย์ดีกว่าบารมี ที่หนีตามอสิตย์มาอยู่ที่นี่ หนึ่งเพราะเห็นว่าเป็นลูกชายนักการเมืองใหญ่โตในจังหวัด และอสิตย์ยังเปิดบริษัทระดมเงินทุนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นอีกด้วย คิดว่าจะรุ่งที่ไหนได้ตอนนี้ร่วงกราวเลยทีเดียว ทั้งยังถูกปิด ถูกแฉ ถูกตามตัวกันให้ควั่กข้อหาฉ้อโกง จนต้องอยู่เงียบๆ มาเป็นปีร่วมสองปีนี่แล้ว รายรับของอสิตย์จึงเข้าขั้นวิกฤต เพราะเขาไม่ได้หยิบจับทำงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย แล้วยังพฤติกรรมนอกลู่นอกทางนั่นด้วยที่ทำให้เธอมองเขาไม่หล่อเหลาดังเก่าอีกต่อไป เมื่อก่อนญาดาใช้สมองส่วนไหนมองผู้ชายแบบ อสิตย์กัน ถึงได้เห็นว่าผู้ชายแบดบอยแบบอสิตย์ดูหล่อดูเท่ดี แล้วตอนนี้สิ มันแบด มันแย่จนน่าสะอิดสะเอียนอย่างที่สุด เธอจะต้องหาทางไปจากอสิตย์ และอีกหนึ่งก็เพราะเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นที่ผลักดันให้เธอทิ้งบารมีมาอย่างง่ายดาย วันที่เธอเห็นพลิน น้องสาวของเธอนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงกับบารมีก็เลยทำให้ตัดสินใจที่จะทิ้งบารมีมากับอสิตย์ ช่างปะไรเล่า เรื่องแค่นั้นเธอไม่ถือสาหรอก และหากว่าเธอจะกลับไปหาบารมีตอนนี้ยังทันไหม ญาดาครุ่นคิดเสี้ยววินาทีก่อนตอบตัวเอง คิดว่าน่าจะทัน จำได้ว่าเขาออกจะหลงใหลเธอปานนั้น บารมีน่าจะยังคลั่งรักเธออยู่ ญาดาลุกขึ้นเดินไปส่องดูตัวเองในกระจกเงาที่สะท้อนออกมา เธอยังดูสวยอยู่เลย คิดเข้าข้างตนเองพร้อมวางแผนในหัวเป็นฉาก ชีวิตของเธอจะต้องไม่มีวันตกต่ำ หากเธอได้กลับไปหาบารมีอีกครั้ง ส่วนเรื่องที่พลินเคยเป็นเมียบารมีก็ช่างปะไร ได้ข่าวว่าเขาไม่ได้ยกย่องเชิดชูตกแต่งให้ด้วยซ้ำ แล้วลงมือเก็บของเตรียมตัวกลับบ้านเกิดของตนเอง          “พลิน” เสียงเรียกชื่อดังตามหลังมา ขณะที่พลินกำลังเดินตรงสู่ห้องครัว ส่วนเด็กหญิงพราวนภานั้นเล่นอยู่กับสองสาวคนรับใช้ที่อาสาคอยดูให้ในตอนที่เธอต้องทำมื้อกลางวันให้ลูก พลินหันไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนคนที่สนิทที่สุดของเธอนั่นเอง เหตุการณ์เมื่อตอนเช้ายังก่อความรู้สึกหนึ่งในใจไม่จางหาย มันไวเกินไป จนพลินตั้งรับไม่ทัน ยิ้มเจื่อนๆ เอ่ยตอบไป “ว่าไงหนึ่ง” น้ำหนึ่งมองพลิน เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วถึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ “เรื่องของหนึ่งกับคุณบารมี...” พลินรีบยิ้มให้กว้างเข้าไว้แล้วว่า “หนึ่งไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องบอกอะไรพลินหรอก พลินเข้าใจดีจ้ะ” น้ำหนึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ถามกลับ “พลินเข้าใจว่ายังไง” นั่นสิ เธอเข้าใจภาพเหตุการณ์เมื่อคืนและเมื่อตอนเช้านี้ว่าอย่างไรบ้าง พลินเม้มปากเมื่อถูกย้อนถามแบบนั้น ถอนใจยาวเหยียด เอ่ยปากออกมาอย่างไม่ให้ฟังว่าน่าเกลียดเกินไป “ก็...คุณบารมีเป็นผู้ชาย แล้วหนึ่งกับเขาก็คง...คงกำลังคบกันอยู่ เป็นธรรมดามั้งที่ต้องไปมาหาสู่กันน่ะ” น้ำหนึ่งถอนหายใจอีก แล้วถาม “พลินไม่หึงหรือ” “บ้า!” พลินว่าออกมาสั้นๆ คำเดียว “พลินไม่มีสิทธิ์หึงคุณบารมีหรอกหนึ่ง” “ทำไมล่ะ” “พลินกับคุณบารมีไม่ได้เป็นอะไรกันนี่” “แต่พลินมีลูกกับคุณบารมีนะ” พลินถอนหายใจเฮือก เมินมองไปทางอื่น “คนสองคนที่จะหึงหวงกันได้ มันต้องมีความรักเป็นพื้นฐานหรือเปล่าหนึ่ง หนึ่งก็รู้นี่ว่าน้องพราวด์ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความรักเลยน่ะ” น้ำหนึ่งมองเพื่อนที่เสียงสั่นเครือในตอนท้าย แล้วชั่งใจว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ สุดท้ายก็เม้มปากเอาไว้แน่น บอกเสียงแผ่ว “หนึ่งขอโทษนะพลิน” ได้ยินคำขอโทษของเพื่อนที่สนิทที่สุด ก็ว่าตอบกลับไป “อย่าคิดมากเลยหนึ่ง พลินบอกแล้วไงว่าพลินเข้าใจ แล้วถ้าหนึ่งกับคุณ....” พลินชะงักไปครู่เดียวด้วยความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ค่อยพูดต่อ “กับคุณบารมีจะคบหากัน พลินก็ดีใจด้วย” เธอไม่อยากซักถามอะไรอีก เธอไม่มีสิทธิ์ในการจะไปถามอะไรทั้งนั้น หากทั้งสองจะคบหากันจริงเธอก็ยินดีด้วยจริงๆ อย่างที่บอกไป น้ำหนึ่งถอนใจเฮือกเดินออกมาแล้วก็ยังยืนคิดวุ่นวายในหัวถึงเรื่องเมื่อคืน บารมีที่เพิ่งลงมาจากห้องของเขา ถามเสียงขรึม “กลับเลยไหมครับ” น้ำหนึ่งพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดปานกัน “ค่ะ” ขณะพากันเดินไปที่รถ น้ำหนึ่งที่ชั่งใจอยู่นานถามเจ้าของไร่มากล้นบารมีขึ้น “ปล่อยให้เป็นแบบนี้จะดีหรือคะ” บารมีไม่ตอบอะไรเธอก่อนพาขึ้นรถแล้วขับไปส่งยังเซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่งในเวลาต่อมา   หลังจากได้คุยกับน้ำหนึ่งวันนั้นแล้ว ก็ไม่ได้พบหน้าเพื่อนอีกเลย ส่วนบารมีได้ข่าวว่าเขาไปธุระที่อีกจังหวัดเพื่อขยายฟาร์มเลี้ยงปศุสัตว์อินทรีย์อีกแห่ง เดิมทีคิดใช้พื้นที่ติดกันกับไร่มากล้นบารมี แต่แล้วคนรู้จักกันเสนอขายที่กว่าพันไร่ให้ เขาจึงต้องไปดูสถานที่ด้วยตนเอง น่าจะราวๆ สัปดาห์ถึงกลับ รุ่งขึ้นจึงได้รับคำขอร้องจากศยามลให้ช่วยงานในสำนักงานเป็นการชั่วคราวเพราะงานล้นมือ อีกทั้งคนที่ทำงานอยู่เดิมก็ออกไปโดยไม่ยอมบอกล่วงหน้า ศยามลเอ่ยปากขอร้องพลินให้ช่วยเหลือราวกับสนิทกันเป็นอย่างดี “นะคะคุณพลิน” พลินเพียงยิ้มบางๆ ศยามลก็ร่ายยาวแจกแจงออกมา “คุณพลินพอพิมพ์เอกสารได้น่ะก็ช่วยพี่หน่อยเถอะ รายงานการประชุมเอย จดหมายของนายเอย กองท่วมหัวพี่แล้วนะคะเนี่ย” ศยามลออกปากวอนขอ อย่างมีความหวัง “แล้วนังน้องที่มันเคยทำในสำนักงาน จู่ๆมันก็ไม่มาค่ะ โทรตามก็ติดต่อไม่ได้ หายหน้าไปเลย พี่มลนี่ยุ่งจนหัวปั่นไปหมดแล้ว โอ๊ย...พี่ปวดหัวค่ะน้องพลิน” ได้ฟังอีกฝ่ายขอมาแล้วก็ยิ้มปลอบใจ “ให้พลินช่วยอะไรบ้างคะ” ศยามลหรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นมอง หยุดโอดครวญ แล้วจ่ายงานทันที “แค่พิมพ์รายงานไม่กี่หน้าเองค่ะ แล้วก็ถ้าไม่เหนื่อยช่วยดูเอกสารสามแฟ้มนี้ให้พี่ด้วย ที่เหลือพี่ทำเองได้ค่ะ” บอกเสร็จทำท่าตกอกตกใจ “อุ๊ย...แล้วน้องพราวด์ล่ะคะอยู่ยังไง” พลินกำลังจะอ้าปากบอก อีกฝ่ายรีบแย้งคำตอบออกมาเสียเองหลังจากที่ถามออกไปเมื่อครู่ “เอาอย่างนี้ดีกว่า พี่ว่าเราพาน้องพราวด์ไปกับพวกเราด้วย แล้วก็เอาเด็กๆ ไปช่วยดูอีกสักคนสองสามคนดีไหมคะน้องพลิน” คราวนี้พลินยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตนได้พูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจัดการทุกอย่างคนเดียวจนเสร็จสิ้นให้แล้ว ตกลงกันได้ก็ส่งยิ้มให้กัน พาตรงสู่อาคารสำนักงานของไร่มากล้นบารมีในเวลาต่อมา   พลินละมือเมื่อพิมพ์งานที่ศยามลวานให้ช่วย ชะเง้อมองบุตรสาวเห็นเล่นสนุกอยู่กับสามสาวที่วานให้อยู่เล่นกับน้อง แล้วก็สะดุ้งตกใจเมื่อมีสายเรียกเข้ามาในตอนนั้น เหลียวมองซ้ายขวาไม่เห็นมีใคร จึงลุกไปรับสายเสียเอง บุคคลที่โทรเข้ามาว่าขึ้นทันทีที่การติดต่อถูกเชื่อมต่อสัญญาณเป็นอันเรียบร้อย “ขอสายคุณบารมีจ้ะ” “เอ่อ...คุณบารมีไม่ได้เข้ามาที่สำนักงานค่ะ ต้องการติดต่อเรื่องอะไร ฝากเอาไว้ไหมคะ” ปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนถามกลับ “เดี๋ยวนะ นั่นพลินใช่ไหม” พลินนิ่งไปเสี้ยววินาที ก่อนกลืนน้ำลายลงคอเมื่อพอจำเสียงทางนั้นได้ แม้ว่าจะนานเป็นปีแต่เพราะเติบโตมาด้วยกันเหตุใดถึงจะลืมได้ลง ตอบรับด้วยใจโหวงๆ ชอบกล “ใช่ค่ะ” “พี่ดาเองนะพลิน” “พี่ดา…” “จ้า พี่เอง” “เอ่อ พี่ดาคะ คือ...” “พลิน ทำไมเราไปอยู่ที่นั่น ไหนว่าเรากับลูกอยู่ที่บ้านของคุณแม่ไง” ปลายสายซักถามมาเป็นชุด น้ำเสียงดูร้อนรนชอบกล ทั้งยังเรียกคุณศุภลักษณ์ว่าคุณแม่อย่างสนิทสนมไม่น้อย “เอ่อ คือ พี่ดาคะ คือว่า...” พลินพยายามอธิบาย แต่ปลายสายไม่ฟังความใดๆ เพราะตนเองต้องการพูดมากกว่าที่จะโทรศัพท์มาฟังคนอื่น “พี่เสียใจกับเหตุการณ์คืนนั้นอยู่เลยนะพลิน แล้วพี่ก็พยายามทำใจมาตลอด แต่นี่...พี่มีข่าวดีจะบอกเรา” พลินพูดไม่ทัน ได้แต่ถอนหายใจถามกลับ “ข่าวดีอะไรหรือคะพี่ดา” “พี่จะกลับบ้านแล้วน่ะสิพลิน” “คะ? พี่...พี่ดาจะกลับบ้านแล้วหรือคะ” ยังทวนความไม่ทันจบดี ปลายสายก็เร่งเร้า หาพวก “พลินช่วยพี่ได้ไหม พี่อยากกลับไปคบกับคุณบารมีอีก” “เอ่อ...แต่ แต่ว่า” “เอาเถอะจ้ะ ไว้พี่ไปถึงที่ไทย เราค่อยคุยกันเรื่องนี้อีกที” ญาดาตัดขาดการสนทนาไปนานแล้ว แต่พลินยังคงถือสายค้างเอาไว้อยู่อย่างนั้นด้วยหัวใจที่เหมือนถูกชนด้วยรถสิบล้อและเหยียบซ้ำจากเท้าของใครสักคน ญาดากำลังจะกลับมา บารมีรู้ข่าวนี้ เขาคงดีใจและมีความสุขเสียที หากว่าญาดากลับมา สองคนคงได้ลงเอยกันในที่สุด แล้วความคิดคำนึงถึงเพื่อนก็แวบเข้ามาในหัว น้ำหนึ่งเพื่อนของเธอเล่า จะทำอย่างไร ทำไมเรื่องมันถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนี้กันนะ             นายสมกำลังแย่ เขาเคยคิดให้บุตรสาวคนโตสานสัมพันธ์กับบารมีเพราะหวังจะได้หุ้นในกิจการค้าผลผลิตทางการเกษตรของอีกฝ่าย ที่ทำท่าว่าไปได้ดีทีเดียว แต่บุตรสาวกลับบอกให้เขาเปลี่ยนแผน เพราะครอบครัวของอสิตย์ดูรวย ดูมีภาษีดีกว่าบารมีมากโขอยู่พอควร เอาเข้าจริง มีแต่เปลือก พลาดไปแล้วที่เดินทางผิด ประจวบเหมาะกับที่มีเรื่องในค่ำคืนคืนนั้นเมื่อสี่ปีก่อนจนได้มีศักดิ์เป็นพ่อตาของบารมีแล้วแท้ๆ แต่ที่ไหนได้ อีกฝ่ายหาได้ยกย่องบุตรสาวอีกคนของเขา จากเดิมที่นายสมอาสาช่วยงานบารมี และโดยกมลสันดานเป็นคนไม่ซื่อตรง พอสบโอกาสจึงโกงเงินเล็กๆ น้อยๆ เข้าบัญชีของตัวเอง แต่แล้วทางนั้นก็ไหวตัวทัน บารมีคงจับไม่ได้ไม่มีหลักฐาน เพราะนายสมทำลายหลักฐานทิ้งหมดแล้ว จากนั้นบารมีก็ดูเงียบไป ก่อนเรียกเขาไปคุยด้วย เอ่ยปากว่าจะเอาคนอื่นมาช่วยงานในตำแหน่งของเขาแทน นายสมมีหรือจะกล้าหือกล้ามีปากมีเสียงคัดค้านเรื่องที่ให้คนอื่นมาทำงานแทน ก็ได้แต่ยิ้มรับ เก็บของกลับบ้านไป พร้อมเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่บารมีให้คนโอนเข้าบัญชีตามมา คงเป็นเงินค่าน้ำนมของพลิน แต่แล้วเงินนั่นก็หมดไปนานแล้ว จะทำอย่างไรดี ถึงจะกลับไปจับมือกับบารมีได้อีก นายสมนั่งสูบบุหรี่คิดอย่างเครียดๆ ที่ระเบียงบ้านเป็นนาน ก็ได้รับสายจากทางไกลเมื่อเด็กในบ้านส่งโทรศัพท์ให้ ปลายสายรีบส่งเสียงถามมา “คุณพ่อว่างคุยไหมคะ” “ดาหรือนั่น มีอะไรลูก” น้ำเสียงนายสมอ่อนลงในทันทีเมื่อได้ยินว่าเป็นบุตรสาวที่ตนรัก            สิ้นคำทักทายสั้นๆ ปลายสายเริ่มเล่าเรื่องคับข้องใจให้บิดาฟัง แล้วปรึกษากันในตอนท้าย ใบหน้าของนายสมจากที่เครียดจัดในตอนแรกค่อยคลายลงจนเริ่มยิ้มออก ถ้าญาดากลับมาจริงอย่างที่ว่า เขาก็มีหนทางรอดในครั้งนี้แล้วน่ะสิ มันช่างโชคดีอะไรอย่างนี้วะ นายสมเรียกให้คนในบ้านยกเหล้า ยกสำรับมากินฉลองล่วงหน้าในตอนนั้นเอง   รุ่งขึ้นพลินตั้งใจจะออกไปเที่ยวหามารดา เพราะรู้ข่าวจากคนแถบนั้นที่วานให้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้อีกทอดเมื่อคืนนี้ว่านางพยอมลื่นล้มที่หน้าบ้านของตัวเองราวๆ มะรืนวานนี้ แต่แล้วไม่ยอมโทรศัพท์มาบอกสักคำ และแน่นอนว่าท่านต้องไม่ได้ไปพบแพทย์เป็นแน่ ห่วงมารดาจับใจ อยากออกไปหาท่านตั้งแต่เมื่อคืน แต่อดใจเอาไว้ รอจนเช้าค่อยไปน่าจะเหมาะกว่า เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกแล้ว จะไปก็นึกห่วงลูก และเธอยังพักอยู่ในเคหสถานของบารมีอีกด้วย จะออกไปไหนควรบอกให้เขารู้ก่อน ประเดี๋ยวมาว่าเธอได้ว่าไม่รู้จักมารยาทสังคม รอจนถึงช่วงสายค่อยต่อสายหาเขา แต่ติดต่อไม่ได้ จึงบอกกับทางศยามลก่อนว่าจะไปไหน แล้ววานคนรถของที่นั่นให้ช่วยพาเธอกับลูกไปส่งยังบ้านของมารดาที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่อีกอำเภอ ใช้เวลาเกือบห้าสิบนาทีจึงถึงที่หมาย พลินมองบ้านหลังย่อมเบื้องหน้าด้วยแววตาเป็นประกายก่อนอ่อนแสงลง เดิมทีที่ดินผืนนี้รกร้าง หลังบ้านติดลำคลองสายเล็กๆ เจ้าของเดิมย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นแล้ว ติดต่อซื้อขายกันได้ไม่ยากเย็นเพราะทางนั้นต้องการขายพอดี ถึงได้กลายมาเป็นบ้านปูนหลังไม่ใหญ่ไม่โต แต่พลินก็พึงใจไม่น้อยที่ได้เป็นเจ้าของบ้านน้อยหลังนี้ เปิดประตูรถลงไปพร้อมพาร่างเล็กของเด็กหญิงพราวนภาตามลงมาด้วย ก็แว่วเสียงทักของแม่ดังขึ้น “พลิน ยัยหนูของยายจ๋า” “แม่” คนเป็นยายเรียกสองสาวที่มีศักดิ์เป็นบุตรีและหลานสาวพร้อมกับฝืนเดินตัวตรงเข้าไปหา “กินอะไรกันหรือยัง ยายกวนกระยาสารทเอาไว้ให้แหน่ะ มีกล้วยไข่ของชอบของหนูด้วยนะลูก” “น้องพราวด์อยากกินค่ะคุณยาย คิดถึงขนมคุณยายที่สุดในโลกเลยค่ะ” “มาลูกมา ยายจ๋าคิดถึงหนูใจจะขาดแล้วเหมือนกัน พลินพาลูกเข้าบ้านก่อน แม่จะเข้าไปเอาของมาให้กิน” “แม่ไปนั่งเถอะ พลินยกเองจ้ะ” พลินเข้าไปประคองมารดาเข้าบ้าน นางพยอมเลยนิ่งไม่ฝืนสังขารตนเองอีกต่อไป พาสองยายหลานนั่งลงตรงโซฟาราคาไม่แพงที่เน้นการใช้งานเป็นหลักเรียบร้อยแล้วจึงเข้าครัวไปยกของที่นางพยอมว่าไว้มาให้บุตรสาว พอเด็กช่างกินหยิบขนมเข้าปากได้ครู่ใหญ่ ถึงได้หันไปคุยกับนาง พยอม “ไปหาหมอกันนะแม่” นางพยอมหลบตา หยิบขนมที่เลอะปากหลานออกด้วยความเอ็นดู บอก “ไปทำไม แม่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” “ก็แม่ล้ม” พลินแย้งเสียงอ่อน แม้มารดาจะดื้อแต่เธอไม่กล้าดุท่าน แม่ก็คือพระในบ้านที่ต้องให้ความเคารพ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พลินกับนาง พยอมมีเรื่องขัดแย้งกัน นางพยอมเบือนหน้าหนี นึกได้ในทันทีว่าใครปากดีเอาไปฟ้องบุตรสาวของตน แต่ก็แกล้งถามไปอย่างนั้นเองเพื่อความมั่นใจ คราวหน้าจะได้กำชับว่าอย่าเอาไปฟ้องพลินอีก นางไม่อยากให้บุตรสาวของนางต้องมาคอยห่วง เท่านี้พลินก็ทุกข์ใจ ลำบากใจมากพอแล้ว จึงไม่อยากเป็นภาระให้อีก “ใครเอาไปฟ้องล่ะคราวนี้” “แม่...” เรียกท่านเสียงอ่อนลงอีก พลินเองก็ไม่ได้อยากเซ้าซี้มารดา แต่เพราะท่านผ่านการผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอวแล้วยังใส่เหล็กดามเอาไว้ถึงสามข้อ เธอจึงไม่สามารถทำเฉยละเลยอ่อนข้อให้ท่านในเรื่องนี้ได้ “แม่ผ่าหลังนะ แล้วล้มแบบนั้นเหล็กมันเคลื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังไงก็ต้องไปหาหมอนะแม่” นางพยอมคิดแล้วก็เศร้าใจ หาหมอทีก็ใช้เงิน ไปผ่าหลังมานี่ก็ใช่ว่าใช้สิทธิ์รักษาฟรีที่ไหน ได้แต่นิ่งไปอึดใจแล้วก็ว่า “แม่นวดน้ำมันของหลวงลุงไปก็ค่อยยังชั่วแล้วนะพลิน” “ไม่ได้จ้ะแม่ ยังไงก็ต้องไปหาหมอ ให้หมอตรวจดูหน่อย เกิดเหล็กแม่เคลื่อนออกมาหลวงลุงผ่าให้แม่ได้ไหมล่ะ” นางพยอมได้รับการผ่าตัดจากหมอออร์โธปิดิกส์ฝีมือดีที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังเมื่อสี่ปีก่อน และพลินก็ได้รับข้อมูลจากแพทย์และพยาบาลเรื่องข้อห้ามข้อควรระวังของคนที่ต้องผ่าหลังมาพอสมควร หนึ่งในนั้นมีเรื่องที่ระมัดระวังคือการหกล้มรวมอยู่ด้วย นางพยอมนิ่งไม่ว่าอะไรต่อจากนั้น พลินยอมให้ตัวเองเจ็บปวดเจ็บช้ำใจได้ แต่จะไม่ยอมให้แม่ต้องมาทนทุกข์กายใจกับเธอโดยเด็ดขาด “สรุปว่าไปนะแม่ พรุ่งนี้พลินจะพาไป” “ลำบากเปล่าๆ น่า เอาอย่างนี้ถ้ามันปวดขึ้นมาอีกแม่จะไปหาหมอเอง นี่แม่ไม่ปวดแล้วนะ” ต่อรองแล้วเสเปลี่ยนเรื่องคุยเสียเลย “มากันยังไง ใครมาส่ง ค้างบ้านเราไหมคืนนี้” “อยากค้างเหมือนกันจ้ะ แต่ไม่ได้บอกใครไว้เลย กลัวเขาจะว่าเอาได้ว่าไปไหนมาไหนไม่บอกไม่กล่าว” นางพยอมพยักหน้าอย่างพอจะเข้าใจ แล้วสามสาวต่างวัยก็อยู่คุยกัน ทำอาหารด้วยกัน อยู่กินกันจนเย็นย่ำ พลินที่นัดหมายกับคนขับรถเอาไว้ออกมาชะเง้อมองเห็นว่ารถมารอแล้วที่ด้านนอก จึงกลับเข้าบ้านเพื่อไปลามารดา   “อ้าว คุณบารมีมานู่นแล้ว” เสียงมารดาทักคนที่เดินตามหลังพลินมา หันขวับไปมองพบว่าเป็นบารมีจริงๆ แทนที่จะเป็นคนขับรถของไร่ เขามองเธอแวบเดียวด้วยสายตาเฉยเมยแล้วบอกกับนางพยอม “ผมเพิ่งกลับมาจากธุระครับ เลยแวะรับลูก” พลินหลบตาเขาวูบเมื่อบารมีมองมา ท่าทางดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ไม่รู้โกรธอะไรหรือใครมาถึงได้หน้าตาบึ้งตึงแบบนั้น ตอนเห็นเขาแวบแรกเธอดีใจแต่พอได้ยินเขาว่ามารับลูก โดยไม่ได้เอ่ยอะไรถึงเธอเลยก็ให้ใจห่อเหี่ยวลงในทันที “ค่ะ ค่ะ คุณบารมีอยู่รับประทานอะไรกันก่อนไหมคะ” นางพยอมกระตือรือร้นต้อนรับ “ไม่เป็นไรครับ กลัวจะมืด” “ไปลูกไป คุณเขาจะคอยนาน” นางพยอมหันมาบอกกับเธอ พลินพยักหน้ารับ กำลังจะเข้าไปอุ้มบุตรสาวที่นั่งตาปรือเพราะอิ่มจัด ก็เห็นว่าบารมีตรงเข้าไปอุ้มเสียก่อน เขาโอบเด็กหญิงพราวนภาเข้ามาไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม แล้วพยักหน้าให้นางพยอมทำนองว่าลาก่อน ค่อยเดินนำหน้าไปยังรถของเขาที่จอดรอ พลินมองตามแผ่นหลังของเขา ก่อนถอนหายใจแล้วยกมือไหว้มารดาลาท่านแล้ว กำชับเรื่องอาการเจ็บ ถึงได้หอบหิ้วของเดินตามมา พบว่าบุตรสาวนอนเหยียดยาวที่เบาะหลังแล้ว พลินยืนมองนิ่ง เพราะไม่เคยต้องนั่งรถไปไหนมาไหนกับบารมีตามลำพังแบบนี้เลยสักครั้ง จึงทำตัวไม่ถูก “จะไปนั่งที่ท้ายรถก็ได้นะถ้าไม่อยากนั่งข้างหน้า” แว่วเสียงเขาบอกออกมาคล้ายไม่ใส่ใจ แล้วก็ให้เหมือนตัวเล็กลงเมื่อเห็นสายตาคมดั่งใบมีดที่บารมีเพียรใช้มองเธอ จึงเดินตัวลีบขึ้นนั่งเบาะด้านหน้าคู่เขา ประหม่าถึงขีดสุด มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ตรงไหนดี รู้สึกว่ามันเกะกะรุงรังจนน่าตัดทิ้ง “คราวหลังจะไปไหนมาไหนช่วยบอกกล่าวด้วย ไม่ใช่ว่าคิดอยากไปไหนก็ไป” นิ่งรอฟังเขาจบ ก็บอกเสียงแผ่ว “พลินโทรไปแล้วนะคะแต่ติดต่อคุณไม่ได้” “ไม่เคยมีใครบอกมาก่อนว่าติดต่อผมทางโทรศัพท์ไม่ได้” เธอนิ่งไปเมื่อเขาว่ามาแบบนั้น เพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ดูเหมือนบารมีตัดสินเธอไปแล้วว่าเป็นแบบไหน อย่างไร เลยนั่งเงียบตลอดทางจวบจนรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนคอนกรีตทางเข้าไร่ เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ที่มองในระยะไกลขนาดนี้ก็ยังเห็นเป็นคำว่า ‘มากล้นบารมี’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม