1. ขาดเสาหลัก
ณ บ้านแสนสุขหลังเล็กในชุมชมหนึ่งในเมืองหลวง
"แม่จ๋า ให้หนูช่วยอะไรไหม?" เสียงเล็กของเด็กสาววัยรุ่นวัย 16 ปี เอ่ยถามมารดาหลังจากที่ตนได้กวาดถูบ้านเสร็จแล้ว ร่างเล็กเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางในครัวที่ท่านกำลังจะทำอาหารมื้อเย็นอยู่
"ถูบ้านเสร็จแล้วเหรอ งั้นหั่นผักให้แม่หน่อยจะได้เสร็จเร็ว ๆ พ่อกลับมาจะได้ได้กินเลย" วารีหันมาบอกลูกสาวคนเล็กนามว่า วิลาสินี ก่อนจะหันไปกลับปลาในกระทอดต่อ
"ปลาทอดหอมจัง" วิลาสินีเดินไปหยุดข้าง ๆ ผู้เป็นแม่ ใบหน้าเล็กชะโงกไปมองปลานิลที่ออกเป็นสีเหลืองน่ารับประทาน สูดลมหายใจเข้าเอากลิ่นหอมเข้าปอดไปด้วย
"ของชอบเราล่ะสิ ไป ๆ ไปหั่นผักก่อน" วารียกฝ่ามือดันหน้าผากลูกสาวจอมแก่นไล่ให้เด็กสาวออกห่างจากกระทะที่น้ำมันกำลังเดือดเปะปะ ห่วงว่าน้ำมันจะกระเด็นโดนผิวสวย ๆ ของเธอ
"ค่า วันนี้หนูต้องกินข้าวสองจานแน่เลย" วิลาสินีพูดเสียงสดใส ถอยไปประจำยังเขียงไม้แล้วทำการหั่นหัวกะหล่ำปลีที่แม่ได้วางไว้
ขณะที่แม่ลูกกำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของวารีก็ดังขัดจังหวะขึ้น ขณะนั้นเป็นจังหวะที่ปลาทอดได้เหลืองกรอบพอดีเธอจึงได้ทำการปิดแก๊สก่อน
"เอาปลาขึ้นพักน้ำมันให้แม่ด้วย" วารีหันไปสั่งลูกสาวแล้วเดินไปยังโต๊ะอาหารซึ่งโทรศัพท์มือถือได้วางอยู่ตรงนั้น เอื้อมไปหยิบมาดูรายชื่อผู้เรียกเข้า ขมวดคิ้วเข้าหากันเข้ากันเมื่อเห็นแต่ตัวเลขสิบตัวแสดงให้เห็นว่าผู้โทรมาไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่บันทึกไว้
"สวัสดีค่ะ" เมื่อผู้โทรมาเป็นคนที่ไม่สนิท วารีจึงรับด้วยคำพูดเป็นทางการ
'สวัสดีครับ นี่เบอร์ภรรยาคุณวีระใช่ไหมครับ'
เสียงทุ้มไม่คุ้นหูปนความกังวลทำให้วารีรู้สึกใจคอไม่ดี
"ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?" วารีตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกังวลไม่แพ้คนทางปลายสาย เกิดลางสังหรณ์ว่าอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับผู้เป็นสามี
'ทำใจดี ๆ นะครับ คุณวีระประสบอุบัติเหตุรถชน เสียชีวิตแล้วครับ'
สิ้นเสียงบอกกล่าวของชายปลายสาย วารีเกิดอาการหูดับวิ้งไปชั่วขณะ แขนขาเกิดการอ่อนแรงทรงตัวไม่อยู่ทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น โทรศัพท์หลุดร่วงออกจากมือก่อนจะเริ่มสะอื้นไห้เมื่อจับใจความประโยคดังกล่าวได้ทั้งหมด
"ไม่! ไม่จริง!" วารีร้องตะเบ็ง สองมือกุมกันยกขึ้นมาทาบอกร่ำร้องปานใจจะขาดเสียให้ได้ที่ผู้เป็นที่รักได้จากไปกะทันหัน
"แม่! แม่เป็นอะไร!" วิลาสินีวิ่งเข้ามาหามารดาตนทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง สองแขนเรียวโอบกอดร่างอวบของแม่เพื่อปลอบประโลม เสียงร้องคร่ำครวญของแม่ทำเธอจะขาดใจไปด้วย
"พ่อ..พ่อหนู ตายแล้ว.." วารีพยายามหยุดการสะอื้นไห้หันไปหาลูกสาวคนเล็ก มือข้างหนึ่งโอบตัวเล็กมากอดแนบอกเพื่อปลอบใจกันและกัน ผ่านไปเกือบนาทีกว่าวารีจะตั้งสติได้ นึกขึ้นได้ว่าต้องไต่ถามเรื่องศพสามีจึงได้เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่คว่ำหน้าอยู่กับพื้น ดีที่ทางปลายสายทางโน้นเข้าใจสภาพจิตใจผู้สูญเสียจึงได้รอสายอยู่
"ขอ..โทษนะคะ ตอนนี้ศพอยู่ไหนคะ?" วารียกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง สูดหายใจลึก ๆ สะกดกลั้นความอ่อนแอเอาไว้ภายใน เธอต้องเป็นที่พึ่งของลูก ๆ ได้เมื่อตอนนี้ได้ขาดเสาหลักไปแล้ว ถ้าเธออ่อนแออีกคนลูก ๆ ของเธอจะอยู่ได้อย่างไร
'อยู่โรงพยาบาล K ครับ ตอนนี้มืดแล้ว มารับศพได้พรุ่งนี้เช้านะครับ' เสียงทุ้มตอบกลับอย่างใจดีก่อนจะขอตัววางสายไป
"พ่อ..พ่อจ๋า" วิลาสินีสะอื้นไห้ตัวโยนอยู่ในอ้อมอกผู้เป็นแม่ น้ำตาไหลเปรอะเปื้อนสองแก้มเนียนจนหมดสิ้นความสวย
ขณะนั้นวารีก็ได้รีบต่อสายหาวิรัศยาลูกสาวคนโตที่ไปทำงานอยู่เกาะใดเกาะหนึ่งของประเทศ แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นที่ใดเพราะลูกสาวคนโตไม่ได้บอกไว้ แต่ติดต่ออย่างไรก็โทรไม่ติดจนเธอถอดใจหันมากอดปลอบประโลมลูกสาวคนเล็กต่อ
วิลาสินีได้ยินเสียงผู้เป็นแม่บ่นว่าติดต่อพี่สาวไม่ได้แต่เธอก็ไม่ได้สนใจรับรู้ตรงนั้น เพราะตอนนี้ใจเธอรู้แต่เพียงว่า ต่อจากนี้ไปจะไม่มีพ่อผู้แสนจะใจดีอีกแล้ว พ่อจากเธอไปตลอดกาลเสียแล้ว
..............................