2. ทุนจากผู้ใหญ่ใจดี

1339 คำ
รุ่งเช้า วิลาสินีก็ตามแม่ของเธอไปรับศพพ่อผู้ล่วงลับที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ขณะที่รอเจ้าหน้าที่จัดการเอกสารนำศพออก วารีก็ได้โทรหาลูกสาวคนโตของเธออีกครั้งเพื่อจะแจ้งข่าวร้ายให้ลูกได้รับรู้ ตู๊ด.. ตู๊ด.. "หวาน! ทำไมแม่โทรหาหนูไม่ติด ฮือ ๆ พ่อ..พ่อเขา ฮือ..." เมื่อทางโน้นรับสาย วารีก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ทันที 'พ่อทำไมคะ! พ่อเป็นอะไรคะแม่?' เสียงวิรัศยาดังลอดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนลน "พ่อหนู..พ่อหนูเสียแล้วลูก ฮือ ๆ " วารีตอบกลับไป น้ำเสียงแทบจะขาดใจเสียให้ได้เมื่อคิดไปว่าบุคคลอันเป็นที่รักไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว 'ไม่..ไม่จริง พ่อเป็นอะไร ทำไมพ่อถึงเสีย..' เสียงหวานของวิรัศยาถามเบาหวิวราวกับละเมอ "พ่อประสบอุบัติเหตุรถชน รถสิบล้อหลับในแล้วข้ามฝั่งมาชนรถพ่อ ฮือ.." วารีตอบลูกสาวขณะที่ตาสองข้างมีน้ำสีใสไหลออกมาไม่ขาดสาย หันมองไปทางวิลาสินีก็เห็นเด็กสาวยกสองมือปิดปากปิดเสียงสะอื้นอยู่ข้าง ๆ 'โถ่พ่อ.. ฮือ ๆ แม่ เดี๋ยวหนูกลับไปนะ เดี๋ยวหนูกลับไป ฮือ ๆ ' เสียงวิรัศยาดังกลับมาก่อนที่สายจะถูกตัดไป "แม่ติดต่อพี่หวานได้แล้วลูก เดี๋ยวพี่เขามา" วารีเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าก่อนจะดึงลูกสาวคนเล็กของเธอมากอด พยายามหักห้ามใจไม่ให้ร้องไห้เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งให้กับลูกสาว ขณะนั้นเองที่เจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่าเอกสารการรับศพเสร็จแล้ว วารีจึงได้นำศพสามีไปยังวัดเพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนา และในคืนวันนั้นเองที่วิรัศยา พี่สาวของวิลาสินีเดินทางมาถึง เด็กสาวเห็นหน้าตาของพี่สาวดูไม่ดีสักเท่าไร แต่ก็คิดว่าพี่ของเธออาจจะอยู่ในช่วงเสียใจที่พ่อเสียจึงไม่ได้ซักไซร้ถาม งานศพของวีระผ่านไปได้ด้วยดี ด้วยความช่วยเหลือของชาวบ้านใกล้เคียงที่ร่วมแรงร่วมมือกันจัดงานศพ ไม่เช่นนั้นลำพังผู้หญิงสามคนก็คงต้องเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว สองวันต่อมา "พี่หวานไม่ไปทำงานแล้วเหรอ?" วิลาสินีเอ่ยถามพี่สาวเมื่อเห็นว่าพี่ของเธอไม่ได้เตรียมตัวหรือพูดถึงงานพิเศษที่ได้ไปทำ เธอเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ หวานที่นั่งอยู่ยังโซฟาในห้องนั่งเล่น "พี่ไม่ได้ทำแล้วล่ะ" หวานตอบน้องสาว มือน้อยกดโทรศัพท์เพื่อดูหมายกำหนดการในวิทยาลัยใกล้บ้าน "พี่ดูทำไม พี่เรียนที่มหาวิทยาลัย B นี่นา" วิลาสินีชะโงกไปมองหน้าจอโทรศัพท์แล้วเอ่ยถาม เพราะวิทยาลัยที่พี่สาวเธอดูนี้เป็นสถานศึกษาสายอาชีพและห่างจากบ้านไม่กี่กิโลเมตร ถ้าจะดูให้เธอก็ต้องใช้เวลาอีกสองปีกว่าเธอจะจบระดับมัธยมปลาย เป็นไปได้สุดก็พี่สาวของเธอจะดูเพื่อเข้าศึกษาเอง "พี่จะเปลี่ยนมาเรียนสายอาชีพน่ะ เรียนปริญญาตรีก็ต้องใช้เวลาตั้งสี่ปี แต่เรียนที่นี่แค่สองปีก็จบ แล้วก็หางานทำได้แล้ว พี่อยากย่นเวลาการเรียนให้น้อยลง แม่จะได้ไม่ลำบาก" วิรัศยาตอบน้องสาวก่อนจะเลื่อนไปดูวันสมัครเรียน เธอตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายกลับมาอยู่บ้านเพื่อที่จะได้ช่วยแม่ทำงานด้วย อีกอย่าง ก็จะได้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะถ้าหากไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่เธอสอบติด ไหนจะต้องเสียค่าหอพัก ไหนจะค่ากินอีก ถ้าอยู่บ้านเดียวกันกับแม่และน้องสาว ก็จะประหยัดในส่วนนี้ไปได้มากโข "หวานจะกลับมาเรียนที่นี่จริงเหรอลูก เรียนที่เดิมก็ได้นะ แม่ส่งหนูเรียนไหว" วารีเดินออกมาจากในครัวแล้วหย่อนตัวนั่งข้างลูกสาวคนเล็ก หญิงวัยกลางคนได้ยินลูกสาวทั้งสองคุยกัน รับรู้ได้ว่าลูกสาวคนโตกำลังช่วยเธอแก้ปัญหาทางการเงิน ที่ตอนนี้รายได้เข้าบ้านต้องลดฮวบลงไปเยอะ "หนูจะกลับบ้านค่ะ หนูเรียนที่นี่ได้" วิรัศยาตอบผู้เป็นแม่พลางยิ้มเนือย บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าของร่างกายที่ยังไม่สร่างซาจากงานศพผู้เป็นพ่อ หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน โรงเรียนของทั้งสองพี่น้องก็เปิดเทอม เมื่อลูกสาวคนโตเปลี่ยนสถานที่เรียนจึงทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงได้จริง ๆ วารีเห็นดังนั้นจึงได้หันไปเปิดร้านเบอเกอรีและเครื่องดื่มเพราะเคยไปเรียนในคอร์สสั้น ๆ แล้ว วารีเริ่มต้นเป็นร้านเล็ก ๆ เพื่อทดลองตลาดดูก่อนเพราะไม่อยากให้เงินทุนที่มีอย่างน้อยนิดต้องหมดไปกับร้าน แต่ปรากฏว่าฝีมือของวารีนั้นเป็นที่นิยมจึงมีผลตอบกลับดี เบเกอรีขายหมดทุกวัน ส่วนเครื่องดื่มก็ขายได้วันละหลายแก้ว ในตอนเย็นหลังเลิกเรียนสองสาวพี่น้องก็จะมาช่วยแม่ขายของและช่วยเก็บร้านเพื่อที่จะได้กลับเข้าบ้านพร้อมกัน "แม่สวัสดีค่า แม่จ๋า วันนี้อาจารย์บอกว่าหนูได้รับทุนเรียนจนถึงระดับปริญญาตรีเลยนะ" พอเข้ามาในร้าน วิลาสินียกมือสวัสดีแม่ก่อนจะบอกข่าวดีแก่มารดาทันทีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ที่อาจารย์ที่ปรึกษาเพิ่งแจ้งข่าวดีเมื่อช่วงก่อนเลิกเรียน "จริงเหรอ ทำไมถึงได้ล่ะลูก?" วารีเงยยิ้มกว้างดีใจ เพราะตอนนี้ลูกสาวคนเล็กเพิ่งจะศึกษาแค่มัธยมศึกษาปีที่ห้า หากได้ทุนระยะยาวขนาดนั้นก็แสดงว่ารายจ่ายในตอนนี้และระดับอุดมศึกษาของลูกสาวคนเล็ก เธอก็จะไม่ต้องแบกรับไว้เต็มที่ "ทุนที่หนูได้ เป็นทุนเรียนดีค่ะ อาจารย์เห็นว่าแม่ต้องหาเงินคนเดียวเลยไปขอทุนเรียนจากผู้ใหญ่ใจดี อาจารย์บอกว่ามีรุ่นพี่ได้ทุนจากคุณคนนี้เรียนจบมาหลายคนแล้วด้วย คุณเขาคงจะใจดีมากแน่ ๆ เลยค่ะ" วิลาสินีพูดยืดยาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางคิดไปถึงผู้อุปการะของเธอที่คงจะเป็นชายแก่ผู้สูงอายุที่มีเงินมากเสียจนมีเหลือกินเหลือใช้ จนได้มาส่งเสียให้พวกรุ่นพี่และพวกเธอได้เรียน หนำซ้ำรุ่นของเธอก็ได้รับทุนแบบนี้ด้วยอีกสองคน 'อยากเจอคุณเขาจัง จะได้ขอบคุณในความใจดีของเขา' วิลาสินีคิดในใจขณะใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม "แม่สวัสดีค่ะ ยิ้มอะไรน่ะวิว แม่คะ วิวเป็นอะไรถึงได้ยิ้มแบบนั้น" วิรัศยากลับมาพอดี เธอยกมือทำความเคารพมารดาก่อนจะหันไปทักน้องสาวที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ "มีคนให้ทุนวิวน่ะ เป็นทุนเรียนดี ให้ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยเลย น้องเลยดีใจ" วารีตอบลูกคนโต "ดีจัง แบบนี้ก็ต้องรักษาเกรดตัวเองสินะ ถ้าเกรดตกนี่มีหวังอดทุนแน่ ๆ " วิรัศยาหันไปกระเซ้าน้องสาว "โถ่.. พี่หวาน หนูน่ะเรียนดีมาตลอดนะ ไม่มีทางเกรดตกแน่นอน แม่จ๋า พี่หวานว่าหนู" วิลาสินีหุบยิ้มทันทีที่โดนพี่สาวค่อนขอด ก่อนจะเข้าไปอ้อนแม่ด้วยนิสัยลูกคนเล็กจอมออดอ้อน "ทะเลาะกันอีกแล้วสองคนนี้ โน่น ลูกค้ามาแล้ว เอากระเป๋าเข้าไปเก็บแล้วมาช่วยแม่" วารีดุลูกสาวทั้งสองไม่จริงจังก่อนจะเหลือบไปเห็นลูกค้าประจำที่เดินตรงมา เธอเลยไล่ให้เด็กสาวทั้งคู่นำกระเป๋าเรียนไปเก็บที่ด้านใน .................................. ผู้ใหญ่คนนั้นจะใจดีอย่างที่น้องคิดจริงไหมน้ออออ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม