“คุณหนูขา... คุณหนูเป็นอะไรไปคะ”
แววรีบถามฟ้าลดาที่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงหลังจากขว้างปาข้าวของจนพอใจแล้วด้วยความเป็นห่วง
“ก็จะอะไรซะอีกล่ะ คุณพ่อไม่เข้าข้างฉันน่ะสิ”
“คุณท่านคงกำลังเครียดเรื่องงานน่ะค่ะ”
“อย่ามาให้กำลังใจฉันเลย คุณพ่อกำลังจะผลักไสให้ฉันตกนรก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณหนู”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ท่านสั่งให้ฉันทำตามคำสั่งของไอ้... นายเอกกวีนั่น”
“คุณท่านคงอยากให้คุณหนูเรียนรู้ชีวิตชนบทน่ะค่ะ”
“ทำไมต้องให้เรียนรู้ด้วย ในเมื่อฉันเกิดมารวย ร่ำรวยมหาศาล มีเงินทองใช้มากมาย ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด แล้วทำไมจะต้องมาเรียนรู้เรื่องแบบนี้ด้วย คุณพ่อใจร้าย!”
หญิงสาวร้องไห้ไม่หยุด
“คอยดูเถอะ ฉันจะอาละวาดให้ไร่นี้พังเลย”
“คุณหนูใจเย็นๆ นะคะ”
“ใครจะใจเย็นได้ล่ะ ในเมื่อฉันถูกบังคับแบบนี้น่ะ”
แววก็จนปัญญาที่จะพูดอีก จำต้องยืนเงียบ
ฟ้าลดาร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่หยุด
“ฉันจะต้องหนีออกไปจากไร่ อ้อ โทรให้ยายอรมารับดีกว่า”
หญิงสาวมองหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
“มือถือฉันล่ะ”
“คุณหนูปาทิ้งไปแล้วนี่คะ แตกกระจายเลยค่ะ”
“โธ่ แล้วฉันจะทำยังไงดีเนี้ย”
“คุณหนูก็แค่อยู่ที่นี่หนึ่งเดือน หลังจากนั้นค่อยกลับบ้านยังไงล่ะคะ” แววเตือนสติ “บางทีสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ แบบนี้อาจจะทำให้คุณหนูมีความสุขกว่าสังคมเห็นแก่ตัวในเมืองก็ได้นะคะ”
ฟ้าลดานิ่งเงียบไป แต่ไม่ใช่เพราะยอมด้วยความสมัครใจ แต่เพราะไม่มีทางเลือกต่างหาก
“คุณพ่อสั่งให้เธอกลับไปกรุงเทพฯ”
แววดีใจ แต่ก็อดเป็นห่วงฟ้าลดาไม่ได้ “แล้วคุณหนูจะอยู่ยังไงล่ะคะ”
“นั่นสิ คุณพ่อทำอะไรไม่คิดเลย ไม่เป็นห่วงฉันเลยสักนิด”
ในขณะที่หญิงสาวกำลังนั่งร้องไห้อยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดพรวดเข้ามา และเอกกวีก็ปรากฏตัวขึ้น
“นายเข้ามาทำไม ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลยนะ”
ฟ้าลดาแว๊ดใส่ แต่เอกกวีไม่สนใจ ยังคงเดินเข้ามาหา และไล่แววให้ออกไปข้างนอก
“ได้เวลาทำงานแล้ว”
“ทำงาน?”
“ใช่ ทำงานเพื่อแลกกับอาหารและที่อยู่”
ฟ้าลดาคอแข็งชัน
“ฉันมีเงิน ฉันไม่ทำงานอะไรทั้งนั้น คุณพ่อให้ฉันมาอยู่ที่นี่ในฐานะแขก”
“ในฐานะคนงานของผมต่างหาก”
“คนงาน?!”
“อืม คุณได้ยินไม่ผิดหรอก นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะเป็นหัวหน้างานของคุณ และแน่นอนว่าถ้าผมสั่งอะไรแล้วคุณไม่ทำตาม ผมมีสิทธิ์ลงโทษ”
“ไอ้บ้า อย่ามาละเมอพูดพล่อยๆ แบบนี้นะ”
“เมื่อเช้าพ่อของคุณก็บอกแล้วนี่ เอาน่าอย่าโอ้เอ้ เพราะถ้าแดดร้อนกว่านี้ แล้วครีมกันแดดของคุณเอาไม่อยู่ ผิวขาวๆ จะไหม้ซะนะครับ”
นี่หล่อน... หล่อนกำลังเผชิญหน้ากับนรกขุมไหนเนี่ย
“ฉันไม่ทำ!”
เขาหัวเราะมองหล่อนด้วยสายตาดุดัน “ผมจะบอกอะไรให้นะ หลังจากที่คุณปามือถือทิ้งและวิ่งหนีมาราวกับคนปัญญาอ่อน คุณพ่อของคุณโทรหาผม และบอกให้ผมจัดการคุณได้เต็มที่ อ้อ แล้วข่าวดีอีกอย่าง คุณจะไม่มีเงินติดตัวแม้แต่สตางค์แดงเดียว”
“ฉัน... ฉันไม่เชื่อ”
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ตอนนี้คุณต้องออกไปทำงานแล้ว”
ข้อมือของหล่อนถูกคว้า และเขาก็กระชากให้หล่อนลงจากเตียง
“ปล่อยฉันนะ อย่าเอามือสกปรกมาจับฉัน ปล่อยสิ ไอ้คนบ้า!”
“ผมก็ไม่อยากจะจับเนื้อต้องตัวคุณนักหรอก แต่มันจำเป็น จำเป็นมากด้วย!”
เขาลากหล่อนออกไปจากห้อง ในขณะที่หล่อนขืนตัวไปตลอดทาง แต่สู้แรงเขาไม่ได้
“เอก ให้น้องทำงานเบาๆ นะ”
อังกาบเห็นลูกชายลากฟ้าลดาถูลู่ถูกังลงมาจากชั้นบนก็อดที่จะเตือนไม่ได้
เอกกวียิ้มน้อยๆ ให้กับมารดา
“รับรองครับแม่ ยังไงวันนี้ยายคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อคนนี้ก็ไม่ตายหรอก”
“นี่ไอ้คนบ้า...!”
“หุบปากได้แล้ว ยายผู้หญิงเสียงสิบแปดหลอด”
อังกาบยืนถอดถอนใจมองเอกกวีฉุดกระชากลากฟ้าลดาออกไปยังไร่องุ่นด้วยความไม่สบายใจเลย
“เสียงเอะอะโวยวายอะไรกันคะแม่”
“อ้าว ช่อ... วันนี้ตื่นสายน่ะเรา”
ช่อผกาที่เดินเข้ามาสมทบยิ้มน้อยๆ
“ก็ช่อปิดเทอมแล้วนี่คะ ว่าแต่เมื่อกี้เสียงผู้หญิงคนไหนคะ กรี๊ดดดดดด จนช่อสะดุ้งตื่นเลย”
อังกาบถอนใจยาว
“ก็คุณหนูฟ้าลดาที่คุณปฐพีส่งมาให้พี่เราดัดนิสัยยังไงล่ะ”
“โอ้โห พิษสงเยอะนะคะเนี่ย”
“อืม เป็นเด็กเอาแต่ใจมาก และก็ไม่ยอมใครเลย”
“แล้วแบบนี้พี่เอกจะเอาอยู่เหรอคะ น่าสงสารพี่เอกจัง”
ช่อผกาอดเป็นห่วงพี่ชายไม่ได้
“แต่แม่สงสารหนูฟ้าลดามากกว่า”
“อ้าว ทำไมละคะ”
“ช่อก็รู้นิสัยของพี่เราดีนี่ ยิ่งร้ายมาก็ยิ่งแรงกลับ แม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นน่ะสิ”
“อย่างเช่นฆ่าฝังดินอย่างนั้นใช่ไหมคะ”
ช่อผกาหัวเราะร่วน ก่อนจะถูกมารดาดุ
“ดูพูดเข้า นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกนะ”
คนถูกดุหน้าเจื่อน
“แล้วนี่แต่งตัวซะสวยเชียว จะออกไปไหนล่ะ” อังกาบถามลูกสาว
“เอ่อ... จะออกไปเที่ยวในเมืองน่ะแม่”
คนเป็นแม่ส่ายหน้าอย่างรู้ทัน
“ไปหาพี่นลใช่ไหม”
“แม่น่ะ รู้ทันช่อตลอดเลย”
หล่อนยิ้มขัดเขิน แต่แม่ของหล่อนกลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“ช่อ”
“คะแม่”
“ฟังแม่นะ พี่นลน่ะทำงานอยู่ และเขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่าช่อมาก ดังนั้นช่ออย่าไปกวนใจพี่เขาเลยนะ”
“แม่คิดมากไปหรือเปล่าคะ”
“ช่อก็เห็นพี่นลยิ้มแย้มดีนี่คะ ตอนที่ช่อแวะไปหาที่ทำงานน่ะ”
“พี่นลเกรงใจพี่ของเราน่ะสิก็เลยไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา และอีกอย่างพี่เอกก็บอกว่าพี่นลมีคนรักอยู่แล้ว”
หัวใจของช่อผกาปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันที หล่อนพอจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็พยายามไม่สนใจ เพราะหล่อนยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นมาก่อน
“อาจจะข่าวมั่วก็ได้มั้งคะแม่”
“ช่อ... พี่นลน่ะมองช่อแค่น้องสาว อย่าคิดเกินเลยมากไปกว่านั้นเลย”
รอยยิ้มบนหน้าของช่อผกาค่อยๆ จางลง และถึงแม้จะพยายามกลบเกลื่อน แต่อังกาบก็พอจะรู้ดีว่าลูกสาวกำลังเจ็บปวด
“ที่แม่บอกที่แม่เตือนก็เพราะแม่เป็นห่วงช่อนะ ไม่อยากให้ช่อผิดหวังน่ะ”
“ช่อ...”
“ตัดใจตอนนี้ยังทันนะ จะได้ไม่เจ็บปวดมากไง เชื่อแม่นะช่อ”
หญิงสาวยิ้มเศร้าๆ
“ช่อสัญญาว่าจะตัดใจจ้ะแม่ แต่ต้องให้พี่นลแต่งงานไปก่อนนะ”
“ทำไมดื้อแบบนี้ล่ะลูก”
“ช่อก็แค่ยังมีหวังเล็กๆ น่ะค่ะ แล้วแม่ไม่ต้องเป็นห่วงช่อนะคะ เพราะถ้าพี่นลจะแต่งงานจริงๆ ช่อจะเป็นฝ่ายเดินจากมาเอง และสาบานว่าจะไม่ก่อเรื่องให้แม่กับพี่เอกต้องลำบากใจแน่นอนค่ะ”
“แม่เชื่อช่อ แต่แม่ก็ไม่อยากเห็นลูกสาวคนดีของแม่ต้องเสียใจ”
“มันไม่ทันแล้วล่ะแม่ ช่อตกหลุมรักพี่นลมาตั้งแต่ช่ออยู่มอสาม ตอนนี้ก็จะจบมอหกแล้ว มันนานเกินกว่าจะห้ามใจแล้วล่ะแม่”
อังกาบทำได้แค่เพียงถอนใจยาวเหยียดเท่านั้น ห้ามปรามลูกไม่ได้ ก็ต้องคอยให้กำลังใจแทน
“แล้วอย่ากลับค่ำล่ะ”
“จ้ะแม่”
ช่อผกาหอมแก้มมารดาสองฟอด ก่อนจะรีบวิ่งออกไป อังกาบมองตามไปอย่างไม่สบายใจ