“แล้วแม่เธอว่าไง?”
“เรายังไม่ได้คุยกับแม่เลย แต่คงยากแหละ”
คราวนี้คนถูกรุ่นพี่สาวขอร้องทำหน้าหนักใจ
“ก็คงงั้น ทางโรงพยาบาลเขามีกฎ หากแม่เธอฝ่าฝืนหรือโดนจับได้ ก็คงถูกไล่ออก” นลินนิภาเอ่ยบอกเสียงเรียบๆ พอเห็นเพื่อนทำหน้าเครียดก็รีบปลอบใจ
“เฮ้! อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ จะเครียดไปทำไม ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เถอะน่า”
“อืมๆ” สาวน้อยหุ่นอวบงึมงำรับคำในลำคอ ก่อนจะคิดบางอย่างขึ้นได้ “เออ ลืมถามไปเลย เรื่องพ่อเราเป็นยังไงบ้าง เธอพอจะช่วยได้ไหม”
“เดี๋ยวเราจะถามพ่อให้แล้วกัน ถ้าไม่ได้ยังไงเราก็อาจจะให้ยืมเงินส่วนตัวของเราก่อน แล้วที่แม่เธอบอกว่าจะหยิบยืมเจ้านายเก่าล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ยังไม่แน่ใจเลยว่าเมียของท่านรัฐมนตรีสุชาติจะยอมช่วยไหม พ่อไม่น่าเล่นหุ้นเลย”
บูรณิมาเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม ตอนนี้ครอบครัวของเธอกำลังเจอวิกฤตเรื่องการเงินอย่างหนัก เพราะผู้เป็นบิดาเอาเงินไปลงทุนกับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แล้วเจ๊งไม่เป็นท่า หนำซ้ำยังติดการพนัน และติดหนี้ไปทั่ว
“อย่าพูดงั้นดิ เราเองก็เล่นหุ้นเหมือนกัน แต่ไม่ขาดทุน เพราะมันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และปัจจัยหลายอย่าง พ่อของบู้บี้อาจจะคาดการณ์ผิดก็เลยขาดทุน แต่ไม่ต้องห่วง เราจะพยายามหาทางช่วย ถ้าไม่ได้ก็อย่างที่บอก เราอาจจะให้ยืมเงินส่วนตัวของเราไปใช้หนี้ก่อน”
“ขอบใจเธอมากนะ รักเธอที่สุด”
นักเขียนสาวเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะโผเข้ากอดเพื่อนรัก นลินนิภาพึมพำปลอบประโลม แล้วเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายไปหาอะไรกินเพราะยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง
“เราจะย้ายบ้านจริงๆ เหรอคะแม่?”
บูรณิมาเอ่ยถามมารดาในยามสายของสุดสัปดาห์ ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง คนติดบ้านและรักบ้านมากอย่างแม่จะทนห่างบ้านที่อยู่มานานได้ ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายของพ่อ แม่ และเธอ อีกทั้งตัวเธอเองก็รู้สึกใจหาย เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องย้ายจากบ้านไปอยู่ที่อื่น
“ว่าไงคะพ่อ?”
ครั้นแม่ไม่ตอบเธอก็หันไปถามพ่อแทน
“อืม ก็อย่างที่แม่เขาบอกนั่นแหละลูก”
“รีบเก็บของให้เสร็จ เราจะย้ายออกจากที่นี่ภายในสามวัน”
คราวนี้ผู้เป็นแม่ที่นั่งกอดอกอยู่ข้างๆ พ่อเอ่ยบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางไม่ได้อยากย้ายไปไหนสักนิด แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างทำให้ต้องพาสามีและลูกหนีไปอยู่ที่อื่น หนีไปให้ไกล
“สามวัน!”
บูรณิมาทวนคำตาโต
“ใช่”
“ทำไมมันกะทันหันจัง แล้วงานของแม่ล่ะคะ”
“อย่าถามมากได้ไหมยายบี๋ แม่บอกให้ทำอะไรก็ไปทำ”
แม่ขึ้นเสียงเกือบเป็นตวาดใส่ จนบูรณิมาทำหน้าจ๋อย ที่จริงแม่ของเธอมีนิสัยน่ารัก เป็นแม่ที่รักลูกและเป็นภรรยาที่รักสามีมากๆ แต่ระยะหลังๆ มานี้แม่ของเธอกลับเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซึ่งเธอคิดว่าคงมีสาเหตุมาจากเรื่องงาน เพราะช่วงนี้เกิดโรคระบาดทำให้แม่ต้องทำงานหนักขึ้น เลยอาจพลอยทำให้มีภาวะเครียด และที่สำคัญก็คงหนีไม่พ้นเรื่องหนี้สินของพ่อ ที่มีคนมาทวงไม่เว้นแต่ละวัน
“รออีกสักอาทิตย์ได้ไหมคะ บี๋ขอปิดต้นฉบับนิยายก่อน”
นักเขียนสาวเอ่ยต่อรองอย่างร้อนใจ เนื่องจากว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เธอรีไรท์งานโค้งสุดท้าย จึงไม่อยากจะให้ทุกอย่างชะงัก อีกทั้งสำนักพิมพ์ก็โทรมาเร่งต้นฉบับยิกๆ
“งั้นบี๋ก็อยู่ที่นี่ แม่จะไปกับพ่อสองคน”
“แม่!”
หญิงสาวร้องเสียงหลง เพราะไม่คิดว่าแม่จะกล้าตัดสินใจเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเลยสักครั้งที่แม่และพ่อจะทิ้งให้เธอต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง
“แม่กับพ่อจะทิ้งบี๋ได้ลงคอเหรอคะ”
น้ำเสียงสั่นเครือตัดพ้อ ตาแดงๆ
“แม่กับพ่อไม่ได้จะทิ้งบี๋ แต่ถ้าบี๋ไม่พร้อมที่จะย้ายออกจากที่นี่ บี๋ก็ต้อง…”
นางบูรณาเอ่ยเสียงสะท้าน ยังไม่ทันจะพูดให้จบประโยคเสียงข่าวด่วนในโทรทัศน์ก็ดังแทรกขึ้น และเนื้อหาของฮอตนิวส์ก็ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย
“แม่คะ นั่นข่าวโรงพยาบาลที่แม่ทำงานนี่คะ”
หญิงสาวว่าพลางชี้มือไปยังโทรทัศน์ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเอ่ยเสริม
“ใช่ ในข่าวเอ่ยถึงแผนกที่คุณทำงานด้วย เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
“มะ…ไม่รู้ ฉันไม่รู้”
นางบูรณาปฏิเสธปากคอสั่น ออกอาการลนลาน ในจังหวะที่ลูกสาวกำลังจะกดรีโมตเพิ่มเสียงเพราะได้ยินเนื้อหาข่าวไม่ชัด ผู้เป็นแม่ก็รีบฉวยเอารีโมตมาปิดโทรทัศน์เสียดื้อๆ
“แม่ปิดโทรทัศน์ทำไมคะ บี๋กำลังฟังอยู่เลย เมื่อกี้ได้ยินว่ามีคนลอบเข้าไปทำร้ายคนไข้ในโรงพยาบาล เหมือนจะเป็นเรื่องคดีความของพี่นีราด้วย…”
เธอยังพูดไม่จบแม่ก็สวนขึ้นเสียก่อน
“ใช่ที่ไหนกัน บี๋หูฝาดแล้ว”
“ไม่นะคะ หนูได้ยินแบบนั้นจริงๆ”
“ผมก็ได้ยินเหมือนลูกนะคุณ เป็นเรื่องของนางแบบคนนั้น…”
คราวนี้นางบูรณาถลึงตาใส่สามีเป็นเชิงสั่งให้หยุดพูด ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงกระแอมเบาๆ แล้วเสหยิบกาแฟขึ้นจิบ เพราะปกติบ้านนี้ก็อยู่ภายใต้อาณัติของนางบูรณาอยู่แล้ว เรียกว่านางเป็นใหญ่ และมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง
“ไปยายบี๋ไปเก็บเสื้อผ้า”
“เก็บเสื้อผ้า”
เธอทวนคำทำหน้างง
“ใช่”
“แม่จะให้บี๋เก็บเสื้อผ้าไปไหนคะ?”
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
“ย้ายไปอยู่ที่คอนโด แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ที่สำคัญห้ามโทรหาพ่อกับแม่เด็ดขาด หลังจากพ่อกับแม่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด และทุกอย่างลงตัวแล้ว แม่จะติดต่อมาเอง เข้าใจไหม?”
การตัดสินใจปุบปับทำให้คนเป็นลูกถึงกับอ้าปากค้าง ทั้งงงและตกใจระคนกัน
“แต่แม่คะ…”
“แม่บอกให้ไปเก็บเสื้อผ้า!”
นางบูรณาเริ่มเสียงแข็ง
“บี๋ไม่ไป บี๋จะอยู่กับพ่อกับแม่ บี๋จะไปต่างจังหวัดกับพ่อกับแม่”
“คุณอย่าบังคับลูกเลย ไหนคุณบอกว่าจะให้ลูกไปกับเราไง”
ผู้เป็นพ่อพยายามช่วยลูกสาว เอาจริงๆ เขากับภรรยาตกลงกันแล้วว่าจะพาลูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดด้วย สาเหตุที่ต้องย้ายบ้านกะทันหันก็เพราะตัวเขาเองล้วนๆ เขาทำธุรกิจล้มเหลว จนมีหนี้สินมากมายมหาศาล และที่ต้องย้ายบ้านก็เพื่อหนีเจ้าหนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอยู่ๆ ทำไมภรรยาถึงเปลี่ยนใจให้ลูกสาวไปอยู่คอนโด อีกทั้งยังนึกตงิดใจกับข่าวที่ได้ยินได้ฟังไปเมื่อครู่ เพราะสังเกตเห็นว่าภรรยาของเขามีท่าทีร้อนรนแปลกๆ จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ลูกสาวเก็บเสื้อผ้าย้ายไปอยู่ที่คอนโดแบบกะทันหัน ไม่แน่ว่าภรรยาของเขาอาจมีส่วนรู้เห็นอะไรสักอย่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลตามที่เป็นข่าว แต่หากจะซักถามอีกฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ก็คงไม่เหมาะ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ยายบี๋ต้องย้ายไปอยู่ที่คอนโด และต้องไปเดี๋ยวนี้ด้วย”
“ไม่นะคะ! บี๋ไม่ไป!”
หญิงสาวยังคงยืนกรานคำเดิม ก่อนจะโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ในสภาพน้ำตาคลอเบ้า ส่วนคนเป็นพ่อก็ได้แต่เบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้า ด้วยความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอกแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้
“ยายลูกดื้อ! ฉันบอกให้ไปเก็บเสื้อผ้า”
“บี๋ไม่ไป แม่อย่าไล่บี๋เลยนะคะ ได้โปรด…”
เธอวิงวอนปนสะอื้นฮัก
“แกต้องไป! ถ้าแกไม่ไปก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่!”
ที่สุดผู้เป็นแม่ก็เค้นเสียงกระด้างออกคำสั่ง น้ำคำประกาศิตที่สุดแสนทำร้ายหัวใจทำให้คนฟังถึงกับนิ่งงันด้วยความช็อกสุดขีด นางบูรณาจำใจแกะแขนเรียวออกจากเอว กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ยอมถอยห่างออกไปง่ายๆ ตรงข้ามบูรณิมาพยายามไขว่คว้าสุดแขนทั้งน้ำตา หากแต่กลับถูกผลักออกห่าง ท่าทางที่พร้อมจะผลักไสเธอไปไกลห่างทุกขณะจิตของแม่ ทำให้บูรณิมานึกน้อยใจจนปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น