หลังจากวันที่บูรณิมาร้องห่มร้องไห้ จำใจเก็บเสื้อผ้าย้ายมาอยู่ที่คอนโดอย่างกะทันหันตามคำสั่งประกาศิตของแม่ ส่วนพ่อกับแม่ก็ลงมือเก็บข้าวของอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นพวกท่านก็ไม่ติดต่อมาหาเธออีกเลย ถึงแม้จะผ่านไปแค่สองวัน แต่ก็ทำเอาเธอร้อนใจจนแทบบ้า ถึงขั้นกล้าขัดคำสั่งโทรไปหาพ่อกับแม่ แต่ปรากฏทั้งคู่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ รอแล้วรอเล่าสุดท้ายสายก็ตัดไป เป็นอย่างนี้อยู่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ด้วยความกลัดกลุ้มเรื่องพ่อกับแม่จนนอนไม่หลับ พลอยทำให้ตื่นสาย หลังจากอาบน้ำชำระร่างกาย ร่างอวบก็เดินออกมาชงโอวัลติน และปิ้งขนมปัง พอจัดการกับอาหารเช้าแบบง่ายๆ เสร็จ เธอก็เดินมาทรุดกายลงนั่งตรงโซฟา หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาแม่ แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับสายดังเดิม ทำเอาใบหน้าสวยหวานมีแววกังวลฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ครั้นลองกดโทรหาพ่อ ผลก็ไม่ต่างกัน สุดท้ายเธอจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างกลัดกลุ้ม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่เป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าสรุปแล้วทั้งคู่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วหรือยัง
สงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ บูรณิมาก็ตัดสินใจไปทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าโน้ตบุ๊ก แล้วเริ่มพิมพ์นิยายในบทที่ทำค้างไว้เพราะสมองตื้อตั้งแต่เมื่อคืน แต่ด้วยความที่จิตใจว้าวุ่นสารพัดทำให้เธอไม่สามารถพิมพ์ข้อความอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันได้ พิมพ์แล้วก็ลบ ลบแล้วลบอีก เป็นอย่างนั้นอยู่หลายครั้ง เนื่องจากไม่มีสมาธิจดจ่อในงานของตัวเองแม้แต่น้อย สุดท้ายก็วางมือจากแป้นคีย์บอร์ดด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันไปกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูข่าวฆ่าเวลา กะว่าสักพักถึงจะกลับไปจดจ่ออยู่หน้าคอมใหม่
ร่างอวบเอนตัวนอนลงบนโซฟา เงี่ยหูฟังข่าว นิ้วไถหน้าจอโทรศัพท์ ส่วนตาก็กำลังไล่เช็กและอ่านคอมเม้นท์ในนิยายตอนล่าสุดที่เพิ่งลงอัพเดทไปเมื่อวานนี้ ใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อมีคอมเม้นท์โดนใจ
กระทั่งข่าวหนึ่งดังขึ้น ร่างอวบทะลึ่งพรวด จ้องหน้าจอโทรทัศน์เขม็ง ขณะตั้งใจฟังเนื้อหาของข่าว นักข่าวรายงานว่านีรา ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรักษ์ ได้เสียชีวิตอย่างน่าสลด หลังจากมีคนลอบเข้าไปทำร้ายเมื่อห้าวันก่อน จนอาการทรุดหนัก ที่สุดแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้
นีราตายแล้ว!
ถูกฆาตกรรมในโรงพยาบาล ในระหว่างการนอนรักษาตัว ถูกฆ่าในโรงพยาบาลเชียวนะ ถ้าไม่แน่จริง คนร้ายคงไม่กล้าลงมือ เสี้ยววินาทีหนึ่งบูรณิมาก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้น
เอ๊ะ!...
ทำไมเรื่องนี้มันดูทะแม่งๆ ชอบกล
เหตุการณ์เกิดขึ้นในโรงพยาบาลที่แม่ของเธอทำงาน และผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุคือพัดชา ลูกสาวรัฐมนตรีสุชาติ และบุคลากรในแผนกที่แม่ของเธอทำงาน ซึ่งทั้งสองคน ‘อาจจะ’ สมรู้ร่วมคิดในการกระทำผิด ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
บุคลากรในแผนกที่แม่ของเธอทำงาน?
มันคงไม่เกี่ยวกับแม่เธอใช่ไหม!?
แม่ของเธอไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ใช่ไหม?
เสียงหนึ่งในใจดังก้องขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ลึกๆ แล้วบูรณิมารู้สึกสังหรณ์ใจพิลึก แน่นอนเธอมั่นใจว่าแม่เป็นคนดีมาโดยตลอด แต่การที่แม่ตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดแบบกะทันหัน มันก็น่าแปลกไม่ใช่น้อย อีกอย่างช่วงนี้บ่อยครั้งท่าทีของแม่ก็ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ
ทันทีที่มีข่าวออกมาว่านีราถูกฆาตกรรมในโรงพยาบาล ตำรวจก็เพ่งเล็งไปยังพัดชาเป็นคนแรก เพราะหล่อนมีพฤติกรรมน่าสงสัยหลายอย่าง และมีพยานพบเห็นในที่เกิดเหตุ ซึ่งพัดชายืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยให้เหตุผลว่าหล่อนจะไปฆ่านีราทำไมในเมื่ออีกฝ่ายคือเพื่อนของหล่อน
ส่วนเรื่องลูกชายของจอมพลถูกลอบทำร้ายอาการสาหัส ตำรวจก็เพ่งเล็งมาที่พัดชาเช่นเดียวกัน เพราะรถของพัดชาจอดอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ตที่เป็นจุดเกิดเหตุ
ไฮโซสาวถูกคุมตัวไปสอบปากคำนานเกือบสิบชั่วโมง แน่นอนหล่อนเชิดหน้ายืนกรานว่าตัวเองไม่ผิด ตัวเองไม่ได้ทำ และไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตำรวจมองว่าคำให้การของพัดชาไม่มีน้ำหนัก และเหตุผลฟังไม่ขึ้น ฉะนั้นทางตำรวจจึงตั้งข้อหาพยายามฆ่าทั้งสองคดี และขออำนาจศาลฝากขัง หากแต่โชคก็ยังคงเข้าข้างพัดชา ด้วยอิทธิพลและบารมีของรัฐมนตรีสุชาติทำให้ศาลเห็นสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์มูลค่าสูงถึงสามล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หลังจากลูกสาวทำชื่อเสียงป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดี รัฐมนตรีสุชาติและภริยาก็ต้องบากหน้านำเงินมาประกันตัวลูกสาว ท่ามกลางการรุมทึ้งด้วยวาทะเผ็ดร้อนของพวกนักข่าว
“ฉันเคยบอกให้แกเลิกยุ่งกับพวกอาศิระ ทำไมแกไม่ฟังฉันบ้าง!”
ทันทีที่ประตูรถตู้หรูติดฟิล์มดำปิดลงรัฐมนตรีสุชาติก็หันไปตะคอกใส่หน้าลูกสาวอย่างเดือดดาลสุดขีด พวกอาศิระที่ถูกกล่าวถึงก็คือจอมพล อาศิระ การเข้าไปพัวพันเพราะความคลั่งรักจอมพลของพัดชา นำมาซึ่งการตกเป็นผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่านีรา ภรรยาของจักรพรรดิ หนึ่งในผู้หญิงที่จอมพลเคยคบหา อีกทั้งพัดชายังตกเป็นผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่าเด็กชายกัปตัน ลูกชายของจอมพล ที่เพิ่งเป็นข่าวถูกลอบทำร้ายในเวลาไล่เลี่ยกัน
“แล้วไหนจะเรื่องของเมียไอ้จักรพรรดิอีกล่ะ รู้ไหมว่าการเข้าไปยุ่งกับทั้งตระกูลมหาฤทธิไกรฤกษ์ และตระกูลอาศิระ จะนำพาหายนะมาให้ทั้งแกและฉัน”
“…”
พัดชาเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบโต้
“นีราเขาเป็นเพื่อนแกไม่ใช่หรือไง ที่สำคัญเขามีผัวแล้ว ซึ่งผัวเขาก็คือไอ้จักรพรรดิมาเฟียขาใหญ่ของทางใต้ และมันก็บ้าเลือดพอๆ กับไอ้จอมพลด้วย”
สุชาติเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างเหลืออด
“มีผัวแล้วแต่มันก็ยังกล้ามายุ่งกับผู้ชายของหนู”
“เฮอะ! ผู้ชายของหนูงั้นเรอะ พูดมาได้ไม่อายปาก จะบอกอะไรให้นะ ไอ้จอมพลมันมีเมียแล้ว แถมยังเป็นเมียที่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง เผื่อคนสมองทึบอย่างแกจะยังไม่รู้”
“ก็บอกแล้วไงคะ ว่าหนูไม่ได้ทำ มีคนใส่ร้ายหนู” คนที่กอดแม่ร้องไห้กระซิกเงยหน้าขึ้นมาเถียงเสียงแข็ง แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนคนเป็นพ่อตวาดกลับ
“ยังจะมาโกหกหน้าด้านๆ อีก! ให้ตายสิวะ! ฉันจะทำยังไงกับแกดี!”
“หนูไม่ได้ทำจริงๆ หนูไม่ได้ทำพ่อได้ยินไหม!”
“หุบปาก!” รัฐมนตรีสุชาติกัดฟันเค้นเสียงขุ่นคลั่ก ขณะชี้หน้าลูกสาวอย่างเอาเรื่อง “ฉันไม่น่าให้ท้ายนังลูกไม่รักดีอย่างแกเลย ไม่งั้นก็คงไม่เหิมเกริมแบบนี้”
“อย่าบ่นนักเลยน่าคุณ ไหนๆ ก็ประกันตัวลูกออกมาแล้ว” คราวนี้คุณหญิงแขไขซึ่งนั่งเงียบอยู่นานเอ่ยเป็นเชิงปรามสามี ขณะลูบแผ่นหลังบอบบางของลูกสาวอย่างปลอบประโลม
“ก็เพราะให้ท้ายกันอย่างนี้ไงล่ะ ลูกสาวคุณมันถึงได้คิดจะฆ่าคนโดยไม่กลัวความผิด”
“แล้วทีคุณพ่อทำล่ะ มันต่างกันตรงไหน?”
วาจายอกย้อนทำให้คนเป็นแม่ถึงกับยกมือขึ้นทาบอก ตาโต อ้าปากค้าง ส่วนรัฐมนตรีสุชาติก็ถึงกับคำรามลั่น ดวงตาวาวโรจน์ ก่อนจะแผดเสียงกัมปนาทออกมา
“พัดชา!”
“อย่านะคุณ!” ครั้นเห็นท่าไม่ดีคุณหญิงแขไขก็รีบร้องห้ามปรามเสียงหลง เพราะเกรงว่าสามีจะบันดาลโทสะด้วยการลงไม้ลงมือกับลูกสาวสุดที่รัก
คนที่เดือดจัดกำลังจะตวาดสองแม่ลูกด้วยความโมโหสุดขีด ทว่าเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นเสียก่อน รัฐมนตรีสุชาติกระแทกลมหายใจออกมาหนักๆ แล้วกดรับสายอย่างเสียไม่ได้
“มีอะไรก็ว่ามา!”
ฤทธิ์โทสะที่ยังคงคุกรุ่นทำให้เขาพลั้งปากใส่อารมณ์กับผู้โทรมาอย่างเต็มที่ แล้วก็ต้องหายใจสะดุด เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหยันดังแว่วมาตามสาย
“ดูเหมือนจะกำลังหัวเสียอย่างหนักนะท่านรัฐมนตรี”
“แกเป็นใคร?”
สุชาติกดเสียงต่ำคาดคั้น เรียกเสียงหัวเราะขลุกขลักกวนอารมณ์
“ลองทายดูสิ”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน!”
“ว้า…เสียใจชะมัดที่คุณจำเพื่อนเก่าไม่ได้ หรือต้องให้ผมสาธยายว่าคุณทำอะไรไว้บ้างเพื่อเก้าอี้รัฐมนตรี” คนพูดจงใจลากเสียงยาวก่อกวนให้สติแตก
“แก!”
ทันทีที่สมองคิดได้ว่าผู้โทรมาคือใครสุชาติก็เค้นเสียงกระด้างปนคำราม ทว่ายังไม่ทันจะได้ตอกกลับอีกฝ่าย เสียงยียวนกวนประสาทก็เอ่ยแทรกขึ้น
“จุ๊ๆๆ เริ่มฉลาดขึ้นแล้วสินะ”
“แกต้องการอะไรจากฉัน?”
“เอ๋…ผมต้องการอะไรดีนะ” จงใจลากเสียงยาวให้ลุ้น แล้วเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเปรยออกมาเสียงเอื่อยเฉื่อย “เอาเป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของคุณดีไหม”
“แกไม่อยากตายดีใช่ไหม?”
“การข่มขู่ประชาชนคนธรรมดาไม่ใช่วิสัยของผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนะท่านรัฐมนตรี อย่าลืมสิ ว่าผมกุมความลับคุณอยู่ ไหนจะยังเรื่องชั่วๆ ของลูกสาวคุณอีก”
“แกจะเอายังไงกับฉันไม่ทราบ!”
“เฮ้! อย่าซีเรียสสิ สิ่งที่ผมต้องการไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไรหรอกน่า” ผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วจัดการลงดาบในนาทีต่อมา “แค่ให้ลูกสาวของคุณออกไปยอมรับต่อหน้าสาธารณะชนว่าทำชั่วอะไรไว้บ้าง ไล่ตั้งแต่เจ็ดปีก่อน มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน”
“ลูกสาวฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!”
“ถ้าลูกสาวคุณไม่ได้ทำ แล้วใครทำล่ะ”
เสียงกลั้วหัวเราะที่รวนกลับทำให้คนฟังกัดฟันกรอดๆ
“ก็ไอ้หมาลอบกัดอย่างแกไงล่ะ”
“แหม…กล่าวหากันรุนแรงไปนะท่าน คนธรรมดาอย่างผมหรือจะทำอะไรท่านได้ หากท่านไม่ทำตัวของท่านเอง” คนที่กำลังเล่นกับความรู้สึกของผู้ที่มีชนักติดหลังเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
“แกมันบ้า! ไอ้โรคจิต!”
สุชาติตะคอกใส่โทรศัพท์ แล้วกดตัดสายด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น ก่อนจะหลุดสบถถ้อยคำหยาบคายออกมาหลายต่อหลายครั้ง แล้วนั่งกุมมือตัวเองด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ในหัวสมองว้าวุ่นเพราะคิดไม่ตก และไม่ยอมปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียวเมื่อภรรยาเอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง กระทั่งคุณหญิงแขไขเอ่ยขอร้องถึงได้ยอมเปิดปากออกมาด้วยท่าทางเครียดจัด สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เราต้องให้พัดชาออกไปแถลงข่าวยอมรับผิดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อน เรื่องการตายของอรอุมาเมียเก่าไอ้จอมพล รวมถึงเรื่องการตายของนีรา ไม่งั้นเรื่องของผมจะถูกเปิดโปง และผมอาจจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง”
“ใครมันจะทำอะไรคุณได้ขนาดนั้น!?”
“ก็คนที่มันกุมความลับของผมไว้ไงล่ะ”
คราวนี้คุณหญิงแขไขตกใจจนหน้าซีดเผือด เพราะรู้โดยอัตโนมัติ ว่าใครคือผู้ที่โทรมาเล่นสงครามประสาทกับสามีของตนเมื่อครู่นี้ ส่วนพัดชาก็ถึงกับร้องค้านเสียงหลง
“ไม่นะคะ! แพทตี้ไม่ยอม!”
“ถ้าไม่ยอม แกก็ต้องหาหลักฐานมายืนยันว่าแกไม่ผิด ต่อให้จริงๆ แล้วแกจะผิดก็ตาม”
วาจาประกาศิตทำให้ลูกสาวกรีดร้องด้วยความคับข้องใจ ส่วนผู้เป็นภรรยาก็ถึงกับกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้มพอกัน แล้วทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบอันแสนอึดอัด