‘กลับไปก่อนหน้านั้นหนึ่งร้อยวัน...’
เฮือก!
เสียงนี้เป็นเสียงที่ทำให้นาราสะดุ้งตื่นสุดตัว ดวงตาเบิกกว้างรับแสงเต็มที่ ไร้ความงัวเงียใดๆ มีแต่ความตกใจเท่านั้นที่พร่างพรายไปทั่วหน้า เธอยกมือขึ้นทาบทับหน้าอกข้างซ้ายที่หัวใจเต้นตึ้กตั้กแรงไม่หยุดหย่อน ก่อนจะกวาดดวงตากลมมองไปรอบๆ ห้องนอนของตัวเอง
ห้องนอน...นี่ห้องนอนหรือ
นาราทั้งตกใจและดีใจในคราวเดียวกัน เพราะมันหมายความว่าเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคงเป็นความฝัน
“ที่แท้ก็ฝันร้าย...”
หญิงสาวถึงกับพูดออกมาด้วยความโล่งใจ ลูบหน้าอกหน้าใจตัวเองเป็นการใหญ่
โธ่...คิดว่าจะตายเสียแล้ว ฝันนั่นมันโคตรเหมือนจริงเลย
นาราลูบหน้าลูบตาตัวเองเป็นพัลวัน ดีแล้วละที่มันเป็นเพียงความฝัน เพราะในความเป็นจริง เธอยังไม่อยากตาย และไม่พร้อมจะตายอะไรทั้งนั้น เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบแปด ยังใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่เลย ตายไวอย่างนั้นก็น่าเสียดายแย่
แต่...เรื่องนี้เหมือนจะเป็นเรื่องรอง เพราะนอกจากเรื่องความตายที่ปรากฏขึ้นในฝันและเธอจำได้ดีประหนึ่งฝังอยู่ในสมองแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หญิงสาวจำได้แม่นไม่แพ้กัน
เรื่องหย่า...
เธอหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างหมอนหนุนขึ้นมา เปิดดูข้อความในห้องแชทระหว่างเธอกับปรานต์
ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน พักผ่อนเยอะๆ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ผมเอง
เป็นข้อความสุดท้ายที่ปรานต์ส่งมาเมื่อกลางดึก ไม่มีข้อความใดๆ ที่พูดถึงการทำบุญครบรอบวันตายหนึ่งร้อยวันของปราณีเลย นาราจำได้ว่าก่อนจะวางแผนจัดงานทำบุญให้ปราณี ปรานต์ได้ส่งข้อมูลกำหนดการทำบุญต่างๆ มาให้เธออ่านอยู่นี่ แล้วทำไม...
ไม่อยากคิดต่อให้เปลืองสมองละ สงสัยก็ใช้ปลายนิ้วไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของปรานต์แล้วโทร. ออก
รอเพียงครู่เดียว อีกฝ่ายก็รับสาย
[ครับ?]
“คุณปรานต์ ฉันมีเรื่องจะถาม”
ปลายสายพูดมาแค่นี้ ปรานต์ไม่ตอบรับอะไร ได้แต่รอให้นาราเป็นฝ่ายพูดราวกับชินแล้วว่าถ้ามาอีหรอบนี้ เขาจะต้องเป็นฝ่ายฟัง
“คุณกับฉัน...”
ทว่านาราพูดได้เท่านี้ก็ชะงัก ไม่มั่นใจขึ้นมา
[คุณกับผมทำไม]
เห็นหญิงสาวเงียบไป ปรานต์จึงเป็นฝ่ายเร่ง
“ฉันกำลังสงสัยอะไรอยู่เรื่องหนึ่งน่ะ”
นารายอมพูดอีกครั้งจนได้
[สงสัยเรื่องอะไร]
“คุณได้ขอหย่าฉันหรือเปล่า”
[หืม?]
ได้ยินน้ำเสียงงุนงงของอีกฝ่ายกลับมาทันที นารายกมือขึ้นลูบใบหน้าเล็กน้อย ก่อนพูดย้ำไป
“ฉันถามว่าคุณได้ขอหย่าฉันหรือเปล่า”
ชัดเจนและแจ่มแจ้ง ทว่าปรานต์กลับงุนงงหนักกว่าเดิม
[คุณนอนน้อยเกินไปหรือเปล่าน่ะ ถึงได้พูดอะไรแปลกๆ]
แค่เป็นฝ่ายโทร. มาหาก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว มาถามคำถามประหลาดอีก ใครจะไม่คิดว่าเธอแปลกกัน
“ฉันถามก็ตอบมาเถอะน่า”
นาราหัวเสียแล้ว เธอถามก่อน จะมาย้อนถามเธอกลับทำไม
[เปล่า ผมไม่เคยพูดเรื่องนั้นเลยสักนิด]
“แล้วทำไม...”
นาราชะงักไปอีกครั้ง ไม่ยอมพูดต่อว่า ‘แล้วทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณมาขอหย่า’ เงียบไปจนกระทั่งอีกฝ่ายถามขึ้น
[เป็นอะไรหรือเปล่า]
สติกลับมาในตอนนี้ นาราปฏิเสธพัลวัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันคงนอนน้อยจริงๆ อย่างที่คุณว่านั่นแหละ”
[งั้นนอนต่ออีกสักหน่อย แล้วค่อยมางานวันเผาเลยก็ได้ ไม่ต้องรีบมา ทางนี้ผมจัดการได้ คุณไปจัดการเรื่องงานของคุณให้เรียบร้อยเถอะ]
คำพูดของปรานต์ทำให้นาราต้องย่นคิ้ว
วันเผา...งานศพหรือ!
“คุณหมายถึงงานอะไรคะ”
นารารู้สึกทะแม่งๆ ในคำพูดของปรานต์อย่างประหลาด แต่ฝ่ายที่ประหลาดใจยิ่งกว่าคือปรานต์ที่ได้ยินนาราพูดจาแปลกๆ หลายรอบ
[ก็งานศพแม่ผมไง]
“งานศพคุณป้า!?”
ไม่ใช่ว่ามันเสร็จเรียบร้อยไปแล้วหรือ!
ยิ่งฟัง นาราก็ยิ่งสับสน เท่าที่เธอจำได้ งานศพของปราณีเสร็จสิ้นไปตั้งนานแล้ว จนถึงวันครบรอบร้อยวันตายที่จะต้องทำบุญให้แล้ว แล้วทำไมปรานต์ยังบอกว่ายัง...ไม่...เผา...
[แต่ถ้าคุณจะมาก่อนวันเผาก็ไม่ต้องรีบร้อนนะ เอาไว้ให้คุณพรีเซนต์งานเสร็จแล้วพักผ่อนให้หายเหนื่อยเรียบร้อยก่อน ค่อยมาทีเดียวก็ได้]
อีกฝ่ายย้ำดูจะคล้ายเป็นห่วง ไม่อยากให้เธอเป็นกังวล แต่นารามึนตึ้บไปหมด
“เดี๋ยวๆ...” นาราแทรกขึ้น ยกมือขึ้นคลึงระหว่างคิ้วไปมา “ฉันไม่เข้าใจ คุณพูดอะไรของคุณ งานศพอะไร งานศพคุณป้ามันเสร็จไปหลายเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ”
[ผมต่างหากต้องถามว่าคุณพูดเรื่องอะไร งานศพแม่เพิ่งจะจัดเข้าวันที่สาม เราตกลงกันว่าจะตั้งศพไว้เก้าวันแล้วค่อยเผา จำไม่ได้เหรอ]
จำได้ แต่ว่าช่วงเวลานี้มันไม่ใช่งานศพแล้วนี่ ปรานต์กำลังอำอะไรเธอหรือเปล่า
“แล้วทำไมฉันถึง...”
[ถึง?]
“ถึงมาอยู่ที่คอนโด ไม่ได้ไปอยู่ที่งานศพคุณป้า...”
นาราพูดเบาลงเรื่อยๆ ในท้ายประโยค อันที่จริงเธอก็พอจำได้ว่าสาเหตุที่เธอต้องมาอยู่ที่คอนโดในกรุงเทพฯ ระหว่างที่งานศพของปราณีจัดที่สระบุรีเป็นเพราะว่า เธอติดพรีเซนต์งานสำคัญงานหนึ่งให้บริษัทเครื่องประดับเงินส่งออก แล้วไม่สามารถเลื่อนได้ เพราะทางผู้บริหารของบริษัทจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศหลังวันพรีเซนต์งานแค่วันเดียว เธอไม่มีทางเลือก จึงต้องทิ้งหน้าที่จัดการงานศพของแม่สามีให้ปรานต์ดูแลแทน
[ก็คุณมีพรีเซนต์งานพรุ่งนี้ จำไม่ได้เหรอ คุณก็เลยขอกลับมาเตรียมตัวก่อนตั้งแต่เมื่อวาน]
และเธอก็ได้รับคำตอบอย่างชัดแจ้ง แต่...ยังงุนงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น
[คุณดูเบลอๆ นะ]
“ฉัน...เอ่อ...”
[เอาเป็นว่าคุณพักผ่อนให้มากๆ แล้วกัน ไม่ต้องห่วงทางนี้ ไม่งั้นคุณเบลอหนักกว่าเดิมแน่]
ไม่ทันจะได้พูดอะไร ปรานต์ก็แทรกเข้ามาเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังชิงวางสายตัดหน้าไปอีกด้วย เพราะไม่อยากจะรบกวนหญิงสาว ด้วยรู้ว่าเธอทำงานดึกดื่นทุกวัน โดยไม่รู้เลยว่าการวางสายของเขาทำให้นาราต้องครุ่นคิดอยู่คนเดียว
งานศพของคุณป้าจัดเข้าวันที่สาม นั่นมันเมื่อเกือบสามเดือนที่แล้ว...แล้วไอ้เรื่องทำบุญครบรอบร้อยวันตายมัน...
‘เอ้า มัวแต่งงอยู่นั่นแหละ จำวันไม่ได้ก็ดูปฏิทินสิแม่คุณ!’
คิดไม่ทันจบ เสียงประหลาดก็แว่วเข้ามาในหู นาราสะดุ้งเฮือก ปล่อยโทรศัพท์มือถือหลุดจากมือทันที เหลียวมองไปรอบตัว
‘ยัง...ยังอีก บอกให้ดูปฏิทินไงล่ะยะ’
ไม่เพียงมีแต่เสียงพูด โทรศัพท์มือถือที่นอนแอ้งแม้งคว่ำหน้าอยู่บนเตียงก็พลิกหงายขึ้นมา ก่อนหน้าจอจะสว่างวาบเพื่อให้นาราได้ดูวันที่ แต่นาราไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว เธอตกอยู่ในความหวาดกลัวด้วยจำได้ว่า เสียงนั้นเป็นเสียงเดียวกับที่เธอได้ยินในฝัน
“ใครน่ะ!”
ถามเสียงดัง หวังจะเอาคำตอบ แต่ท่าทางหวาดกลัวนั่นทำให้คนที่อยู่ในห้องเดียวกับเธอด้วยลอบถอนหายใจ
ขืนโผล่ไปให้เห็น มีหวังนาราได้ขนหัวลุกตกใจเตลิดเปิดเปิงแน่
“ฉะ...ฉันถามว่าใครน่ะ! เสียงใคร!”
แต่ดูแล้วถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง นาราคงจะเค้นเอาคำถามจากดินฟ้าอากาศไม่หยุดแน่ ทำให้เจ้าของเสียงตัดสินใจในเสี้ยววินาที
อะ ก็ได้ ปรากฏตัวให้เห็นก็ได้
กายทิพย์เปล่งประกายกลายเป็นร่างโปร่งแสงของมนุษย์ทันที ก่อนที่เจ้าของร่างนั้นจะบอก
‘ทีนี้รู้หรือยังล่ะว่าเป็นใคร’
นาราหันขวับไปมองตามต้นเสียง ก่อนจะตะลึงลานจนถอยกรูดตกเตียงเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ...
“คะ...คุณป้า!”
มาในชุดโปรดที่ใส่ก่อนบรรจุโลงศพเสียด้วย เฮี้ยน! เฮี้ยนมาก! เฮี้ยนจนนาราต้องรีบยกมือขึ้นพนม สวดพึมพำไม่เป็นภาษาใส่แม่สามี...ไม่สิ ผีแม่สามีเป็นการใหญ่
“ยะ...อย่ามาหลอกหลอนหนูเลย หนูนอนน้อย ติดงานจริงๆ เลยไปงานศพไม่ได้ อย่าโกรธหนู...นะโมตัสสะ ภะคะวะโต...”
ไอ้ที่สับสนเรื่องเวลาตอนนี้กลายเป็นคิดว่าตัวเองอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังจัดงานศพของปราณีเสียแล้ว ดันมาระลึกได้แม่นในตอนนี้ด้วยว่าระหว่างงานศพของปราณี นาราไม่ได้ไปเข้าร่วมฟังสวดทุกวัน เพราะเหนื่อยจากเรื่องงาน และติดงานที่ต้องพรีเซนต์เพื่อเสนอขายให้บริษัทผลิตเครื่องประดับอัญมณี
จะมีก็แต่ปราณีเท่านั้นละที่เห็นสภาพของลูกสะใภ้อย่างนั้น แล้วก็เท้าสะเอวว่าปาวๆ
‘เธอจะตกใจอะไรหนักหนา อย่าให้มันเว่อร์มาก’
“นะ...โมตัสสะ...นะโมตัสสะ...นะโมตัสสะ...”
เสียงของปราณีไม่เข้าหูเลย นารายังคงสวดพึมพำประโยคเดิมๆ ไม่เลิก
จะไม่ให้สวดได้อย่างไรกันล่ะ ผีแม่ผัวกับตัวเธออยู่ห่างกันแค่เตียงคั่นเองนะ ไม่มาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ ไม่รู้หรอก!
แล้วปราณีก็ทำให้นาราประสาทเสียมากขึ้นไปอีกด้วยการเดินทะลุเตียงมายังจุดที่เธอนั่งอยู่ ดวงตากลมเบิกโพลง ดวงหน้าสวยซีดเผือดเป็นไก่ต้ม
เผชิญหน้ากับแม่ผัวตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ว่าแย่แล้ว มาในเวอร์ชันโปร่งแสงแถมเดินทะลุเตียงได้นี่มันแย่สุดๆ ไปเลย!
“นะ...หนูกลัวแล้ว...หนูกลัวแล้ว คุณป้าอย่าหลอกหนู”
คนขวัญเสียหลับหูหลับตาพนมมือไหว้ท่วมหัวขอร้องเป็นพัลวัน จนปราณีต้องแหวขึ้นอีก
‘ฉันบอกว่าให้เลิกตกใจยังไงล่ะยะ มันเสียเวลารู้ไหม!’
“หนูกลัวแล้ว...หนูกลัว...”
‘ยายนารา!’
คล้ายกับว่าเหลืออด เลยตะเบ็งเสียงเรียกสติของหญิงสาวไปทีหนึ่ง นาราหยุดชะงัก ยอมคลายมือที่พนมท่วมหัวลงได้ มองภาพผีแม่สามีตัวโปร่งแสงตรงหน้าที่ปั้นสีหน้าดุมายังเธอด้วยความอึ้งงัน
‘กว่าจะได้สตินะยะ อย่าสติแตกมากนัก มันเสียเวลา ฉันอุตส่าห์...’
เผียะ!
กำลังพูดๆ อยู่ดีๆ ก็มีเสียงประหลาดแทรกมาเสียอย่างนั้น ปราณีหยุดสิ่งที่จะพูดไว้ มองไปทางหญิงสาวก็พบว่านารากำลังตบหน้าตัวเองอยู่
“ฝัน...”
เผียะ!
“ต้องฝันอยู่แน่ๆ...”
เผียะ!
ปราณีถึงกับกลอกตา ยายลูกสะใภ้คนนี้ ตอนหล่อนมีชีวิตอยู่ทำเป็นเก่งกล้า ต่อล้อต่อเถียงคำไม่ตกฟากกับหล่อน พอมาในเวอร์ชันผี กลับสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หล่อนบอกแล้วอย่างไรล่ะว่ามันเสียเวลา เพราะ...
เผียะ!
ก่อนที่จะพูดถึงเหตุผล คงต้องหยุดการกระทำบ้าๆ ของแม่สาวคนนี้ก่อนละมั้ง
‘ถ้าเธอตบหน้าตัวเองอีกครั้งนึง ฉันจะมาแบบเละๆ อืดๆ ให้เธอเห็นแน่’
ทันทีที่ขู่ไปอย่างนั้น นาราก็หยุดกึกแต่โดยดี
ทีตอนนี้ละฟัง ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยฟังเลย!
ปราณีอดคิดย้อนไปตอนที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ได้ แม่ลูกสะใภ้คนนี้ นอกจากหน้าตาจะดีแล้ว ปากก็ยังดีอีกด้วย แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน หล่อนไม่ได้กลับมาจากนรกเพราะจะมาเอาคืนลูกสะใภ้ตัวดี แต่จะมาช่วยต่างหาก
‘แล้วก็ตั้งใจฟังที่ฉันพูดให้ดีๆ’ เห็นนารานิ่งแล้ว ปราณีก็พยายามจะอธิบายถึงจุดประสงค์ที่เธอมา ‘ที่ฉันกลับมา ฉันต้องการมาช่วยเธอ ฉันทนไม่ได้ที่เห็นเธอมาโทษว่าลูกชายฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอตาย เฮอะ อย่างลูกชายฉันน่ะเหรอที่จะทำความผิดอย่างนั้น ไม่มีทางซะหรอก เธออย่าได้กล้าโทษลูกชายฉัน ฉันไม่ยอมให้ปรานต์รู้สึกผิดกับเรื่องความตายของเธอหรอก ฉันเลยต้องไปขอเวลาจากท่านยมมาให้เธอหนึ่งร้อยวัน เพื่อที่เธอจะได้แก้ไขอดีต จะได้ไม่ตาย เพราะงั้นเลิกตกใจฉันได้แล้ว มันเสียเวลา เธอมีเวลาไม่มากนะ’
พูดพลางยกแขนข้างที่มีนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วใช้นิ้วชี้เคาะที่หน้าปัด
‘หมดเวลาไปหลายชั่วโมงแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะครบวัน เธออย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า รีบไปทำให้ลูกชายฉัน...ว้าย!’
พูดยังไม่ทันจบ ร่างของนาราที่นิ่งงันอยู่นั้นก็หงายหลังตึงลงไป ปราณีรีบลอยไปดู...ใช่ ลอยไป ไปดูหน้าลูกสะใภ้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
นาราแค่ตกใจจนสลบ ปราณีจึงโล่งใจเป็นอย่างมาก นึกว่าอีกฝ่ายจะตกใจจนชักกะแด่วไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น หล่อนก็กังวลใจอยู่ดี เมื่อกี้ที่หล่อนพูดไป หญิงสาวคงจะไม่รับรู้เลยสินะ
ถ้านารายังตั้งสติไม่ได้ แล้วหล่อนจะช่วยลูกชายตัวเองให้พ้นมลทินว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เมียตายได้อย่างไร
ตอนนี้ปราณีได้แต่ยืนเท้าสะเอว ถอนหายใจเต็มแรง พลันว่าพึมพำออกมา
‘เอาเข้าไปแม่นี่ เสียเวล่ำเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์จริงจริ๊ง!’