‘เรื่องที่เธอตาย อย่ามาโทษลูกชายฉันนะ!’
เฮือก!
หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากนิทรารมย์...อันที่จริงจะเรียกว่านิทราก็ไม่ถูกนัก เพราะเธอไม่ได้หลับ เธอสลบไปต่างหาก
ดวงตากลมมองไปรอบๆ ห้อง ทุกอย่างในคอนโดของเธอยังคงสภาพปกติดี ที่ไม่ปกติก็คือเธอตื่นขึ้นมาบนพื้นข้างเตียง ไม่ใช่บนเตียงอย่างที่ควรจะเป็น นาราคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทันที
เธอสลบไป...เพราะผีแม่ผัว!
เฮี้ยนมากจนตามมาหลอกหลอนเธอถึงที่นี่ นั่นคงเพราะเธอไม่ยอมไปร่วมงานศพให้ครบกำหนดวันละมั้ง
ดวงตากลมกลิ้งมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง เห็นทุกอย่างปกติสุขดี เธอก็ถอนหายใจยาวออกมา
ก่อนหน้านี้เธอต้องฝัน หรือไม่ก็นอนน้อยจนเบลอเห็นภาพหลอนแน่ๆ มือยกขึ้นลูบหน้าอกหน้าใจเป็นการใหญ่ กระนั้นในใจก็ยังเกิดคำถาม
วันนี้มันวันอะไรกันแน่
นาราถามตัวเองจริงจัง เธอรู้สึกสับสนวันอย่างประหลาด แต่พอจะลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาดูหน้าจอเพื่อดูวันที่ เสียงเรียกเข้าก็ดังพอดี ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งไปอีกระลอก ก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทร. เข้ามา
ไม่ใช่ใครที่ไหน เลขาฯ จอมจิกของผู้บริหาร ‘บริษัทมนต์เงินตราศิราภรณ์’ นั่นเอง นารากระแอมกับตัวเองสองสามครั้ง ปั้นหน้ายิ้มไปหนึ่งที จากนั้นถึงกดรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะคุณกิ่งแก้ว”
หญิงสาวกล่าวเสียงใสดุจระฆังแก้ววาววับ ขณะที่น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นฟังดูจะค่อนแคะสักเล็กน้อย แม้ว่าจะพูดด้วยเสียงหวานหยดย้อยก็ตาม
[สวัสดีค่ะคุณนารา บอสให้กิ่งแก้วโทร. มาเตือนคุณน่ะค่ะว่าพรุ่งนี้อย่าลืมนัดของเรานะคะ บอสกลัวว่าคุณจะทำงานจนดึกดื่นแล้วนอนตื่นสาย เข้าประชุมสายเหมือนอย่างครั้งก่อนๆ มาค่ะ]
ถ้าเป็นเวลาปกติที่ถูกค่อนแคะอย่างนี้ นาราต้องสวนกลับด้วยข้ออ้างนานับประการแล้วว่า สาเหตุที่เธอไปเข้าประชุมสายในครั้งก่อนเป็นเพราะอะไร
หนึ่ง...เพราะเธอเป็นนักออกแบบเครื่องประดับฟรีแลนซ์ ทำงานไม่เป็นเวลา บางวันก็นอนดึก บางวันก็โต้รุ่ง พอหัวถึงหมอนได้นอนแล้วก็เหมือนเครื่องชัตดาวน์ดับไป ตื่นยากกว่าคนปกติเพราะร่างกายต้องการการพักผ่อน
และสอง...คอนโดของเธอกับบริษัทมนต์เงินศิราภรณ์อยู่ไกลกันพอสมควร แถมรถก็ยังติดอีกด้วย กว่าจะไปจะมาก็ร่วมชั่วโมง บางทีมันกะเวลาไม่ได้ว่ารถจะติดมากหรือน้อย ถ้าติดมาก กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงเช่นกัน
ส่วนสาม...
[กิ่งแก้วขอย้ำอีกทีว่าพรุ่งนี้เป็นนัดสำคัญมากนะคะ เพราะคอลเลคชั่นที่คุณนาราจะต้องเอามาพรีเซนต์กับบอส มันเป็นคอลเล็กชันใหม่ล่าสุดของบริษัทเราที่จะส่งออกไปต่างประเทศ สำคัญมากด้วย เพราะเป็นคอลเล็กชันครบรอบยี่สิบปีของบริษัท ถ้าคุณมาไม่ทันเวลา บอสอาจจะหงุดหงิด แล้วยกเลิกงานกับคุณในครั้งต่อไปก็เป็นได้ อ๊ะๆ กิ่งแก้วไม่ได้ขู่นะคะ นี่ถอดคำพูดของบอสมาให้เลย]
ฟังแล้วก็ชวนให้หัวเสียอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ...
“ครบรอบยี่สิบปีของบริษัท? ไม่ใช่ว่าคอลเล็กชันนี้ฉัน...”
[อะไรคะคุณนารา]
...พรีเซนต์ไปแล้วหรือ
นาราไม่กล้าพูดต่อ ใจสั่นหวิวไหวแปลกๆ มิหนำซ้ำ เธอยังรู้สึกเหมือน...มีใครบางคนมองจ้องมาจากทางด้านหลัง
หญิงสาวหันขวับไปมอง พบแต่ความว่างเปล่าก็ยิ่งใจไม่ดี สิ่งที่เรียกสติของเธอให้กลับมาได้มีแต่เสียงของกิ่งแก้วเท่านั้น
[คุณนารา ยังอยู่ไหมคะ]
“ค่ะ อยู่ค่ะ”
[โอเค งั้นอย่าลืมนะคะ พรุ่งนี้นัดเก้าโมงเช้า ห้ามสาย ห้ามลืม ห้ามมีข้ออ้าง ถ้าบอสหงุดหงิด กิ่งแก้วไม่รู้ด้วยนะคะ]
“รับทราบค่ะ”
คุยกันต่ออีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไป นารายกมือขึ้นนวดคลึงขมับอีกครั้ง
พรุ่งนี้มีพรีเซนต์งาน แสดงว่าวันนี้ก็วันที่...
คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจออีกครั้ง เห็นวันที่แล้วหญิงสาวก็ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไร ก็ก่อนหน้านี้ เธอเพิ่งจะเดินทางไปสระบุรีเพื่อไปทำบุญครบรอบหนึ่งร้อยวันแม่สามีกับเตรียมตัวจะไปหย่า...กับปรานต์
มันเรื่องอะไรกันนะ...
นาราคิดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ยีเส้นผมตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งเดินมาเจอเอกสารการพรีเซนต์งานของตัวเองวางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งสับสนมากขึ้นไปใหญ่
“เอาวะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้รู้เองว่าตกลงฝันหรือเรื่องจริง”
ริมฝีปากบางขยับพึมพำ ไม่รู้เลยว่าร่างโปร่งแสงของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเบะปากใส่อยู่
‘ฮึ กว่าจะรู้ตัว สงสัยวันตายนั่นละมั้ง คิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่ฉันออกจากนรกมาช่วยเธอน่ะ’
เสียงนี้นาราไม่ได้ยินหรอก มีแต่เสียงถอนหายใจของตัวเองกับเสียงพึมพำที่หลุดออกจากปากเท่านั้นที่เธอได้ยิน ก่อนที่เวลาในวันนั้นจะถูกปล่อยไปให้เสียเปล่าในสายตาของปราณี
เอาเถอะ ถ้าจะต้องเสียเวล่ำเวลาก็คงต้องปล่อยให้เสียไปก่อน ไม่อย่างนั้นนาราก็คงไม่ได้รู้สักทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน
พรุ่งนี้เดี๋ยวได้รู้กัน!