คิดถึงเรื่องเก่าแล้วนาราก็ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ปลายนิ้วกดไปยังปุ่มที่อยู่บนพวงมาลัย เพิ่มเสียงเพลงในรถให้ดังขึ้น จะได้ไม่คิดวกวนอยู่กับเรื่องในอดีตอีก พลางขยับตัวบิดไล่ความเมื่อยขบออกจากกายด้วย เพราะตั้งแต่ที่ออกจากคอนโดมา เธอก็ขับรถยาวมุ่งหน้าไปสระบุรีเลย ไม่จอดพักที่ไหนทั้งสิ้น ในใจคิดแต่อยากจะจบเรื่องราวทั้งหมดให้เร็วๆ อย่างเดียว
ทว่าดูเหมือนรถคันหน้าที่เป็นรถบรรทุกฟางจะไม่เป็นใจสักเท่าไรนัก หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าคันข้างหน้าขับช้าเป็นเต่าคลาน
ขับช้าขนาดนี้ พี่เข็นไปเถอะ!
เธอพึมพำในใจ มือทุบไปที่แตรรถสองสามครั้งเพื่อส่งสัญญาณว่าให้เร่งความเร็วหน่อย แต่...
ปี๊นนน!
...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รถขนฟางก็ยังคงขับเคลื่อนดุจเต่าคลานหลายล้านปีอยู่อย่างนั้น นาราชักหัวเสียมากกว่าเดิม และพระเจ้าคงจะเกลียดเธอเอามากๆ ด้วย เพราะจู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเธอก็มีข้อความเข้า
ข้อความนั้น...มาจากปรานต์
ถึงไหนแล้ว ถ้าคุณมาไม่ทันเวลา ผมทำบุญแม่ไปก่อนเลยนะ คุณไม่ต้องทำก็ได้
จะให้เธอไปเสียเที่ยวหรือไงยะ!
นาราไม่ยอมหรอก เธอตั้งใจมาทำบุญให้ปราณีแล้ว จะยอมให้ปรานต์ชิ่งทำไปก่อนโดยไม่รอเธอได้อย่างไร ไม่อย่างนั้น เธอก็ลางานมาเสียเที่ยวสิ
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปให้ทัน!
หญิงสาวหมายมั่นปั้นมืออย่างนั้น จากนั้นเหลือบมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงฤกษ์ทำบุญ เธอคิดว่าขับไปทันแน่ๆ ถ้าเร่งความเร็วอีกหน่อย เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเต็มแก่แล้ว
นาราตัดสินใจเหยียบคันเร่งมากขึ้นแล้วหักพวงมาลัยออกไปเลนรถสวนเพื่อที่จะแซงรถขนฟางคันหน้า แต่พอเธอเร่งเครื่องขึ้นไป รถพ่วงจากไหนไม่รู้ก็สวนเข้ามาด้วยความเร็วพอดี ทำให้นาราที่เร่งเครื่องขึ้นไปแล้วหักหลบหรือเบรกไม่ทัน
เอี๊ยดดด! โครม!
เสียงรถประสานงากันดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ชาวบ้านละแวกนั้นพากันแตกตื่นมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการใหญ่ จะมีก็แต่นาราเท่านั้นที่ร่างถูกเบียดอัดจนแนบชิดกับพวงมาลัย แรงกระแทกนั้นทำให้เธอหมดสติไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าใบหน้าของตนเต็มไปด้วยหยาดเลือด รวมถึงขยับไปไหนไม่ได้อีกด้วย แม้แต่ปลายนิ้วก็ยังขยับไม่ได้
กว่าความช่วยเหลือจะมาถึงเธอก็ช่างเป็นเวลาที่เนิ่นนาน นาราซบหน้ากับพวงมาลัย ไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวแม้แต่น้อย รู้แต่เพียงว่าเสียงหัวใจของเธอเต้นดังมาให้ได้ยินและเว้นจังหวะเต้นช้าลงทุกที
เธอ...กำลังจะตาย
นารารู้ตัวทันที ก่อนที่ความหวาดกลัวจะพร่างพรายไปทั่วร่าง
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับนาราจริงๆ เธอเผชิญหน้ากับความตายมาหลายครั้ง และทุกครั้งความตายจะพรากเอาสิ่งที่เธอมีไป ทั้งแม่ ทั้งพ่อ และตอนนี้...คือตัวเธอเอง
มะ...ไม่...ฉันยังไม่อยากตาย...
นารารำพันในใจ อยากร่ำไห้ออกมา แต่กลับไม่มีแรงแม้กระทั่งจะกะพริบตา
เธอต้องตายจริงๆ แน่...
ถ้าไม่เป็นเพราะผู้ชายคนนั้น ฉันก็คงจะไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้...
ปรานต์...คุณมันโหลยโท่ย! ฉันจะจำเอาไว้ให้แม่นเลยว่าฉันตายเพราะคุณ!
ถ้าคุณไม่หย่า...ไม่โทร. มาบอกเรื่องหย่า ฉันก็คงจะไม่...
‘อย่ามาโทษลูกฉันนะ!’
มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท นาราไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงอะไรหรือของใคร และเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่เธอได้ยินหรือเปล่า กระนั้นเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะมาค้นหาคำตอบแล้ว ได้แต่นอนนิ่งๆ ปล่อยให้มัจจุราชได้มารับเอาดวงวิญญาณของเธอไปสู่สัมปรายภพ
ทว่า...
ฉันตายเพราะคุณ...ปรานต์...
‘บอกแล้วไงว่าอย่ามาโทษลูกฉัน! เธอมันประมาทเอง!’
เป็นน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคน มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร กระทั่ง...
‘ฮึ! ประมาทเองแล้วจะมาโทษลูกฉัน จะให้ลูกชายฉันมีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิตเพราะเธออย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอก ฉันไม่ยอมแน่’
คุ้น...คุ้นมาก คุ้นจริงๆ
‘ฉันจัดการต่อรองกับท่านยมให้เธอแล้ว เธอไม่ตายแน่นอน อย่ามาทำสำอิดสำออยนะ...นี่! ฉันบอกว่าอย่ามาทำสำอิดสำออยไง!’
เสียงนั้นยังคงดังแหวใส่ไม่หยุด หญิงสาวเริ่มคุ้นกับเสียงนั้นมากขึ้นทุกที
เสียงนั้น...เหมือนกับเสียงของ...
‘เฮอะ! เอาเถอะ ในเมื่อเธอไม่มีแรงจะฟังที่ฉันพูดพร่ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้อีก กลับไปเลย’
กลับไป?...กลับไปไหน
คนฟังคิดในใจ โดยหารู้ไม่เลยว่าความคิดของเธอจะถูกส่งต่อถึงคู่สนทนา
‘ก็กลับไปก่อนหน้านี้อีกร้อยวันน่ะสิ ถามอะไรมากมายฮะแม่คุณ’
กลับไปก่อนหน้านี้อีกร้อยวัน?
‘นี่ เลิกถามได้แล้ว ตั้งสติแล้วอยู่นิ่งๆ ฉันจะได้พากลับไปสักที เอ้า เตรียมตัว…’
เตรียมตัวอย่างไร หญิงสาวไม่รู้เลยสักนิด เธอได้แต่นอนพังพาบอยู่ตรงนั้น พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ เลือนรางไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเสียงของหญิงวัยกลางคนคนนั้นก็ดังขึ้นไม่หยุด ก่อนท่อนแขนขวาของหญิงสาวจะรู้สึกถึงความเย็นวาบจากฝ่ามือของคู่สนทนาที่มาจับเอาไว้
‘กลับไปก่อนหน้านั้นหนึ่งร้อยวัน...’
และนั่น...ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่หญิงสาวได้ยิน ก่อนจะไม่รับรู้อะไรได้อีกแม้เพียงกระผีกเดียว