บทที่ 1 ทำบุญร้อยวัน 1

1636 คำ
ย้อนกลับไปเช้าวันนั้น ไม่เคยมีวันไหนที่เธอจะโกรธเขาได้เท่านี้เลย! ‘นารา’ โยนโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งวางสายจากสามีอย่าง ‘ปรานต์’ ลงบนเตียงด้วยความหัวเสีย ไม่คิดเลยว่าการรีบร้อนออกจากห้องน้ำขณะสระผมอยู่เพื่อมารับโทรศัพท์ที่ร้องดังขึ้น จะทำให้ได้ยินประโยคเวรๆ ออกมาจากปากของผู้ชายโหลยโท่ยคนนั้น ‘พอเราทำบุญให้แม่ผมเสร็จแล้ว เราไปที่อำเภอกันนะ...ไปหย่ากัน’ มีใครบ้างที่พอแม่ตายปุ๊บ ก็หย่ากับเมียปั๊บ! คงมีแต่ปรานต์นั่นละ ก็ตอนนี้ไม่มีใครมาคอยบงการชีวิตอย่างเคยแล้วนี่นา การแต่งงานระหว่างเขากับเธอที่เกิดขึ้นตามความต้องการของผู้ใหญ่ ทว่าเขากับเธอไม่ได้เต็มใจมันถึงเวลาต้องสิ้นสุดลงเสียที อันที่จริง นาราก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนักหรอก เธอรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง การแต่งงานคลุมถุงชนนี่จะต้องสิ้นสุดลง เธอเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว และจะไม่รู้สึกอะไรด้วยหากการพูดเรื่องหย่านั้นมาจากฝ่ายเธอ ไม่ใช่ฝ่ายผู้ชายไม่เอาไหนอย่างปรานต์! กล้าดีอย่างไรถึงมาขอหย่าเธอโดยไม่ให้เธอตั้งตัวน่ะ! “ตาบ้าเอ๊ย...” นาราหงุดหงิดจนอดสบถออกมาไม่ได้ เธอเป็นถึงผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าทั้งเก่งทั้งสวย อะไรก็เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทำไมจะต้องให้ไอ้ลูกแหง่มาเป็นฝ่ายทำเธอเสียหน้ากัน! ใช่ เธอเสียหน้า ยอมรับตามตรงเลย นาราตั้งใจว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเธอที่จัดการ เพราะเธอมักเป็นฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบปรานต์ ไม่เคยชอบ และไม่เคยยินดีที่จะแต่งงานด้วย รวมถึงไม่ชอบสมาชิกในครอบครัวของเขา ซึ่งก็คือ ‘ปราณี’ หรือ ‘แม่ผัวจอมจุ้นจ้าน’ เรียกได้ว่าเธอเป็นไม้เบื่อไม้เมากับปราณีเลยทีเดียวละ คิดถึงปราณีแล้วก็ทำให้อดคิดถึงเรื่องในอดีตเมื่อสามปีก่อนที่เธอแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ของปราณีไม่ได้ ในตอนนั้น พ่อของปรานต์อย่าง ‘ประทีป’ และ ‘ณัฐฐ์’ พ่อของนาราซึ่งเป็นเพื่อนสนิทร่วมบ้านเด็กกำพร้าและโตมาด้วยกันหมายมั่นปั้นมือกันว่า จะให้ลูกชายและลูกสาวได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน นอกจากนาราที่ไม่เห็นด้วยแล้ว ก็มีปราณีนี่ละที่ยืนกรานหัวชนฝาอีกคนว่าไม่ว่าอย่างไร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอก็แต่งงานกับนาราไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ประทีปและณัฐฐ์ก็ยึดมั่นในอุดมการณ์นั้นอย่างแน่วแน่ เพราะพวกเขาอยากรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน มิหนำซ้ำ ปรานต์ยังยอมให้พ่อและเพื่อนพ่อจับคลุมถุงชนหน้าตาเฉย ไม่แสดงการต่อต้านใดๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือแสดงความต้องการใดๆ ว่าจะแต่งงาน ทำเอาทั้งนาราและปราณีหัวเสียไปตามๆ กัน ‘พวกผู้ชายเป็นอะไรกันไปหมด อยากให้แต่งกันเหลือเกินนะ แม่นี่มีอะไรดี’ เป็นคำพูดที่ตอกหน้านาราอย่างแรงในวันที่ทุกคนยังตกลงกันเรื่องนี้ไม่ได้ ไหนจะสายตาหยามเหยียดว่าเธอจะมาเกาะลูกชายตน เหตุเพราะนาราไม่มีแม่ เป็นลูกสาวที่ณัฐฐ์เลี้ยงอย่างตามใจมาแต่อ้อนแต่ออก ไม่ว่าเธออยากได้อะไร ณัฐฐ์ก็จะประเคนให้ทุกอย่าง ยิ่งเธอเพิ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก งานการยังไม่มีทำเป็นหลักแหล่ง ปราณียิ่งดูแคลนเธอ โดยหารู้ไม่ว่าความเป็นห่วงลูกชายเกินหน้าเกินตาประหนึ่งไข่ในหินของปราณีก็สร้างความไม่พอใจให้นาราเป็นอย่างมากเช่นกัน จนทำให้นาราจำคำพูดของปราณีแม่นมาถึงทุกวันนี้ ทำอย่างกับว่าเธออยากแต่งงานด้วยตายละ! เป็นประโยคเดิมๆ ที่นารามักจะสบถในใจเมื่อมีอะไรไม่ได้ดั่งใจเกี่ยวกับปราณีและปรานต์ แต่ครั้งนี้เธอใช้กับปรานต์เท่านั้น นั่นเพราะปราณีไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ใช่...ปราณีเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเก้าสิบเก้าวันก่อน ถ้านับวันนี้ด้วยก็จะเป็นหนึ่งร้อย สาเหตุการตายคือเป็นลมลื่นล้มในห้องน้ำ ศีรษะกระแทกพื้นเสียชีวิต ถึงจะไม่ชอบปราณีแค่ไหน แต่ความตายของหล่อนก็ทำให้นาราเศร้าสลดอยู่ไม่น้อยทีเดียว ด้วยอย่างน้อยก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าปราณีจะไม่ค่อยเอ็นดูเธอสักเท่าไรก็ตาม นั่นทำให้ในวันทำบุญครบร้อยวันตายของปราณี นาราจึงได้ตระเตรียมสะสางงานเพื่อให้มีเวลาว่างไปร่วมงานบุญนี้ด้วยความตั้งใจ แต่ลูกชายของปราณีนี่สิมาทำอารมณ์เธอเสียจนได้! เออ! หย่าก็หย่าวะ อยากหย่านักก็จะหย่าให้! นาราพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง แต่ลึกๆ ก็ใจหายเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าหลังจากหย่ากับปรานต์ เธอก็จะไม่มีใครที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ได้อีกแล้ว เธอสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กด้วยโรคมะเร็ง หลังจากนั้นก็มีณัฐฐ์คอยเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีมาโดยตลอด และณัฐฐ์ก็จากไปหลังจากการแต่งงานของเธอกับปรานต์สิ้นสุดลง เหตุเพราะเขาประสบอุบัติเหตุจากการดื่มสุราแล้วขับรถ ครั้งนั้นไม่ใช่เพียงณัฐฐ์คนเดียวด้วยที่เสียชีวิต ประทีปเองที่นั่งคู่ไปด้วยก็เช่นกัน หลังจากนั้น นาราจึงมีแค่ปราณีและปรานต์เป็นครอบครัวเท่านั้น เธอสลัดศีรษะเบาๆ เพื่อไล่ความกังวลในการสูญเสียสมาชิกครอบครัวคนสุดท้ายออกไป ไม่อยากคิดมาก เพราะการสูญเสียครั้งนี้ไม่ใช่การจากตาย เป็นเพียงการจากเป็น อย่างน้อยคนที่เธอมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวด้วยไม่ได้ตายกันหมด พอเรียกสติกลับคืนมาได้ หญิงสาวก็ครุ่นคิดไปเล็กน้อยว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรในการหย่าบ้าง แต่นึกไม่ออกเพราะไม่เคยหย่า จึงเอาโทรศัพท์มือถือมาค้นข้อมูลดูจากอินเทอร์เน็ต บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบสำคัญการสมรส ใบเปลี่ยนชื่อ - สกุล (ถ้ามี) หนังสือหย่า แล้วก็พยานบุคคลอีกสองคนที่อายุยี่สิบปีขึ้นไป พร้อมบัตรประชาชน โอ๊ย! ทำไมฉันจะต้องมาเตรียมเอกสารบ้าๆ พวกนี้ด้วย! เหมือนกับความคิดของเธอส่งตรงถึงปรานต์ได้ เพียงคิดเท่านั้น เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือทันที เตรียมมาแค่ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน แล้วก็ใบทะเบียนสมรสพอ ที่เหลือผมเตรียมไว้ให้หมดแล้ว อ่านแล้วก็ได้แต่เบ้ปาก เตรียมพร้อมดีจังเลยนะ คงอยากหย่าจนตัวสั่น! อดไม่ได้จริงๆ ที่จะแดกดัน นาราพ่นลมหายใจเต็มแรง พยายามไม่สนใจ แต่ก็ไม่เลิกหงุดหงิดเสียที ความหงุดหงิดนั้นเกาะกุมจิตใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงปรานต์บอกเรื่องหย่า จนกระทั่งเธออาบน้ำแต่งตัว เตรียมเอกสารเสร็จ และขับรถออกนอกคอนโดเพื่อไปที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เธอก็ยังไม่หายหงุดหงิด “ทำบุญแถวๆ บ้านไม่ได้หรือไงเนี่ย” ริมฝีปากอิ่มที่เคลือบไปด้วยลิปสติกสีสวยขยับขึ้นบ่นขณะที่เท้าเหยียบคันเร่งออกจากชานเมืองกรุงเทพฯ ไปยังจุดหมาย นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้นาราอารมณ์ไม่ดี ทำไมจะต้องไปทำบุญที่สระบุรีด้วย ทำไมไม่ทำใกล้ๆ บ้าน! ทั้งๆ ที่บ้านหลังที่นาราเคยอาศัยร่วมกับปราณีและปรานต์เองก็อยู่เขตปริมณฑลแท้ๆ แต่พอตาย ปรานต์กลับเลือกที่จะจัดงานศพที่สระบุรี ครบรอบวันตายหนึ่งร้อยวันก็ไปทำบุญที่นั่น มันเป็นอะไรถึงต้องให้เธอถ่อไปอย่างนี้! จริงๆ แล้ว นาราไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่แรก ด้วยเธอเข้าใจว่าสระบุรีนั้นเป็นจังหวัดบ้านเกิดของพ่อและแม่ของปรานต์ ทั้งคู่พบรักกันที่นั่น และได้สร้างธุรกิจเอาไว้ด้วยกัน นั่นคือธุรกิจฟาร์มโคนมและไร่ผลไม้ ‘ไร่ปานดวงใจ’ รวมถึงปรานต์ก็เคยอาศัยอยู่ที่นั่น จะผูกพันและอยากให้พ่อแม่ได้มาอยู่ในสถานที่ที่เคยเป็นที่ของพวกเขาก็ไม่แปลก ที่ปราณีและเขามาอาศัยอยู่ที่ปริมณฑลใกล้กรุงเทพฯ มีเหตุผลเดียวเท่านั้น เพื่อการงานของนารา... นาราตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ ด้วยในตอนนั้น เธอยืนกรานว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ไปอยู่ที่ไร่ปานดวงใจ แม้ว่างานของเธอจะเป็นพวกฟรีแลนซ์ออกแบบเครื่องประดับต่างๆ แต่เธอก็ยังต้องเข้าออฟฟิศเพื่อเอางานไปนำเสนอบริษัทเป็นประจำ การไปอยู่ที่ไร่ปานดวงใจทำให้เดินทางไปมาไม่สะดวก ปรานต์จึงยอมให้เธออยู่ใกล้เมืองหลวง โดยตัวเองก็มาอยู่ด้วย เพราะเกรงว่านาราจะมีปัญหากับปราณีถ้าได้อยู่ด้วยกันสองคน แต่เขาหารู้ไม่เลยว่าการที่ผู้หญิงต่างวัยสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเขาเป็นกรรมการห้ามมวยอย่างไรก็มีปัญหากันอยู่ดี มีปัญหาหนักมากจนถึงขั้นที่นาราหนีออกจากบ้านไปอยู่คอนโดที่ณัฐฐ์ซื้อทิ้งไว้ให้ ที่ทำอย่างนี้เป็นเพราะทนความจู้จี้จุกจิก เจ้ากี้เจ้าการของปราณีไม่ไหว รักแต่ลูกตัวเอง ลูกคนอื่นไม่รัก! เป็นคำพูดที่นาราพูดใส่ปรานต์บ่อยๆ เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากฟังนิ่งๆ แล้วทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม