ตอนที่ 18
ลูกชายเจ้าของฟาร์ม ที่เขานั้นทำอุบนิ่ง แล้วจึงยิ้มให้เพื่อนรักอย่างเปิดเผย “ก็ใช่สิวะกรเพราะมีเรื่องสำคัญไง ที่มันสร้างความประทับใจให้แก่ฉันเหลือเกินเพื่อนเอ๋ย” เอ่ยแล้วทิ้งน้ำเสียงค้างด้วยอารมณ์เป็นสุข
“นี่รู้ไหมพอฉันไปถ่ายบัตรประชาชนใหม่คราวนี้ ฉันก็เผอิญได้เจอเธออีกด้วยคุณพาวน์ไง ที่เราได้เจอในร้านอาหารบึงดอกรักเมื่อวานก่อน” จามิกรทำท่าครุ่นคิดและเขาก็พยักหน้าจำได้ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนอารมณ์ดีที่สุดในเวลานี้
“แล้วไงต่อ” หากว่าจามิกรก็ตั้งใจฟังเพื่อนรัก
“เฮ้ยก็ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณพาวน์นะเธอมาทำธุรกิจที่นี่และเป็นของญาติที่ฝากให้เธอดูแลกิจการทั้งหมดเขาเป็นผู้หญิงแกร่งดีนะเก่งทำงาน ฉันชอบ ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวดี”
ไม่เพียงแค่นั้นความสวยจากใบหน้าที่หวานและหน้าคมๆของหล่อนนั้นสามารถที่จะผูกมัดใจกัลย์กฤษณ์ได้อยู่หมัด
“นี่ เพื่อนรัก งั้นแสดงว่า นายจีบหล่อนได้แล้วสิวะ”
“มันก็ยังหรอก นี่แค่บันไดขั้นแรกเท่านั้นที่ฉันได้เข้าไปเยี่ยมถึงบ้านที่เธอพักอยู่ เป็นรีสอร์ทกึ่งโรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดก็ที่ตั้งอยู่หลังเขา ถัดจากไร่เราครึ่งกิโลไง” และกัลย์กฤษณ์คาดคะเน
เลยทำให้จามิกรพึมพำพร้อมกับคิดตาม เคยได้ยินเรื่องนี้ตลอดมาจนถึงการก่อสร้างของสถานที่แห่งนี้ เพราะว่าการสร้างรีสอร์ทและโรงแรมขนาดใหญ่เป็นเรื่องที่ชาวบ้านโจษจันกล่าวถึงว่ามีฐานะร่ำรวยมหาศาล พวกเขาถึงเนรมิตให้ปรากฏเป็นความจริงได้ และก็ขมวดคิ้วเรียวหันมาทางเพื่อน
“กันว่าก็เคยได้ยินมานะแต่ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของเรานี่ก็เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะเป็นของเอกชน ไม่ใช่ของรัฐที่มีนโยบายนำความเจริญด้านการท่องเที่ยวมาสู่อำเภอ”
ข้อนี้กัลย์กฤษณ์เห็นด้วยกับเพื่อนเพราะมันอาจจะไม่สลักสำคัญหากเพื่อนรักรู้แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ มันก็อย่างว่าล่ะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง หรือที่เกี่ยวกับวงศาคณาญาติ
“ดีใจด้วยที่เพื่อนที่นายสามารถสร้างสานสายสัมพันธ์กับเธอๆได้แล้ว ก็การที่เธอพยายามกล่อมนายให้เป็นลูกค้านั่นล่ะ เข้าใช้บริการเป็นครั้งแรก นายก็ตกลงรับปาก แสดงว่าฝีมือการตลาดของเธอได้ผลนี่หว่า นายก็ตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว”
เมื่อจามิกรเอ่ยพูดหลังจากที่เขาเดาจากสีหน้าของเพื่อนพบเห็นร่องรอยสุขปลื้มและชื่นมื่นของคนฟังเพื่อนรัก ที่ยังคงค้างที่ใบหน้า
“ใช่ เพื่อน ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะต้องจีบเธอให้ได้เลย คิดว่าผู้หญิงคนนี้เหมาะที่จะเป็นเมียและแม่ของลูกฉันว่ะ”
หากหมอจามิกรถึงกับอึ้งที่เพื่อนกล้าฟันธงถึงขนาดนี้ กัลย์กฤษณ์นั้นตอนนี้พูดอะไรไม่เผื่อไว้ตริตรองบ้าง เขามั่นใจขนาดนั้นหรือนึกเป็นห่วงเพื่อน เผื่อเรื่องอาจจะกลายกลับเป็นตาลปัตร เป็นเรื่องที่เพื่อนยอมรับไม่ได้ก็อาจจะมีทางเกิดขึ้น หากจามิกรก็มองจ้องกัลย์กฤษณ์ แลเห็นว่าเพื่อนรักมุ่งมั่นวาดหวังเกินไป
“เอ้อกิ้นฉันขอเตือนบ้างนะเพื่อนระวังนะสิ่งที่นายตั้งใจไว้บางทีอาจจะไม่เป็นความจริง” และคำเตือนเสียงนุ่มของเพื่อนทำให้กัลย์กฤษณ์กระตุกรอยยิ้มค้าง มันก็คล้ายกับเพื่อนไม่เห็นด้วยกับเขา และเมื่อเห็นหน้าที่เสียและเจื่อนลงหน่อยชองเพื่อนรัก หมอจามิกรจึงแก้คำพูดๆ “ไม่ใช่หรอกนะฉันพูดเผื่อไว้ นายไม่ต้องจริงจังกับคำพูดฉันมากก็ได้ เพื่อน แต่อยากให้ระวังเอาไว้นะ นายอย่าประมาทเป็นดีที่สุด กิ้น” กัลย์กฤษณ์พยักหน้ากับเพื่อนที่หวังดีจากนั้นหมอจามิกรก็ขยับตัวเปลี่ยนท่าทีอิริยาบถเพราะเริ่มเมื่อย
“เย็นนี้นายอย่าริชวนฉันไปไหนนาโว้ยเพราะมีนัดกับอ.บ.ต.หวานใจฉัน ลองไม่ไปสิ คะแนนฉันอาจจะลดลงก็ได้”
เมื่อหมอจามิกรนึกขึ้นมาได้เรื่องนี้เขาจึงเอ่ยบอกเพื่อนอย่างดักคอเอาไว้
”ฉันก็ไม่ชวนนายอยู่แล้วหมอจาก็เชิญตามสบายเถอะนะเพื่อน เฮ้ยเร่งทำคะแนนให้ตรงเป้าด้วยล่ะไม่งั้นคนอื่นอาจจะมาตัดหน้าโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะและคิดว่าเย็นนี้จะขออยู่บ้านกับแม่แล้วขอเก็บความคิดถึงไปหาเธอคนสวยคนนั้นที่ชื่อคุณพาวน์ดีกว่านายกร”
และจามิกรเห็นภาพนั้น เห็นเพื่อนยิ้มอีกครั้งก็สัพยอก
“นายนี่นะกิ้นดูถ้าจะเป็นเอามากนะเลย กิ้นหลงผู้หญิงง่ายแบบนี้ก็เกินไปนะ” หมอจามิกรจึงถือโอกาสวิจารณ์เพื่อนตรงๆ
“ถ้าเป็นผู้หญิงที่สวยและถูกใจครบครัน ฉันก็หลงง่ายอย่างนี้ละกร” เลยทำให้เขานั้นไม่โต้แย้งกับเพื่อนเพียงแต่เอ่ยอย่างเบาสบายกับเพื่อนรักจามิกรเท่านั้น
และจนกระทั่งเที่ยงนั้น คุณมณีพิณเรียกให้ทั้งคู่นั้นมาทานข้าวเหนียวเปียกลำไยกับกล้วยบวดชีที่เป็นฝีมือของนางซึ่งเพิ่งเสร็จจากเตาได้สักพักยังคงร้อนกรุ่นจากเตาเพื่อเป็นอาหารว่างในตอนเที่ยง และคนใช้ก็ยกเสิร์ฟให้บนโต๊ะ อีกอย่างนั้นอาหารคาวจานเดียวหมอจามิกรสั่งอาหารตามสั่งที่ร้านใกล้ฟาร์มเป็นกะเพราไก่ไข่ดาวจึงตบล้างท้องด้วยของหวานที่คุณมณีพิณตักใส่ถ้วยทิ้งไว้ให้เขากับบุตรชายในห้องครัว
“ช่วยกันทานเยอะๆนะจ้ะลูกหมอทานเป็นเพื่อนกับกิ้นแม่อุตส่าห์ทำสุดฝีมือเชียวนะ เห็นว่าเป็นของชอบกันทั้งคู่”
คุณมณีพิณหันไปทางเพื่อนลูกชายคำของนางเสนาะไพเราะหูหมอจามิกรนึกอิจฉาเพื่อนที่มีแม่เป็นคนใจดีอารมณ์เย็นต่างจากนางปวยลั้ง ผู้เป็นมารดาของเขาที่บ้านเปิดเป็นร้านขายของชำ อยู่กับเครื่องคิดเลขวุ่นกับการขายของนับแต่เงินจึงมีแต่เรื่องเครียดไม่ยิ้มแย้ม เขาจึงยิ้มให้ “ครับแม่พิณ ผมคงทานได้เท่าที่ท้องจะรับได้”
“เถอะจ้ะแม่ไม่ว่าอะไรหรอกลูกแม่เองก็เห็นหมอนั้นเป็นเหมือนลูกคนหนึ่ง เพราะทั้งเล่นทั้งเรียนมาด้วยกันกับกิ้นลูกของแม่”
หากกัลย์กฤษณ์กำลังจะเงยหน้าจากถ้วยของหวานและหันไปมองทางมารดา พร้อมเอ่ยสัพยอก บอกความในใจเชิงพูดเล่นเป็นการกรุยทางเสียก่อน เพราะถ้าเก็บเป็นความลับนานไป อาจจะทำให้มารดาท่านจะสงสัยเอา จึงเอ่ยทีเล่นทีจริง