ตอนที่ 8
ซึ่งตัวหล่อนเพียงปัทม์จะเป็นฝ่ายทอดไมตรีให้กับคนเหล่านั้นเอง
“อ้าว ท่าทางหล่อนรู้ตัวแล้วแฮะ ไอ้กิ้นนี่นายเอาแต่จ้องเขาฝ่ายเดียวนะกิ้น” และฝ่ายของจามิกรนั้นได้หันมากระซิบบอกเพื่อนรวมทั้งค่อนใส่ด้วย ที่เพื่อนรักทำอะไรโผงผางเปิดเผยไปหน่อย จนหล่อนรู้ตัวแล้วนะ ซึ่งเมื่อพูดแบบนี้บอกเพื่อน แต่จามิกรก็อายและเขินเหมือนกัน เพราะเขาพลั้งปากออกไปเหมือนกัน ชื่นชมสาวอื่นก็อยากจะช่วยเหลือเพื่อนรัก ที่เห็นสนใจผู้หญิงสวยและมีเสน่ห์คนนั้น ซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน คงจะเป็นคนต่างถิ่น เมื่ออยู่ต่อหน้าป่านแก้วแฟนสาว และนั่น เมื่อเขารู้ตัวก็รู้สึกเกรงใจหล่อน และไม่แสดงกิริยาอะไรที่ออกจะดูห่ามห้าวเหมือนคึกคะนองออกมาอีกเลย หากแต่ถ้ายามอยู่ตามลำพังปกติกับกัลย์กฤษณ์เหมือนทุกวันก็พอได้
เอ๊ะ แต่ตอนนี้.. หากแต่นี่ มันคงไม่ได้สิ เพราะมีร่างของหวานใจอยู่ใกล้ตัวด้วย เขาก็ต้องให้เกียรติแก่หล่อน และเขานั้นคือกัลย์กฤษณ์ ที่ทราบจากการสัมผัสมือที่สะกิดแตะของเพื่อน และคำพูดที่กระซิบ หากแต่เขาก็ยังยิ้มระบายบนใบหน้า
ส่วนป่านแก้วดูเหมือนจะเงียบเฉยและหล่อนไม่สนใจอะไรเหมือนกับสองหนุ่มนอกจากทานเข้าเงียบๆกิริยาเช่นนี้เองที่ทำให้จามิกรนึกเกรงใจหล่อนอยู่ตลอดเวลา เพราะท่าทีของหล่อนอ่อนหวานมีมารยาทเหลือเกิน ดังนั้นเขาจึงหันมายิ้มกับป่านแก้ว เหมือนกับบอกว่า มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น ขอให้หล่อนเชื่อใจเขา
“เฮ้ย กร นี่ฉันขอตัวก่อนนะแป้บนึง”
หากชั่วครู่นั้นฝ่ายของกัลย์กฤษณ์เขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นบอกเพื่อนว่าขอตัวเข้าไปทำธุระที่ห้องน้ำแล้วจะกลับมา และฝ่ายจามิกรจึงพยักหน้าให้เพื่อนรัก แล้วจากนั้นกิ้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองผ่านตรงหน้าซึ่งมีร่างของสาวสวย เพราะบริเวณทางผ่านตรงนั้น แบ่งตรงกลางเอาไว้ค่อนข้างโล่ง เส้นทางเดินตรงต้องผ่านตัวของหล่อนก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเมื่อกัลย์กฤษณ์มาถึงแล้ว เขาจึงหันสายตาไปที่หล่อนพร้อมกับเริ่มต้นยิ้มให้ก่อนอย่างเป็นมิตร แต่กลับไม่ได้รับรอยยิ้มตอบจากหล่อนเลย แม่สาวสวยหน้าหวานที่ท่าทางคมฉลาด
และครู่ต่อมานั้นริ้วบนสีหน้าและเลือดฝาดสาวที่พวงแก้มสีอมชมพูผุดรอยตึงบึ้งขึ้นมาแทนกลับกลายเป็นว่าหล่อนเขินเอียงอายเหมือนกัน จนว่าเขานั้นสามารถรับรู้ถึงความไม่พอใจของหล่อนได้ แต่เขาไม่สนใจหรอกนะและเดี๋ยวเขานั้นก็จะแวะกลับมาหาหล่อนใหม่อีกครั้ง คิดว่าจะขอทักทายแล้วก็ขอเบอร์โทร.ให้ได้ นี่ล่ะนายกิ้นซะอย่าง ไอ้เรื่องจีบสาวเขาไม่กลัวหรอก ไม่มีพลาด เพราะเขากล่าวกันว่าคนเราด้านได้อายอดนะสิ
มันเลยต้องใช้ความกล้าเข้าเสี่ยงหน่อยเป็นการส่วนตัวหน่อยละแต่เขาไม่ได้คาดหวังผลที่จะได้รับ หรอกนะว่าหล่อนจะตอกเขาหน้าหงายหรือว่าตอบรับหรือให้ดอกไม้ตอบแทนหรือก้อนอิฐกลับมา
“แต่อย่างว่าละนะกิ้นเอ๋ยในเมื่อไม่ลองมันไม่รู้นี่แล้วต่อไปล่ะนายกิ้นก็จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเขาเอาเอง” เพราะว่าริจะจีบสาวต้องหาวิธีแก้ไขสะระตะเตรียมตัวให้มันรอบคอบประเดี๋ยวผิดคิวนั้นจะได้ไม่หน้าแตกกลับมา และหนำซ้ำอาจจะต้องเจ็บตัวอีกซึ่งเขาเรียกหนทางแบบนี้ว่าหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองอย่างเรียบร้อยเสร็จสรรพ ก็แหม เป็นลูกชายของคุณแม่มณีพิณซะอย่าง คนอย่างเขาก็ไม่ยอมให้เสียชื่อ นางพญาและเจ้าแม่ของที่นี่หรอก
และนั่นฝ่ายเขาชายหนุ่มคิดอย่างคนลำพองคะนองใจไปหน่อย ในฐานะผู้มีชัยเหนือกว่าแอบสังเกตหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่มีความสนใจล้นออกมาทางดวงตาแต่แววตาอีกฝ่ายเหมือนถือหยิ่ง และเหมือนจะรู้ตัว
และในเวลาต่อมากัลย์กฤษณ์กลับมานั่งที่โต๊ะเดิมอีกครั้งซึ่งสหายคนสนิทของเขายังอยู่พร้อมด้วยแฟนสาวคือป่านแก้วกับจามิกร ยังคงนั่งทานอาหารอยู่เงียบๆและคุยกันไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลารอกัลย์กฤษณ์มากกว่า ดังนั้นกัลย์กฤษณ์จึงมองเพื่อนรักและแฟนสาวที่คู่นี้นั้นแสนจะคุยกันอย่างกะหนุงกะหนิงเหลือเกิน จนเขานึกอิจฉาไปด้วย
ส่วนทางด้านหมอจามิกรเองก็ตาไวพอที่จะเห็นสายตาของเพื่อนสนิทที่เขาเหมือนกำลังส่งสายตาเจ้าชู้เหมือนแอบปิ๊งสาวสวยคนนั้นที่เพิ่งมาใหม่ตรงหน้า แสนน่ารักและเจ้าเสน่ห์ สำหรับสาวสวยคนนี้ หลังจากที่จามิกรและแฟนสาวชำเลืองมามานั้นทั้งคู่คิดตรงกันว่าไม่เคยพบเจอมาก่อน น่าจะเป็นคนต่างถิ่น
แต่ถ้อยคำที่สนทนาก็มีหลุดลอดออกมาบ้างก็เลยพอที่จะฟังและเข้าใจรู้เรื่องว่าเธอเข้ามาดูแลรีสอร์ท ที่เปิดใหม่ แต่ก็เพียงเท่านั้น ที่ทั้งคู่เผลอนิ่งฟังไป และอาจจะเป็นเพราะทางฝ่ายนั้นเหมือนจะรู้ตัว จึงเงียบเสียงลงสนิท แต่หนุ่มสาวทั้งคู่ก็ทำหน้าตาแบบไม่รู้ไม่ชี้เช่นเดิม
และในกรณีนี้ที่หมอจามิกรแม้อยากจะช่วยเพื่อนแต่อย่างออกนอกหน้าหรือแสดงตัวมากเกินไปมันก็ไม่ได้หรอก
เพราะเจอแฟนสาวเหมือนตามมาคุมด้วยอย่างนี้เขาเลยถึงได้นิ่งเหมือนแมวนอนหวดในยามนี้จะออกความเห็นอะไรก็ไม่ได้มาก มายเพราะมีสายตาของป่านแก้วที่เริ่มคอยจับตาจ้องแฟนหนุ่มอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
ฝ่ายของกัลย์กฤษณ์นั้นเขากลับมานั่งครุ่นคิดไปเนิ่นนานจนเพื่อนรักเอ่ยเรียก เพราะเขากำลังนั่งเหม่อ จึงเรียกเพื่อให้รู้สึกตัว
“ เฮ้ยไอ้กิ้น คิดอะไรอยู่วะนายนี่ แหม้ เหมือนคนใจลอยอย่างนี้”
ทีนี้กัลย์กฤษณ์เลยรู้สึกตัวว่าเขาเผลอใจลอยไปจริงๆแต่ยังบอกเพื่อนทั้งสองไม่ได้ว่าเผลอคิดด้วยเรื่องอะไร เพราะเรื่องนี้ต้องเป็นความลับที่เก็บเอาไว้เป็นการส่วนตัวของหัวใจมากกว่าก็เพราะขนาดเพื่อนรักทั้งสองทั้งชายและหญิง ต่างก็มีความลับกับเขาได้ เขาก็เอาบ้าง แบบทีใครก็ทีมันสิน่า
แล้วกัลย์กฤษณ์เลยยิ้มอย่างคนที่ชาญฉลาดในแววตาและรู้ทัน
“เปล่า ฉันไม่ได้คิดอะไรมากมายหรอก แค่เรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
หันมากล่าวแก้กับเพื่อนโดยการอ้างเรื่องอื่นบังหน้าหากหมอจามิกรก็มองหน้าอย่างรู้ทัน