ยามเช้าของอีกวันผันผ่านมา ค่ำคืนแรกของหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กของนาง เช้าวันแรกที่นางหลับนอนบนเตียงที่ไม่ใช่ในป่าเขา เสียงนกร้องดังเจื้อยแจ้วเหมือนกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานปลุกคนหลับฝันให้ตื่นขึ้น ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนางก็ตื่นเสียแล้ว ลุกขึ้นเก็บที่นอนก่อนจะเปิดหน้าต่างออกรับลม
“อ้าาา ทำไมอากาศดีจัง” ไอเย็นๆ พัดมากระทบใบหน้าอวบๆ ของนางเบาๆ เฟิ่งเจี๋ยสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเสียเต็มปอด เช้าวันใหม่กับอากาศดีๆ นั้นช่างเป็นกำไรชีวิตแก่นางเสียจริง นี่ถ้ามีแมวอีกสักตัวจะดีมากไปอีกหลายส่วนกับชีวิตอันสงบสุขแบบนี้ วันนี้นางตั้งใจว่าจะเริ่มออกกำลังกายเป็นวันแรก และจะขยับแขนขาแบบคาดิโอของโลกเดิมขณะรอข้าวสุกเท่านั้น แต่ไม่เอาแบบพี่เบเบ้นะ นางตายเสียยังดีกว่า
อีกเรื่องที่ทำนางรู้สึกหงุดหงิดบ่อยๆ คือเรื่องเวลา ปกติแล้วนาฬิกามีอยู่ทุกที่ ที่ข้อมือ ในมือถือ บนเพดาน ในทีวี แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรให้นางสักอย่าง ต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยามใดแล้ว มันรู้สึกอึดอัดแม้นางจะใช้ชีวิตในโลกนี้มานับเดือนแล้วก็ตาม
ว่าแล้วก็ออกจากห้องมุ่งหน้ามายังครัว ไม่ลืมแวะดูคุณชายน้อยด้วยว่ายังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ก็พบว่าอีกฝ่ายนอนหลับอุตุขดม้วนเป็นหอยน่ารักเชียว นางหยิบผ้าห่มที่อยู่ปลายเท้ามาห่มให้จนถึงอกก่อนจะออกจากห้องไปยังครัวเพื่อก่อไฟ
“ขอให้เป็นวันที่ดี” เดินออกมาสูดอากาศอีกสักนิดแล้วรีบล้างหน้าแปรงฟัน นี่เป็นอีกสิ่งที่นางต้องรีบหาสมุนไพรมาทำยาสีฟันและหาหนทางทำแปรงใหม่ ที่นางแปรงอยู่ตอนนี้อย่าเรียกว่าแปรงฟันเลย เรียกบ้วนปากถูเกลือเถิด แต่แปลกที่นางไม่ได้รู้สึกว่าฟันไม่สะอาดเลย ไม่รู้เพราะความนิยายหรือเพราะไม่ได้กินอาหารที่มันเยิ้มหรือเนื้อสัตว์มากนัก
เสียงฝ่าฟืนดังขึ้นเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนหลับ ใช้เวลาไม่นานนักไฟก็ถูกจุดจนลุกโชน การหุงข้าวในยุคนี้ทำอย่างไรนางไม่รู้ แต่นางยังใช้วิธีเดิมนั่นคือการเอาถ้วยข้าววางไว้บนผ้าขาวบางที่ขึงใส่หม้อจนตึงเหมือนการทำข้าวเกรียบปากหม้อ
จริงๆ นางเคยเห็นยายหุงข้าวที่ต้องต้มข้าวใส่หม้อก่อน แล้วเทน้ำทิ้ง จากนั้นก็เอาตั้งไฟต่อแล้วพลิกหม้อไปมาจนสุก ซึ่งนางทำไม่เป็น ในเมื่อเรามีหม้อหุงข้าวก็ใช้หม้อหุงข้าวมาตลอด ผู้ใดจะไปรู้ว่าวันหนึ่งต้องหลุดมาอยู่ในโลกโบราณแบบนี้กัน ถ้ารู้นางคงไม่ต้องเรียนแล้วเตรียมตัวทำอาหารปักผ้าฝึกดนตรีทั้งจะเรียนแพทย์แผนจีนให้จบ เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ
ถ้วยข้าวที่มีน้ำอยู่ประมาณครึ่งข้อวางลงบนผ้าขึงกับหม้อที่ใส่น้ำเอาไว้ ในน้ำยังมีไข่อีกสามฟอง ทำครั้งเดียวได้ทั้งข้าวและอาหารไปเลย เฟิ่งเจี๋ยเดินเข้ามาภายในบ้านอีกครั้ง เปิดหน้าต่างออกรับลมทุกบาน ปัดกวาดบ้านเล็กน้อยพอให้ไม่มีฝุ่นใหม่ก็พอแล้ว
หลังจากนั้นก็ออกมาข้างนอกเรือนหวังจะออกกำลังกายแต่พอเห็นฟ้ากำลังสว่างดีแล้วจึงเริ่มเปลี่ยนความคิด นางจะทำอย่างไรให้ได้ทั้งออกกำลังกายและทำอะไรไปพร้อมกันอีกสักอย่าง
“จะเดินไปตักปลาหรือจะไปขุดแปลงผักไว้ดี” ครุ่นคิดสองอย่างที่ต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างรอข้าวสุก ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกไปขุดแปลงผักเอาไว้ จะได้พลิกหน้าดินเอาไว้เลย ซื้อเมล็ดผักมาจะได้ปลูกไวๆ
ว่าแล้วนางก็ถือจอบที่อยู่ห้องเก็บฟืนแบกขึ้นหลังไปพร้อมตะกร้าสานถี่ๆ ขนาดเล็กเผื่อได้อะไรติดมือและใช้ตักน้ำมารถดินอีกด้วยจะได้ขุดง่ายๆ เดินไปไม่นานก็ถึงบริเวณที่จะทำเป็นสวนผักแล้ว ที่นางเลือกจะทำใกล้ๆ แหล่งน้ำเพราะเป็นดินที่ดี ทั้งยังง่ายต่อการตักน้ำมารด ยิ่งหน้าที่หาบน้ำเป็นของผู้อื่นนางยิ่งเกรงใจ ใช้อาบกินแล้วยังใช้รดน้ำผักอีกคงไม่ไหวพอดี
ตะกร้าเล็กตักน้ำจนเต็มก่อนจะรีบวิ่งมาบริเวณที่ต้องการ น้ำไหลออกจากช่องว่างของตะกร้าเหมือนฝักบัวรดที่ดินจนหมดก่อนจะวิ่งไปตักน้ำอีกรอบพลันเห็นพี่หยางที่เดินแบกถังมาเพื่อหาบน้ำเช่นกัน
“เจ้ากำลังทำอันใดรึ” หยางหรงมองหญิงสาวที่วิ่งหน้าตั้งตักน้ำโดยใช้ตะกร้ามารดพื้นดินอยู่อย่างนั้นด้วยความสงสัย เป็นวิธีที่แปลกแต่ทำง่าย เขาไม่เคยพบเจอ
“ข้าตักน้ำรดดินเพื่อจะได้ขุดแปลงง่ายๆ เจ้าค่ะ ข้าจะทำแปลงปลูกผักไว้กิน” เฟิ่งเจี๋ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวข้าช่วย”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะพี่หยาง ข้าทำได้ ท่านหาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม ถ้าไม่ไหวบอกข้า”
“เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นก็เป็นภาพที่หญิงร่างบางตักน้ำวิ่งมารดที่ดินโดยมีชายร่างสูงเดินหาบน้ำไปมาเติมตุ่มทั้งในห้องน้ำ ห้องครัวและหน้าบ้านจนเต็ม ก่อนจะมาช่วยนางพลิกหน้าดินอีกแปลง ซึ่งอีกสามแปลงนั้นหญิงสาวบอกว่าจะทำเองเพื่อออกกำลัง เขาจึงล่าถอยกลับจวนใหญ่ไปทำอย่างอื่นโดยทิ้งท้ายว่าสายๆ จะไปตัดไม้ไผ่ให้
เมื่อขุดแปลงผักจนเสร็จก็รีบวิ่งกลับมาที่ครัวโดยที่ไม่ได้อะไรติดมือมาเลย นางกลัวไฟจะไหม้หม้อข้าวมากกว่าจึงรีบมา พบว่าข้าวกำลังจะสุกแล้ว อีกประเดี๋ยวก็คงยกออกได้ นางนำไข่สามฟองออกมาแช่น้ำเอาไว้ก่อนเพราะมันสุกแล้วจากนั้นก็ปอกเปลือกเอาไว้ในถ้วยรอข้าวสุข
วันนี้นางและเด็กน้อยจะไปตลาด จากนั้นก็ไปดูอะไรบนเขาสักหน่อยเผื่อจะมีอะไรกิน ถ้าจะทำอาหารเผื่อมื้อเที่ยงที่ครัวก็ไม่มีอะไรเลย เลยคิดว่าซื้อซาลาเปาสักสี่ห้าลูกลูกจากตลาดมาด้วยสักหน่อยไว้กินตอนขึ้นเขา ไม่ทันไรเด็กน้อยก็ตื่นเดินออกมาจากห้อง ดังนั้นนางจึงพาอี้หานไปอาบน้ำแปรงฟันหลังจากแต่งตัวให้อีกฝ่ายเสร็จนางก็เข้าไปอาบบ้างโดยใช้เวลาเพียงไม่นานเช่นกัน
ข้าวขาวหุงร้อนๆ กับไข่ต้มถูกตักเข้าปากสองนายบ่าวอย่างเพลินเพลินจนอิ่มแปล้เต็มท้อง เก็บถ้วยจานไปล้างให้สะอาดเช่นเคยก่อนจะเข้าไปหยิบปลาที่ตากไว้เมื่อวานมาตากไว้อีกรอบ หน้าต่างทุกบานถูกปิดเพราะนางกลัวโจรจะเข้าบ้านก่อนจะหยิบถุงเงินออกจากห้องมา
นางเอาไปเผื่ออีกสองร้อยอีแปะสำหรับซื้ออาหารรวมเป็นหนึ่งตำลึงเงินหรือพวงอีแปะห้าพวง และสำหรับชุดใหม่ของอี้หานอีกสามตำลึงเงินเผื่อไว้ ไม่รู้ว่าชุดหนึ่งราคาเท่าใดกัน แต่เหลือดีกว่าขาด จากนั้นก็สะพายกระบุงไว้บนหลังแล้วจูงมือน้อยๆ เดินมายังถนนซึ่งเป็นเส้นทางตามแนวกำแพงจวนมาก่อนจะเจอกับหน้าจวน ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมากันให้ควั่ก นางกระชับมือเล็กเอาไว้แน่นก่อนจะพาคุณชายตัวน้อยที่ยิ้มร่าอย่างสุขใจเดินไปตามถนน
“เฟิ่งเฟิ่งนั่นอะไรหรือ” อี้หานชี้ไปยังรถม้าที่วิ่งผ่านหน้าตนเองไปด้วยความสนใจ แน่นอนว่าเขาไม่เคยพบเจอสัตว์ชนิดใดเลยนอกจากนกที่บินผ่านเรือนเขาไป
“นั่นคือม้าเจ้าค่ะ เรียกว่ารถม้า ถ้าเราอยากไปไหนเราก็นั่งรถม้าเจ้าค่ะ ม้าจะพาเราไป” เฟิ่งเจี๋ยอธิบายอย่างเข้าใจง่ายให้เจ้านายตัวน้อยฟังก่อนจะจูงมืออี้หานเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้น นางเองก็ไม่เคยมาเช่นกัน การพบเจอผู้คนพูดตามตรงว่าบางครานางก็ตื่นกลัว ยิ่งคนสมัยก่อนที่เราไม่รู้ว่านิสัยใจคอผู้คนเป็นอย่างไรยิ่งยากจะทำใจสงบได้
“แล้วทำไมมันไม่พาเราไปเล่า” เด็กชายเอ่ยถามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
“เพราะตลาดอยู่ใกล้เจ้าค่ะ เราเดินไปก็ถึงแล้ว หากนั่งรถม้าไปม้าจะเหนื่อยนะจ้าคะ คุณชายอยากนั่งหรือเจ้าคะ”
“ข้าเดินได้ ข้าเก่ง” อี้หานพยักหน้าเข้าใจ ตอบกลับทันทีเมื่อรู้ว่าหากนั่งรกม้าจะทำให้ม้าเหนื่อย
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายของบ่าวเก่งมาก ตรงหน้านั้นก็เป็นตลาดแล้วเจ้าค่ะ”
“อื้อ ไปกัน”
สองนายบ่าวตื่นตาตื่นใจกับตลาดมาก เสียงโหวกเหวกโวยวายทำเอาอี้หานขยับเข้ามาชิดนางมากขึ้นด้วยความกลัว เฟิ่งเจี๋ยยอมส่งให้นายตัวน้อยก่อนจะพาเดินดูร้านรวงต่างๆ เพื่อหาของที่ต้องการซื้อ พบว่าข้าวของส่วนมากจะเป็นของที่เหมือนๆ กันหลายอย่าง เช่นขนมหวาน ซาลาเปา บะหมี่ ผัก เนื้อสัตว์ อาหารบางอย่างที่นางไม่รู้จัก และร้านค้าใหญ่จำพวกเสื้อผ้า ข้าวเกลือน้ำตาล ร้านขายแป้ง อุปกรณ์การทำงานมีดพร้า อุปกรณ์การเรียน และร้านหนังสือที่เหมือนจะมีหลายร้านพอๆ กับร้านขายชุดเสื้อผ้าเลยทีเดียว
ตากลมกวาดมองร้านขายผักที่พึ่งเดินผ่านมา ผักนั้นไม่สวยอย่างโลกก่อน ทั้งยังผอมๆ เรียวๆ แต่กลับขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หนึ่งรายได้ที่นางเก็บใส่หัวเอาไว้ ผักผอมๆ ต้องเจอปุ๋ยมูลสัตว์เพิ่มพลังเท่านี้ก็เรียบร้อยไปแล้วหนึ่งลู่ทางเสร็จสับในหัวกลมๆ
ชายผ้าคลุมเก่าๆ ปลิวไหวไปกับลมยามนางหันมองซ้ายขวาไปมาโดยไม่ได้สนใจมันมากนัก พลันสายตาเจอะเจอเข้ากับร้านขายถังหูลู่จึงจูงมือเล็กเดินเข้าไปคาดว่าอี้หานคงไม่เคยกิน ซื้อให้เด็กน้อยสักหน่อยเนื่องในโอกาสเป็นเด็กน่ารักของนาง
“พี่สาวคนสวย ถังหูลู่ขายอย่างไรหรือเจ้าคะ”
หญิงวัยกลางคนโดนชมเข้าก็ใบหน้าแดงก่ำยิ้มกว้างอย่างเหนียมอาย ทั้งยังโดนชมต่อหน้าผู้คนมากมาย เจ้าเด็กน้อยที่มากับแม่นางผู้นี้ยังพยักหน้าหงึก ๆ ส่งมาทางนางอีกด้วยยิ่งทำให้นางสุขใจยิ่งนัก
“ไม้ละอีแปะ ข้าลดให้”
“เอาสองไม้เจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะสองอีแปะ”
“อือ นี่” ท่านป้าส่งถังหูลู่ให้เด็กน้อยเป็นผู้ถือเองทั้งสองไม้ด้วยรอยยิ้มแห่งความเอ็นดู อี้หานเมื่อได้มาก็ส่งมันเข้าปากทันที
“อร่อยมากเฟิ่งเฟิ่ง ถังหูลู่อร่อยมาก” อี้หานตาแทบถลนออกมาเมื่อของหวานเข้าปาก ใบหน้าเบิกบานเสียจนเฟิ่งเจี๋ยอยากบีบแก้มเล่นติดที่อยู่นอกเรือนกัน
“เจ้าค่ะ เราไปกันเถอะเจ้าค่ะเดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน”
“อื้อ”