ต้นยามเว่ยหลังจากเฟิ่งเจี๋ยล้างจานชามเสร็จจึงตั้งใจว่าจะเดินสำรวจแม่น้ำที่ไหลลงมาจากลำธารบนหมู่เขาลงไปยังหมู่บ้านนอกเมืองหลวง ซึ่งนางได้รับต้นน้ำนับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะนางกลัวว่าจะมีอะไรลอยตามน้ำมาช่วงที่นางกำลังตักน้ำไว้อาบกินเข้าคงไม่มีทางรับได้
คนรักความสะอาดอย่างนางเพียงแค่นึกก็แทบอาเจียนออกมาแล้ว อี้หานนั้นหลังจากอิ่มท้องแล้วนางก็พาท่องหนึ่งถึงสิบเพื่อรอให้อาหารย่อยแล้วจึงพาไปนอนกลางวัน นั่งตบก้นปุปุกล่อมจนหลับไปถึงปิดเรือนแล้วเดินออกมาได้พร้อมกับตะกร้าสานสะพายหลังใบเล็กมาด้วยเผื่อใช้งาน
ก่อนจะเดินออกมาก็สำรวจรอบๆ บ้านอีกครั้ง หาพื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกผัก พบว่ามีที่ดินโล่งๆ ใกล้แม่น้ำนั้นมีอยู่พอสมควร คาดเดาด้วยสายตาก็คงทำแปลงผักเล็กๆ ได้หกถึงเจ็ดแปลง แถมยังมีน้ำให้ตักใกล้ๆ อีกด้วย สองเท้าเล็กก้าวเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ จนถึงแหล่งน้ำ น้ำใสสะอาดจนเฟิ่งเจี๋ยอยากลงเล่น
สายตาพยายามมองหาว่ามีผักบุ้งอยู่หรือไม่ไม่ทันไรก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเจอกับต้นผักบุ้งอยู่กลุ่มหนึ่งอยู่ริมน้ำ หญิงสาววางตะกร้าลงแล้วถกกระโปรงขึ้น เดินลุยน้ำลงไปเก็บมันทันทีด้วยความรีบร้อน กลัวว่าหากมีบุรุษมาเจอเท้าเจอขานางเข้านางกลัวว่าจะได้สามีมาแบบงงๆ เพราะถ้าเป็นจีนโบราณแค่ถอดรองเท้าให้บุรุษเห็นก็เหมือนเสียตัวแล้ว แสนงงงวยจริง
ผักบุ้งหนึ่งกำถูกวางไว้บนฝั่งเปลี่ยนเป็นหยิบตะกร้ามาถือไว้แทน นางเห็นปลาลอยไปมาเสียมากมาย ไม่รู้ว่าคนที่นี่เขากินปลาบ้างหรือไม่
“หรือว่าเพราะเค้าไม่กินปลาวะแต่ละอย่างถึงบ้ง ๆ แบบนี้” คิดไปก็พลางลองเอาตะกร้าซ้อนปลาลองดูว่าจะได้หรือไม่ นางต้องการแค่สองสามตัวพอทำอาหารเท่านั้น
พรุ่งนี้คงต้องวานบ่าวชายให้ช่วยตัดต้นไผ่ให้นางจะเอามาสานที่จับปลา ที่บ้านนางเรียกว่า ไซ ไม่รู้ว่าภาคกลางเขาเรียกอะไรกัน แต่คงปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ให้คล้ายกระบุงแต่มีฝาปิดเข้าไปเหมือนข้อง (ที่ใส่ปลาเมื่อจับปลาได้)
“จับยากนัก” ตะกร้าซ้อนปลาไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังจับไม่ได้เช่นเดิม จึงเดินลึกลงไปอีกเล็กน้อยแล้วมองหาปลาตัวใหญ่ๆ ก่อนสายตาจะมองเห็นปลาตัวหนึ่งที่คล้ายปลานิลบ้านเรามาก ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่แต่นางเล็งเป้าหมายไปที่ตัวนั้นเรียบร้อย เพราะปลานิลก้างไม่เยอะเหมือนปลาตะเพียนที่ลอยชุกชุมอยู่ใกล้ๆ นาง
// ซวดด ซ่าาา // เสียงตะกร้าลากขึ้นพ้นน้ำด้วยความเร็วเมื่อซ้อนปลาได้ น้ำหลั่งไหลออกมาตามช่องรู มีปลานิลขนาดเท่าฝ่ามือดิ้นดุกดิกอยู่ในนั้นสองสามตัว นางยิ้มอย่างมีความสุขและเดินขึ้นจากน้ำ ใส่รองเท้าได้ก็เดินฮัมเพลงอย่างมีความสุขกลับบ้านไปทันที
โดยที่ไม่รู้เลยว่าบ่าวชายร่างกำยำผู้หนึ่งที่หวังจะเข้ามาช่วยกำลังอ้าปากค้างมองขาของนางตาไม่กะพริบ แม่นางลืมปล่อยมือจากกระโปรง
กลับถึงเรือนเฟิ่งเจี๋ยก็รีบไปหยิบมีดมาทำความสะอาดปลาทันที นางคิดว่าจะทำปลาเผาหนึ่งตัวกินกับข้าวต้มที่เหลือไว้อีกสองตัวนางจะแล่ทาเกลือแล้วนำขึ้นตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ทอดกินหรือต้มก็ได้
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็เอาส่วนท้องปลาไปทิ้งลงในลำธาร ฝูงปลาต่างรุมตอดกินเครื่องในปลาเป็นกลุ่มใหญ่ ทำเอานางฉุกคิดวิธีจับปลาครั้งหน้าได้ถ้าหากยังไม่มีเวลาสานที่จับปลา
ตากลมมองสวนดอกไม้ข้างๆ อย่างสำรวจว่ามีดอกอะไรที่นางทราบบ้าง สวนนี้คงเป็นสวนไว้ให้คนในจวนเที่ยวชมกระมัง มองจากไกลๆ เห็นสะพานและศาลาอยู่อีกฝั่งของบริเวณท้ายจวน
ช่างเถิด นางมิได้สนใจคนพวกนี้มาก ตอนนี้ที่นางต้องทำคือมีชีวิตเรียบง่ายและไม่ขัดสนเงินทองและอาหาร พี่สาวฟางหลวนบอกกับนางเรื่องเบี้ยหวัดของคุณชายที่ต้องได้ทุกๆ เดือนว่าอาจจะได้พรุ่งนี้ แต่นางไม่รู้ว่าได้มากน้อยเพียงใด เมื่อไม่รู้ นางก็ไม่อาจวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าได้ ตอนนี้จึงทำได้เพียงจัดการบ้านเรือนรอไปก่อน
เก็บดอกไม้ไปทำน้ำอบใส่ตู้เสื้อผ้าคุณชายดีกว่า ว่าแล้วก็เลือกเด็ดดอกกุหลาบสีแดงสดมาเต็มสองกำมือ เพราะมีขนาดใหญ่และได้หลายกลีบนางจึงเลือกดอกนี้ ก่อนจะรีบวิ่งกลับเรือนกลัวจะมีผู้ใดมาเห็นเข้า
“เฟิ่งเฟิ่ง นั้นอะไรรึ”
“คุณชายตื่นแล้วหรือเจ้าคะ นี่ดอกเหมยกุ้ยเจ้าค่ะ บ่าวเก็บมาจากสวนด้านนู้นเจ้าค่ะ”
“อื้อ” อี้หานพยักหน้าเข้าใจ
“งั้นนั่งดูบ่าวทำดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้” สองขาเล็กๆ ปีนขึ้นไปบนแคร่ก่อนจะนั่งลงมองมาทางนางอย่างตั้งอกตั้งใจน่าเอ็นดูเชียว
หม้อเล็กๆ ถูกหยิบออกมาตั้งเตาเมื่อจุดไฟเสร็จ เครื่องครัวมีไม่มากนัก มีหม้อขนาดเล็กที่นางกำลังใช้อยู่ หม้อขนาดกลางที่ใช้ทำข้าวต้ม และกระทะหนึ่งใบเท่านั้น ดีที่ชุดจานชามนั้นมีหลายสิบชุดเพียงพอให้นางใช้ หม้อเล็กใส่น้ำสามส่วนของหม้อตั้งไฟเอาไว้ จากนั้นก็นำดอกเหมยกุ้ยมาเด็ดเป็นกลีบ
กลีบดอกไม้สีแดงสดถูกนำไปล้างน้ำอีกสองรอบให้สะอาด หลังจากนั้นก็ต้องฉีกกลีบดอกให้เป็นเส้นตามแนวยาวโดยมีเด็กน้อยที่ทนไม่ไหวเข้ามามีส่วนร่วมจนได้ซึ่งนางก็ไม่ได้ห้ามอะไร หลังจากนั้นก็นำไปล้างน้ำอีกหนึ่งรอบแล้ววางไว้บนแคร่รอน้ำที่กำลังต้มอยู่
ระหว่างนั้นเฟิ่งเจี๋ยเดินเข้ามาข้างในห้องเพื่อค้นดูว่ามีขวดโหลใช้ได้หรือไม่เพราะตอนทำความสะอาดนางเจอขวดโหลส่วนหนึ่งอยู่ในกล่องไม้ ก่อนจะเจอเข้ากับขวดโหลเปล่าขนาดเล็กสามสี่อันที่อยู่ในกล่อง เปิดจุกสูดดมกลิ่นข้างในดูแล้วได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คาดว่าคงเป็นขวดเครื่องหอมสักอย่างที่ใช้จนหมดแล้วกระมัง
ขวดโหลถูกล้างจนสะอาดก่อนจะนำมาวางเรียงกันเอาไว้ นำน้ำที่เดือดแล้วเทใส่ภาชนะอย่างระมัดระวังจนครบ สองนายบ่าวช่วยกันเอากลีบดอกเหมยกุ้ยใส่ลงไปในขวดโหลก่อนจะนำจุกมาปิดไว้แล้วนำไปเก็บบนตู้ให้พ้นมือเด็ก ทิ้งไว้หนึ่งคืนก็จะได้น้ำอบไว้ใช้แล้ว
ไฟที่เหลือนางก็จะเผาปลาต่อเลย ปลานิลตัวเท่าฝ่ามือที่ถูกทำความสะอาดเรียบร้อย ทาเกลือเล็กน้อย จริงๆ นางอยากทาทั้งตัวแต่ก็ต้องประหยัดเกลือเอาไว้ จะใช้ครั้งเดียวเป็นกำมือดั่งโลกก่อนคงไม่ได้แล้ว นำไม้แหลมๆ มาเสียบปลาเพื่อเป็นที่จับเวลาพลิกปลาไปมา เมื่อเสร็จแล้วก็นำวางลงบนเตา เผาไว้แล้วไปทำอย่างอื่นต่อค่อยมาพลิกย่างอีกด้านต่อ
“ไม่ต้องออกกำลังกายก็คงผอมแล้วแหละ” เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยหอบเมื่อเก็บผ้าที่ตากเอาไว้เข้าไปจัดที่นอนให้คุณชายน้อยและของตนไว้เหมือนเดิม ทั้งยังวิ่งออกไปเก็บปลาที่ตากไว้มาเก็บไว้ในถ้วย เก็บไว้ในตู้กับข้าวหลังเล็กๆ แต่เพียงพอสำหรับใช้สอยกันสองคน
ร่างบางวิ่งกลับไปในครัวเพื่อพลิกปลาอีกด้านโดยมีเด็กน้อยนั่งเล่นของเล่นเฝ้าให้นางอีกแรง ตอนนี้ไม่รู้ว่านางยกตนเท่าเจ้านายหรือเจ้านายกลายเป็นลูกนางแทนก็ไม่รู้ จากบทนายบ่าวกลายเป็นแม่ลูกท้ายจวนไปเลย หัวกลมๆ สะบัดไล่ความคิดขบขันออกไป ก่อนจะหยิบถังน้ำวิ่งไปที่ลำธารเพื่อตักน้ำมาใส่ตุ่ม
เฟิ่งเฟิ่งตอนอยู่โลกเดิมนั้นเชี่ยวชาญด้านการวิ่งราว ล้อเล่น การวิ่งมารา- ธอนตามงานมหา’ ลัยและวิ่งตามวัวควายเวลามันเดินไปที่ทุ่งนาของผู้อื่น บางครั้งก็ไปกินข้าวเหยียบย่ำข้าวที่นาข้างๆ จนเละตอนที่ยายเผลอ ก็เป็นนางที่วิ่งสี่คูณร้อยไปไล่ต้อนมันกลับมา
ดังนั้นการประหยัดเวลาอีกอย่างหนึ่งคือการวิ่ง ถึงแม้ในโลกนี้จะดูไม่เหมาะสมแล้วนางจะต้องไปแคร์อะไรล่ะคะ ก็ตรงนี้มีแค่นางกับเด็กคนนึง แถมนางยังเป็นบ่าวอีก ต้องรักษากริยาไปเพื่อใครกัน
คิดไปก็วิ่งไปจนถึงลำธาร ถังน้ำสองถังถูกตักจนเต็มแล้วยกขึ้น เฟิ่งเจี๋ยดันลืมไปว่าร่างนี้เป็นเด็กอายุสิบสี่สิบห้าหนาวเท่านั้น ถึงจะอวบท้วนแต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีจึงเดินเซซ้ายขวาแบกน้ำขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“ทำไมเจ้าถึงหาบน้ำเองเล่า ทุกๆ วันข้าจะเป็นคนหาบให้” เสียงเข้มโพล่งขึ้นมาทำเอาหญิงสาวแทบเผลอปล่อยถังน้ำหนักๆ ใส่เท้าตัวเอง มองไปยังต้นทางของเสียงพบบ่าวชายผู้หนึ่ง แบบ หล่อมาก เหมือนร่างณเดช หน้าอเล็กซ์ ธีรเดช หล่อมาก หล่อไม่เผื่อใคร
“เอามานี่ข้าจะยกเอง” อีกฝ่ายแย่งเอาถังน้ำจากมือนางไปแล้วสอดใส่ไม้คานที่ถือมาด้วยเพื่อใช้ในการหาบน้ำ
“เอ่อ ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าพึ่งเข้ามาอยู่ในจวนวันนี้” เฟิ่งเจี๋ยรีบขอโทษขอโพยเขาทันทีเพราะนางลืมสิ่งที่พี่ฟางหลวนบอก ไม่ใช่ว่าต้องไปวานเท่านั้นหรอกหรือถึงจะมาทำให้ นางจำไม่ได้ว่ามีคนทำหน้าที่นี้อยู่ตลอด
“อืม ข้ารู้ มีอะไรก็เรียกข้าได้ ข้าก็ดูแลเรื่องแบกหามในเรือนคุณชาย”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“หยางหรง นามข้า” หยางหรงเอ่ยบอกนามของตัวเองออกไป พลางจ้องมองสำรวจนางอีกรอบ ปกติแล้วจะมีสายสืบที่ถูกส่งตัวมาในนามทาสอยู่ตลอด ซึ่งคราแรกเขาก็คิดว่านางจะเป็นเช่นกัน หญิงสาวที่ใดจะถกกระโปรงอย่างไม่สนสิ่งใดเช่นนาง
ตามปกติแล้วแม้จะเป็นทาสเขาก็ไม่เคยเห็นผู้ใดทำแบบนางเว้นเสียแต่ว่าคลุกคลีกับบุรุษมาตลอดเช่นนักฆ่าหรือสายสืบ แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่านางคงไม่ใช่ นางเหมือนจะมาจากต่างที่ต่างวิถีการใช้ชีวิตเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่ามาจากแคว้นใดกัน
“ข้าเฟิ่งเจี๋ยเจ้าค่ะ” เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยบอกนามของตนเองไปด้วยรอยยิ้ม นางไม่ได้ใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้าดั่งยามปกติเพราะรู้สึกเกะกะ
“ทำไมคนอื่นเรียกเจ้าเฟิ่งเฟิ่งเล่า”
“ท่านเรียกข้าว่าเฟิ่งเฟิ่งก็ได้เจ้าค่ะ”
“อืม เรียกข้าพี่”
“เจ้าค่ะ พี่หยาง พรุ่งนี้ข้าอยากได้ไม้ไผ่ ท่านตัดให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ ยามใด”
“ตามแต่ที่ท่านสะดวกเจ้าค่ะ ข้าจะทำที่จับปลาและที่ตากปลา”
“ได้ เจ้าเข้าไปในเรือนได้แล้ว” เสียงเข้มเอ่ยบอกนางทั้งยังส่งสายตาแกมบังคับว่าหากนางไม่ออกเดินกลับเรือนชายหนุ่มจะยืนจ้องนางอยู่เช่นนี้ เฟิ่งเจี๋ยทำอะไรไม่ได้นอกจากเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
“ขอบคุณพี่หยางเจ้าค่ะ”
“อืม” หยางหรงมองหญิงสาวที่เดินกลับเข้าเรือนไปก่อนจะหันไปตักน้ำอย่างที่เคยเป็นประจำ ต่างจากครั้งนี้เหมือนมุมปากหนักๆ ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนใบหน้าขยับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยไม่นานก็หายไป