“คุณชายหลับอยู่ เจ้าเข้าไปดูได้ หลังจากนี้ข้าจะกลับไปทำงานของข้าแล้ว อ้อ ประเดี๋ยวข้าจะไปแจ้งพ่อบ้านเรื่องเบี้ยหวัดของคุณชายน้อยให้ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะได้เมื่อใด อาจจะวันพรุ่งนี้ เจ้ารอหน่อยนะเฟิ่งเฟิ่ง ขอให้เจ้าทำงานด้วยความสุข”
เมื่อนางจากมานานเกินควรแล้วจำเป็นต้องรีบกลับไปสะสางงานของตนให้เสร็จ ฟางหลวนพยายามเพ่งมองดวงตาที่ไม่ถูกปกปิดเอาไว้ก็พบว่าดวงตาเฟิ่งเฟิ่งนั้นสวยจนนางไม่อาจละสายตาได้ ดวงตายังงดงามเช่นนี้ ขี้ริ้วขี้เหร่คงเป็นเกราะป้องกันของนางกระมัง
“เช่นกันเจ้าค่ะพี่สาว ขอบคุณที่ชี้แนะข้าเจ้าค่ะ” เฟิ่งเจี๋ยยอบกายลานางไม่มากไม่น้อยจนเกินไป มองตามหลังหญิงสาวจนลับตาก่อนจะถอนหายใจออกมาดังๆ
อย่างน้อยก็ยังดีที่เจอคนดีเข้ามาในชีวิตตั้งแต่เข้ามาวันแรก ไม่เช่นนั้นนางคงเคว้งคว้างน่าดู เพราะหัวใจนางตอนนี้รู้สึกอึดอัดอย่างไรไม่รู้ ไม่รู้จะคิดเรื่องตอนนี้หรือเรื่องยายที่ตนทิ้งมาก่อนดี
ประตูไม้ถูกปิดเข้ามาเสียงเบา ไม่ลืมลงกลอนเอาไว้เพื่อความปลอดภัย ยามนี้ได้โอกาสมองสำรวจบ้านอีกครั้ง ตอนนี้ยังเป็นยามเช้าอยู่ นางจึงมีเวลาปรับตัวเกือบทั้งวันได้
เดินเข้าไปในห้องว่างที่จะเป็นห้องหลับนอนของนางนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พบว่าห้องเป็นห้องขนาดพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ไม่รู้ว่าเป็นห้องเดิมของอนุหวังหรือไม่นางไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้เป็นห้องของนางแล้ว
ห่อผ้าถูกวางลง มีหีบใส่ผ้าหนึ่งใบวางอยู่ นางตั้งใจจะจัดผ้าใส่ในนี้ มีเตียงฟูกแข็งๆ ที่คาดเดาว่าคงผ่านการใช้งานมานานหลายปีแล้ววางอยู่กลางห้อง มีกระจกทองเหลืองตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
เฟิ่งเจี๋ยหยิบมันขึ้นมาส่องทันที เพราะส่องกับแม่น้ำลำธารยังไม่สะใจพอ พบว่าใบหน้านี้ค่อนข้างสะสวยงดงาม จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วโก่งได้รูป ตาสองชั้น ปากกระจับริมฝีปากแดงสดน่าลูบไล้ เพียงแต่หุ่นอวบไปเท่านั้น
ออกกำลังกายสักหน่อยก็สวยแซ่บแล้วในความตั้งใจของนาง หญิงสาวนั่งลงบนเตียงอย่างผ่อนคลาย ยังดีที่ก่อนจะตายนั้นถูกรางวัลที่หนึ่ง ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงรู้สึกแย่ที่นางจากมาด้วยความเป็นห่วงว่ายายจะอยู่อย่างไรต่อไป ต่อจากนี้จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็แล้วกัน
“เอ๊ะ หรือว่าเราเข้ามาอยู่ในนิยาย แบบเป็นนางเอกฝ่าฟันอุปสรรคขายโสมแล้วรวยเป็นเถ้าแก่เนี้ย หรือจะเป็นนางร้ายที่ไปแย่งพระเอกที่เป็นท่านอ๋อง โหย แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ทำไมไม่ให้ทีมเอ็กโทรเวิร์ตมาแทน ส่งอินโทรเวิร์ตมาทำไม ไม่ทำ ไม่ทำ และไม่ทำ เดินเหินสบายใจอยู่ที่นี่เฉยๆ ดีจะตายไป”
“ฮือ” เสียงร้องของเด็กดังขึ้นทำเอาเฟิ่งเจี๋ยสะดุ้งโหยงหลุดออกจากความคิดของตนเองรีบวิ่งไปที่ห้องของเจ้านายตัวน้อยทันที ในห้องมีเด็กผู้ชายผอมแห้งยืนร้องไห้จ้าจนใบหน้าแดงก่ำอย่างน่าสงสาร นางรีบเข้าไปจับมือเล็กให้หยุดถูไถดวงตากลัวว่ามันจะแดงเอาพร้อมลูบหัวเล็กๆ อย่างปลอบโยน
“คุณชาย ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน” ดวงตากลมโตที่อาบไปด้วยน้ำตามองนางอย่างแปลกใจ มือเล็กเอื้อมดึงผ้าคลุมหน้าของเฟิ่งเจี๋ยออกด้วยความสงสัยของเด็ก ยิ่งได้เห็นใบหน้าของนางคิ้วเล็กๆ ยิ่งขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิมเพราะไม่รู้ว่านางเป็นผู้ใด
ทำเอาหญิงสาวอดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เด็กอะไรน่ารักน่าชังอย่างนี้กัน รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกทางสีหน้าไปเสียหมด ใบหน้าหล่อเหลามาแต่เด็ก ตากลมโต ผิวเนียนสะอาด ติดแค่ร่างกายที่ผ่ายผอมกว่าปกติที่นางคิดว่าจะต้องขุนเขาให้สมบูรณ์กว่านี้ให้ได้ แม่ทิพย์เห็นแล้วปวดใจ
“ข้าเป็นบ่าวคนใหม่เจ้าค่ะ ต่อจากนี้บ่าวจะมาดูแลคุณชายเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะไม่หนีข้าไปอีกคนใช่หรือไม่”
“ไม่หนีเจ้าค่ะ ว่าแต่บ่าวยังไม่รู้เลยว่าคุณชายน้อยมีนามว่าอย่างไร”
“ชุนอี้หาน แล้วพี่สาวเล่า” อี้หานนึกครู่ใหญ่ก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความไร้เดียงสา ทำเอานางอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ตัวก็เล็กกว่าเด็กบ้านอื่น ทั้งยังโดนไล่มาอยู่ที่นี่กับมารดาที่จากไปแล้ว ดีร้ายขึ้นอยู่กับบ่าวที่ดูแล ไม่รู้ว่าถ้าเด็กผู้นี้เติบโตขึ้นมาจะยังยิ้มสดใสกับชีวิตที่โดนลำเอียงแบบนี้หรือไม่
“บ่าวมีนามว่า โจวเฟิ่งเจี๋ย เจ้าค่ะ คุณชายเรียกบ่าวว่าเฟิ่งเฟิ่งก็ได้เจ้าค่ะ คุณชายหิวหรือยังเจ้าคะ”
“อื้อ ข้าหิวแล้วเฟิ่งเฟิ่ง” ใบหน้าเล็กคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับแก่บ่าวคนใหม่
“เช่นนั้นบ่าวพาคุณชายไปล้างหน้าแล้วลงไปรอที่โต๊ะอาหารดีหรือไม่เจ้าค่ะ บ่าวทำอาหารครู่เดียวเจ้าค่ะ”
“ได้”
“เก่งมากเจ้าค่ะ”
“ข้าเก่งหรือ” อี้หานถามกลับสาวใช้อย่างแปลกใจ ท่านแม่ไม่เคยชมเขาเลยสักครั้ง พูดแต่ว่าเขาไม่มีประโยชน์ ขนาดเขาเกิดมาเป็นชายยังทำให้ท่านพ่อหันมาสนใจพวกเราไม่ได้ เอาแต่ผลักเขาออกไปให้ไกลๆ เขาเคยได้ยินสาวใช้พูดว่าแม้แต่น้ำนมท่านแม่ยังไม่ให้เขาดื่มกิน แล้วอย่างนี้เขาจะเก่งอย่างที่นางชมได้อย่างไรกัน
“เก่งเจ้าค่ะ คุณชายของบ่าวเก่ง”
“อื้อ” เด็กน้อยยิ้มกว้างกางแขนให้สาวใช้คนใหม่อุ้มออกไปอย่างมีความสุข โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่านี่คือยิ้มแรกในรอบหลายต่อหลายเดือนที่ตนยิ้มออกมาด้วยความสุขเช่นนี้
เฟิ่งเจี๋ยพาเจ้านายตัวน้อยไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะอุ้มพามานั่งบนแคร่ไม้ในห้องครัวเพราะเจ้าตัวเล็กอยากอยู่กับนาง นางเข้าใจเด็กวัยนี้ดีจึงไม่ว่าอันใด ก่อนจะหันมาสนใจกับข้าวของที่เรือนนี้มีอยู่
พบว่ามีไข่อยู่เกือบยี่สิบฟอง มีข้าวขาวอยู่มากพอสมควร เกือบเต็มไหขนาดเท่าตัวเด็ก นางเองก็ไม่รู้ว่ามีกี่ชั่ง และมีเกลืออยู่ครึ่งไหเล็กประมาณเท่าสองฝ่ามือของนาง น้ำตาลก็เช่นกัน ไม่มีผัก ไม่มีแป้ง ไม่มีเนื้อ มีแค่สองสามอย่างตามที่เห็น นี่หรืออาหารที่จวนแม่ทัพส่งมาให้
“อะไรวะ”
“เฟิ่งเฟิ่งพูดกับข้าหรือ” เสียงเล็กเอ่ยถามอย่างงุนงงทันทีเพราะไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดอะไร หญิงสาวรีบหันมาโบกไม้โบกมือปฏิเสธ นางลืมไปว่ามีเด็กอยู่ด้วย
“ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ บ่าวพูดคนเดียวเจ้าค่ะ”
“พูดคนเดียวก็ได้หรือ ข้าไม่เคยทำ”
“แหะๆ ทำไข่ตุ๋นก็แล้วกัน” เฟิ่งเจี๋ยได้แต่เกาหัวแกรกๆ ไม่ตอบอันใดออกไปมากกว่านี้แล้วหันมาสนใจอาหารแทน เฟิ่งเจี๋ยจัดการจุดเตาด้วยเวลาไม่นาน เพราะอยู่สกลนครนางก็ใช้เตาถ่านตลอด จะยากหน่อยก็ตรงที่ไม่มีไม้ขีดไฟหรือไฟแช็กนี่แหละ ต้องหมุนไม้ให้เกิดไฟ ไม่ก็กะเทาะหิน แต่นางไม่ถนัดกะเทาะจริงๆ เพราะไม่เคยทำ เคยแต่ไปเข้าค่ายมาบ้างจึงพอจุดแบบหมุนไม้ได้
พยายามจุดไฟอยู่นานในที่สุดไฟก็ติด เฟิ่งเจี๋ยรีบตั้งหม้อน้ำทันที จากนั้นก็มาตีไข่สามฟองด้วยช้อน ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย แล้วเอาผ้าบางขึงปากหม้อให้ตึง จากนั้นก็เอาถ้วยไข่วางลงไป แล้วก็เอาจานปิดไว้ ในน้ำนั้นจึงเอาข้าวลงไปต้มด้วยเลยทีเดียวจะได้กินไวไม่ต้องรอให้นาน
เมื่อทำเสร็จแล้วในขณะที่รออาหารสุกเฟิ่งเจี๋ยก็เดินไปหาคุณชายน้อยที่นั่งมองตาแป๋วด้วยรอยยิ้ม
“เฟิ่งเฟิ่ง เสร็จแล้วหรือ”
“อีกประเดี๋ยวก็สุกแล้วเจ้าค่ะคุณชาย ให้บ่าวเล่านิทานให้ฟังดีหรือไม่เจ้าคะ”
“นิทานคืออะไรหรือ”
“คือเรื่องเล่าที่บ่าวแต่งขึ้นมาเจ้าค่ะ เรื่องกระต่ายกับเต่า”
“ข้าอยากฟัง” เสียงเล็กเอ่ยตอบพลางขยับเข้ามาใกล้นางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี ความไร้เดียงสาของเด็กนั้นหนอ
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายตัวหนึ่ง มันชอบโอ้อวดว่าตนวิ่งเร็วกว่าสัตว์ตัวอื่น”
“กระต่ายคืออะไรหรือเฟิ่งเฟิ่ง” เสียงใสเอ่ยถามพร้อมทำหน้าอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่สาวใช้พูดจนเฟิ่งเจี๋ยแทบไปต่อไม่เป็น ลืมว่าเด็กคนนี้ไม่เคยออกไปไหนเลย
“กระต่ายคือสัตว์ตัวสีขาว มีหูยาว กระโดดไปมาเจ้าค่ะ เหมือนนกตัวนั้นที่กำลังบินอยู่ แต่กระต่ายจะกระโดดหย็อยๆ แบบนี้เจ้าค่ะ” ไม่พูดเปล่าแต่นางกระโดดเลียนแบบท่าทางของกระต่ายให้คุณชายน้อยดูด้วย เด็กอายุเท่านี้ต้องทำให้ดูพาไปให้เห็นเท่านั้นจึงจะเกิดการเรียนรู้ พูดปากเปล่าเด็กนึกภาพเองไม่ออก
“คิกคิก ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าค่ะ กระต่ายเลยไปประกาศที่กลางป่าว่า”
“ป่าหรือ”
“ป่าตรงนั้นเจ้าค่ะ” หญิงสาวชี้ไปที่ป่าตรงหน้าให้เด็กน้อยดู เรือนที่นางอยู่หันหลังใส่กำแพงจวน หันหน้าเข้าหาแม่น้ำลำธารที่อยู่ห่างไปประมาณหนึ่ง ถัดไปเป็นป่ากินพื้นที่ภูเขาหลายลูก
“กระต่ายพูดว่า ข้าวิ่งเร็วที่สุด ใครจะวิ่งเร็วเท่าข้า ไม่เชื่อเจ้าเต่ามาวิ่งแข่งกับข้า” นางทำเสียงตัวละครให้แตกต่างกันพร้อมทำท่าทาง ยิ่งเห็นว่าคุณชายน้อยตั้งอกตั้งใจมองนางด้วยดวงตาเปล่งประกายนางยิ่งมีกำลังใจมากขึ้น
“เต่าเป็นเช่นไรหรือเฟิ่งเฟิ่ง”
“เต่าอยู่ในน้ำเจ้าค่ะ เต่าเดินช้าต้วมเตี้ยม ๆ วันไหนบ่าวเจอจะพาคุณชายไปดูนะเจ้าคะ” หญิงสาวอธิบายออกไปด้วยรอยยิ้มไม่มีท่าทีหงุดหงิดในสิ่งที่เด็กคนอื่นๆ ควรจะรู้เลย หนึ่ง อี้หานคือเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีใครป้อนอะไรใส่หัวเขาเลย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร
“อื้อ”
“จากนั้นเต่ากับกระต่ายก็วิ่งแข่งกันเจ้าค่ะ พอวิ่งไปแล้วกระต่ายก็แอบไปนอนหลับใต้ต้นไม้ เพราะคิดว่ายังไงก็ชนะ”
“นอนเหมือนข้าหรือ” เจ้าหนูจำไมเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“เจ้าค่ะ แต่เต่าไม่นอน”
“เต่าไม่นอนเหมือนเฟิ่งเฟิ่ง”
“เก่งมากเจ้าค่ะ หลังจากนั้นกระต่ายก็หลับทั้งวัน จนถึงตะวันตกดินเลยเจ้าค่ะ เต่าเลยเดินเข้าเส้นชัยชนะไป”
“จริงหรือ เส้นชัยหรือ”
“เอ่อ” เฟิ่งเจี๋ยกุมขมับทันที นางไม่รู้จะอธิบายคำว่าเส้นชัยอย่างไรเด็กน้อยถึงจะเข้าใจ
“เหมือนคุณชายน้อยกับบ่าววิ่งจากลำธารมาที่เรือนเจ้าค่ะ ผู้ใดถึงเรือนก่อนเป็นผู้ชนะ”
“ข้าเข้าใจ”
“เก่งมากเจ้าค่ะ”
“อื้อ ข้าเก่ง” ชุนอี้หานยิ้มแก้มปริเมื่อโดนชมอีกครั้ง หลังจากนั้นก็นั่งเงียบๆ มองเฟิ่งเฟิ่งทำอาหารต่อ ไม่นานก็มาวางตรงหน้าเขา
“อะไรหรือ”
“ไข่ตุ๋นเจ้าค่ะ” จานไข่ตุ๋นหอมฉุยวางลงบนแคร่ไม้พร้อมกับข้าวต้มที่ตักเอาแต่ข้าว นางบดให้ละเอียดแล้วส่งให้คุณชายเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าตนกินเองได้ ไข่ตุ๋นแปลกตาถูกมือเล็กตักเข้าปากหลังจากที่เฟิ่งเฟิ่งเป่าจนหายร้อนแล้ว
“อื้อ อร่อย”
“อร่อยก็กินเยอะๆ นะเจ้าคะ จะได้โตไวๆ”
“ได้เลย” หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดมากนัก เฟิ่งเจี๋ยกินถ้วยของตนเองพลางตักไข่ใส่ถ้วยเด็กน้อยพลาง อดรู้สึกรักใคร่ไม่ได้เมื่อเห็นแก้มขาวๆ เคี้ยวอาหารจนมันพองขึ้นเหมือนอมลูกบอลไว้เต็มแก้ม เมื่อกินเสร็จแล้วนางก็เก็บจานไปล้างแล้วกลับมาหาเด็กน้อยที่แคร่หน้าเรือน
“ไปเดินเล่นกันเถิดเจ้าค่ะ”
“อื้อ” อี้หานตอบรับอย่างเชื่อฟังก่อนยื่นมือไปจับกับหญิงสาวแล้วเดินเล่นไปรอบๆ สองนายบ่าวที่พึ่งเจอกันเดินดูต้นไม้ แม่น้ำลำธารไปเรื่อยเปื่อย พลางสอบถามข้อมูลส่วนตัวจากเด็กน้อยข้างๆ พบว่าอี้หานเป็นเด็กฉลาดรู้ความนัก อายุเพียงแค่สี่หนาวแต่ไม่ว่านางถามอะไรออกไปล้วนตอบได้หมดทุกคำถาม อีกข้อมูลที่นางได้รับคือเด็กคนนี้ไม่ได้เรียนหนังสือ
จวนแม่ทัพนั้นพี่ฟางหลวนบอกว่าให้อาจารย์ชื่อดังมาสอนตั้งแต่สามหนาวแล้ว จุดนี้ทำให้นางรู้อีกข้อที่ไม่ยุติธรรม อย่าให้รู้ว่าผู้ใดแต่งเรื่องนี้ หรือใครสร้างโลกนี้ แม่จะด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลย ไม่ใช่ทั้งสองก็รอดตัวไป
แต่ถ้าถามความในใจนางจริงๆ แล้วล้วนเป็นสิ่งที่ดี เด็กอายุแค่นี้ค่อยๆ สอนไปดีกว่า ทั้งยังเกี่ยวกับกระดูกข้อมือของเด็กยังไม่แข็งแรงด้วย นางคิดว่านางสามารถสอนด้วยตนเองได้ ดีไม่ดีอาจจะสอนได้ดีกว่าอาจารย์เสียด้วยซ้ำ
เมื่อเดินเล่นได้เกือบๆ หนึ่งเค่อแล้วหญิงสาวก็พาเด็กน้อยเดินกลับเรือน เพราะนางยังต้องสำรวจและจัดเรือนใหม่ ดูว่าทั้งเรือนมีอะไรบ้าง ทั้งต้องหาอาหารที่หลากหลายมากกว่าไข่และข้าวมาให้ทั้งนางและเด็กน้อยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง