บทที่ 9 อี้หานขึ้นเขา

1913 คำ
อี้หานล้างไม้ล้างมือที่เปื้อนของกินเมื่อกลับมาถึงเรือน เท้าเล็กๆ วิ่งเข้าห้องนอนไปหยิบของเล่นมานั่งเล่นอยู่บนแคร่ไม้ในห้องครัวที่เดิมขณะที่เฟิ่งเฟิ่งกำลังนำข้าวของที่ซื้อมาเสียเต็มกระบุงออกมาจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนแคร่ที่อี้หานนั่งอยู่ บ่าวสาวนั่งลงบนแคร่ข้างๆ เด็กน้อยนำของออกจากกระบุงจนหมดก่อนหยิบชุดใหม่ของคุณชายตัวน้อยขึ้นมา ก่อนจะมาจัดการกับข้าวของนางขอจัดการกับชุดใหม่ของอี้หานเสียก่อน ชุดขาวสะอาดถูกนำมาซักกับสบู่ที่เหมือนจะไม่มีประโยชน์อันใดหากแต่ต้องจำใจใช้มันเช่นเดิม เมื่อซักเสร็จแล้วก็นำลงล้างกับน้ำ เฟิ่งเจี๋ยเดินกลับออกมาหยิบน้ำอบดอกเหมยกุ้ยที่ทำไว้กลับเข้าไป เทใส่ลงไปในน้ำเยอะพอสมควร แช่ไว้ไม่นานก็นำขึ้นตากเพราะนางมีอย่างอื่นต้องทำอีกมากในวันนี้ หญิงสาวเข้าไปเอาชั้นไม้ที่อยู่ในห้องนอนที่ว่างอยู่ออกมาตั้งไว้ข้างตู้กับข้าวเพื่อวางเครื่องปรุงและข้าวของบางส่วน นำแป้งเก็บไว้ในไหเล็กใส่ไว้ในตู้รวมถึงถั่วเหลืองและถั่วเขียวด้วย จากนั้นก็จุดไฟเพื่อทำน้ำมันจากมันหมูเอาไว้ เมื่อเสร็จแล้วนางค่อยต้มกระดูกหมูทิ้งเอาไว้ตอนขึ้นเขา จุดไฟไว้รอให้ไฟติดฟืนมากกว่านี้นางก็นำมันหมูสองจินมาหั่นด้วยมีดเล่มใหม่ด้วยความว่องไว นำกระทะตั้งไฟ ใส่มันหมูที่นางหั่นแล้วลงไป เติมน้ำลงไปสักหน่อย แล้วคนไปมาจนน้ำเริ่มเหือดแห้งก็เริ่มมีน้ำมันออกมา ระหว่างนั้นก็นำเขียงไม้หนักๆ มาวางข้างๆ แล้วหั่นหมูเป็นชิ้นยาวๆ เพื่อทำเนื้อตากแห้งเสียเกือบสองชั่ง เหลือไว้ทำแกงจืดประมาณครึ่งจินเพราะไม่มีตู้เย็น จึงทำกินมื้อเดียว เรายังมีปลามีไก่อีก เฟิ่งเจี๋ยถึงกับกุมขมับตัวเองเพราะความคิดน้อยของตนเอง ปกติแล้วเวลาอยู่หอพักนางมักจะวางแผนแล้วซื้อของทีเดียวมาตุนไว้กินได้ทั้งเดือน แต่นางลืมไปว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหน มันไม่มีตู้เย็นอีเฟิ่งเอ๋ย ตอนนี้มีเนื้อไก่หนึ่งจินและเครื่องในไก่อีกประมาณครึ่งจินที่นางต้องคิดว่าจะทำอย่างไรกับมันดี นางอยากผัดเครื่องในไก่วันพรุ่งนี้ หรือว่าจะทำวันนี้ดี ส่วนหมูก็ทำเนื้อตากแห้งให้หมด แต่นางอยากกินแกงจืด “ถ้าอย่างนั้นก็ผัดเครื่องในตอนเย็นก็แล้วกัน ทีนี้ก็เหลือแต่เนื้อไก่” “หรือจะทำไก่ฝอยดี มีไก่ น้ำตาล เกลือ น้ำมัน เหลือก็แต่หัวหอม” คิดไปคิดมาก็ได้ข้อสรุป เช้านี้นางจะทำน้ำมัน แล่เนื้อหมูหมักตากแดด สับเนื้อหมูส่วนที่เหลือแล้วหมักเอาไว้ จากนั้นก็ตั้งน้ำต้มกระดูกหมูไว้ ค่อยไปขึ้นเขา เผื่อนางจะเจอหอมป่ากระเทียมป่ามาบ้าง ยามบ่ายนางถึงจะทำไก่ฝอย ดีมาก เก่งมากเฟิ่งเฟิ่ง “เฟิ่งเฟิ่ง เราจะขึ้นเขายามใดหรือ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นขณะที่หันมองเฟิ่งเฟิ่งกำลังผัดอันใดสักอย่างอยู่ “อีกสักสองชั่วยามเจ้าค่ะ บ่าวต้องจัดการกับข้าวของที่ซื้อมาก่อนไม่อย่างนั้นมันจะเน่าเสียกินไม่ได้เจ้าค่ะ” เฟิ่งเจี๋ยแย้มรอยยิ้มหวานส่งกลับไปให้พร้อมคำตอบ นางรู้ว่าเด็กน้อยอยากไปเที่ยวมากเพียงใด แววตาแห่งความสุขพาดผ่านดวงตายามที่นางบอกว่าจะพาขึ้นเขามีหรือนางจะไม่เห็น “เก็บไว้นานจะกินไม่ได้หรือ แล้วทำไมไข่ไม่เน่าเล่า” “เพราะไข่ยังอยู่ในเปลือกเจ้าค่ะ ไข่เลยเน่าช้าเจ้าค่ะ แต่เนื้อสัตว์เน่าไว บ่าวจึงต้องนำมันไปตากแดดให้แห้งถึงจะเก็บไว้ได้นานๆ เจ้าค่ะ” นางอธิบายไปก็นำเกลือมาคลุกกับเนื้อหมูที่นางหั่นเสร็จแล้วไป เมื่อได้ที่แล้วก็นำไปวางพักไว้บนแคร่ไม้ หันมองเด็กน้อยที่เหมือนจะเข้าใจไม่เข้าใจด้วยความเอ็นดู หากอี้หานไม่เข้าใจก็ไม่เห็นจะเป็นอันใด คราหน้าหากเด็กน้อยถามนางอีกนางก็เพียงแค่ตอบเหมือนเดิมอีกรอบเพียงเท่านั้น “อื้อ ข้าเข้าใจแล้ว” อี้หานพยักหน้าเข้าใจแม้จะเหมือนไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามนางต่อ เด็กน้อยหันกลับไปเล่นของเล่นตนนางก็หันกลับมาให้ความสนใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่เช่นกัน ตอนนี้เหลือแต่มันหมูที่ใกล้จะได้ที่แล้ว บทสนทนาของสองนายบ่าวจึงจบลงเพียงเท่านี้ ใช้เวลาทั้งหมดเกือบหนึ่งชั่วยามทุกอย่างก็เสร็จดี ตอนนี้ยังเป็นยามเช้าอยู่ อากาศดีมากจนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าใด หากโลกก่อนยามเช้าแดดก็แรงแล้ว บางทีนางดำนาอยู่ก็แทบเป็นลมแม้ว่าพึ่งจะแปดโมงเช้าก็ตามที ยิ่งช่วงบ่ายต้องพักเอาไว้เพราะแดดแรง ช่วงเย็นค่อยลงไปทำอีกรอบ ชาวนาหลายๆ ครอบครัวทำแบบนี้อยู่เสมอ พอมาเจอแดดในโลกนี้นางก็พอจะมีกำลังทำงานได้ขยันขึ้นอยู่สักหน่อย เทน้ำมันหมูใส่ไหเล็กๆ เอาไว้เก็บเข้าตู้ เนื้อสำหรับทำเนื้อแดดเดียวนางก็หมักด้วยเกลือขึ้นตากเรียบร้อยดีแล้ว หมูสับที่นางเตรียมไว้สำหรับทำอาหารก็ถูกหมักพักไว้ในตู้ ที่เตาไฟมีหม้อใบใหญ่กำลังต้มกระดูกหมูอยู่ เฟิ่งเจี๋ยยัดฟืนเข้าเตาจนเต็มเพื่อไม่ให้ไฟดับก่อนน้ำต้มกระดูกหมูนางจะอร่อยได้ที่ หญิงสาวเดินกลับเข้าไปในห้องนำเงินที่เหลืออยู่ก้นถุงเก็บรวมไว้ในหีบก่อนจะล็อกให้แน่นหนา หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่นางเก็บรวบรวมเอาไว้ขึ้นมา เป็นกระดาษมัดใจบุรุษที่เหลือพื้นที่ว่างอยู่มากพอสมควร แท่งถ่านที่ถูกเหลาจนแหลมถูกใช้แทนหมึกที่นางยังไม่มี ขีดเขียนรายการจับจ่ายใช้สอยของวันนี้ว่าใช้จ่ายไปเท่าใดและเหลือเบี้ยหวัดอยู่เท่าใด ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะไม้ตามเดิม ถึงเวลาเข้าป่าของนางแล้ว เฟิ่งเจี๋ยหันมองหีบอีกรอบเพื่อความมั่นใจว่านางใส่กุญแจแล้วจริงๆ ซ้ำยังล็อกประตูห้องอีกหนึ่งรอบแล้วเก็บกุญแจไว้กับตนเองเพื่อความปลอดภัย กระบุงอันเดิมถูกใช้งานอีกรอบ บ่าวสาวนำมันแบกไว้บนหลังตามเดิมโดยที่คุณชายน้อยก็มีกระบุงเล็กๆ อยู่บนหลังเช่นกัน ยิ่งเห็นแล้วนางอยากมีสมุดเล่มเล็กๆ สักเล่ม นางอยากวาดภาพเด็กคนนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด วาดเก็บเอาไว้จนอี้หานเติบโตพร้อมออกไปใช้ชีวิตภายนอกนางจะให้เขาเอาไว้ดูเล่นเผื่อนางเองก็ต้องไปทางของนางเช่นกัน เฟิ่งเฟิ่งนำน้ำใส่ขวดแก้วใช้จุกไม้ปิดจะได้ไม่รั่วใส่ไว้ในกระบุง ยังมีซาลาเปาและมีดพร้าเล่มใหม่ที่นางถืออยู่อีกด้วย หยิบหมวกสานสวมให้อี้หานก่อนจะจูงมือเล็กออกจากเรือนไป ถึงเวลาเดินทางเที่ยวเล่นบนเขาของเด็กชายอี้หานเสียที เดินผ่านสวนดอกไม้มาพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนลูกนกร้องขออาหาร อี้หานชี้ไม้ชี้มือสอบถามนางเสียทุกสิ่งอย่างที่เราทั้งสองเดินผ่านมาโดยเฉพาะต้นไม้หลากหลายชนิดที่กำลังออกดอกเบ่งบานสวยงามอยู่ด้านข้าง บางชนิดนางก็ตอบได้ หากแต่ดอกไม้บางชนิดนางก็จำชื่อจีนไม่ได้จริงๆ เช่นดอกไฮเดรนเยีย ไม่รู้จะบอกเด็กน้อยว่าอย่างไรจึงพูดผ่านๆ ไปว่านางเองก็ไม่รู้ อี้หานก็ไม่ได้ว่าอะไรซ้ำยังชี้ไม้ชี้มือเป็นเจ้าหนูจำไมถามนางต่อจนเราสองคนเดินมาจนถึงตีนเขา เจอเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่นางเห็นบ่อยที่สุดตั้งแต่มาอยู่ทีนี่ “พี่หยาง” หยางหรงหันขวับมาตามเสียงเรียก เฟิ่งเฟิ่งสาวใช้คนใหม่ของคุณชาย ซ้ำข้างๆ ยังมีคุณชายน้อยที่มีกระบุงเล็กอยู่บนหลังสวมหมวกสานใบเล็กน่ารักไม่หยอก ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทำเอาหัวใจเขารู้สึกดีไปด้วย ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นรอยยิ้มนี้จากใบหน้าที่เอาแต่เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลาเช่นคุณชายน้อยอี้หาน บุตรอนุแสนร้ายกาจท้ายจวน “เจ้าจะพาคุณชายไปที่ใด” “ข้าจะพาคุณชายไปขึ้นเขาเจ้าค่ะ” เฟิ่งเจี๋ยตอบออกไปอย่างไม่คิดอันใด “มันอันตราย” เสียงเข้มเอ่ยออกมาทันทีแทบไม่ต้องคิด การจะพาเด็กขึ้นเขาเดิมทีก็อันตรายอยู่แล้ว ยังเป็นถึงเจ้านายของพวกเขาสองคนอีกยิ่งไม่ได้เป็นอันขาด หากเขาไม่ได้มาตัดไม้ตอนนี้ไม่ใช่ว่านางจะพาคุณชายขึ้นเขากันเพียงสองคนหรอกหรือ หนึ่งเด็กหนึ่งหญิงที่ยิ้มร่าอย่างมีความสุขไม่รู้เลยหรือว่าบนป่าเขาอันตรายเพียงใด “ข้าดูแลเฟิ่งเฟิ่งได้หยางหยางไม่ต้องห่วง” อี้หานตอบกลับน้ำเสียงฉะฉานหนักแน่นอย่างไม่เคยเป็น มือเล็กจับมือเฟิ่งเฟิ่งให้กระชับมากขึ้น เขาเป็นบุรุษย่อมดูแลเฟิ่งเฟิ่งได้แน่นอนอยู่แล้ว “เฮ้อ เช่นนั้นให้บ่าวไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ บ่าวจะไปตัดไม้ไผ่ให้เฟิ่งเฟิ่ง” หยางหรงเอ่ยออกมาอย่างจำใจเพราะจะให้พวกเขาวกกลับเรือนตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้วเมื่อคุณชายดูแน่วแน่ถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็ยังมีเขาอยู่ กลับเรือนค่อยพูดคุยกับเฟิ่งเฟิ่งใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน “ได้ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง” “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ” เฟิ่งเจี๋ยมองเด็กน้อยอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมองบุรุษหล่อเหลาตรงหน้า เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีผ่อนคลายลงนางก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ นางลืมไปจริงๆ นั่นแหละว่าป่าเขามีอันตราย ไม่เจอก็ดีไป แต่ถ้าเจอเล่า นางคงช่วยคุณชายไม่ได้แน่ๆ เป็นอันว่าตอนนี้มีหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กและหนึ่งสตรีกำลังเดินตามกันขึ้นเขาไปพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของนายน้อยตัวจิ๋วที่พูดจ้อไม่หยุดตั้งแต่เดินกันมา รอบๆ ตัวมีแต่กลิ่นอายของความสุขอบอวลอยู่เต็มไปเสียหมด พลอยให้ทั้งหยางหรงทั้งเฟิ่งเจี๋ยรู้สึกมีความสุขตามไปด้วยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว โดยเฉพาะรอยยิ้มกว้างๆ ของหยางหรงเวลาที่อี้หานพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดสักทีจนเสียงแหบแห้งจนเฟิ่งเจี๋ยต้องนำน้ำมาให้ดื่ม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม