เรือนร่างบอบบางของหญิงสาวเมืองกรุงสาวเท้าวิ่งเข้าหลบฝนใต้ชายคาร้านขายก๋วยเตี๋ยวอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเนื้อตัวหล่อนก็เปียกไปเกือบครึ่ง รอบกายมีชาวบ้านวิ่งมาหลบฝนเบียดเสียดอยู่ข้างกาย แต่หล่อนกลับดูโดดเด่นสุดเพราะผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตา รวมถึงลักษณะการแต่งตัวต่างจากชาวบ้านโดยสิ้นเชิง
หล่อนเป็นสาวเมืองกรุงเพิ่งเคยเดินทางออกต่างจังหวัดคนเดียวครั้งแรก การเดินทางสุดแสนจะยากลำบากไหนจะต้องมาติดฝนไปไหนไม่ได้อยู่แบบนี้ นึกไปหล่อนก็หน้าหงิกงออยากโกรธคนที่นายจ้างของหล่อนใช้ให้มารับ แต่ดูซิ คนๆ นั้นกลับปล่อยให้หล่อนยืนรอเก้อเกือบสองชั่วโมง
เพลินพิศยืนห่อไหล่หลบฝนอยู่ราวครึ่งชั่วโมงฝนจึงซาลงผู้คนทยอยกลับบ้านกลับช่องของตัวเองส่วนหล่อนก็กางแผนที่เดินถามทางไปไร่ชาสุขสวัสดิ์ คลำหาทางอยู่นาน จนในที่สุดหล่อนก็มายืนที่ป้ายปากทางเข้าไร่ชาจนได้ แต่เพราะตอนนี้เย็นมากแล้วจึงไม่มีรถผ่านมาเลยสักคัน
“มาทำงานวันแรกก็โดนเล่นงานให้เดินนานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย จะไหวไหมยัยเพลิน” เพลินพิศบ่นอุบเบาๆ ก่อนกระชับกระเป๋าเป้สัมภาระด้านหลังเดินต่อไปอย่างมั่นคง
ปิ๊ก ปิ๊ก! เสียงแตรรถดังขึ้นจากทางด้านหลัง เพลินพิศดีใจมากหันไปมองแล้วโบกรถ
“ช่วยจอดหน่อยค่ะ”
ชายหนุ่มในรถยนต์ชะลอความเร็วลงมองดูหน้าค่าตาของหญิงสาวต่างบ้านต่างเมืองที่เข้าข่ายเป็น ‘น้องเพลิน’ ของคุณแม่ ไม่รู้ว่าพลัดหลงเดินมาไกลขนาดนี้ได้ไงทั้งที่ตรงนี้เป็นถนนลูกรังหลังไร่ ก่อนหน้านี้เขาอุตส่าห์รีบไปตามหล่อนที่สถานีขนส่งแต่กลับไม่เจอคนที่มีรูปร่างลักษณะอย่างที่ท่านบอกก็เลยต้องถามคนแถวนั้นจนขับรถวนมาเข้าทางด้านหลังไร่แล้วเจอนี่แหละ
เป็นเพราะเด็กบ้าคนนี้คนเดียวที่ทำให้เขาต้องแบกรับความเก็บกดไว้ไม่ได้ปลดปล่อยอะไรมากมาย แค่ครั้งเดียวเพราะอัญชุลีช่วยเร่งเร้า ชาติพยัคฆ์ สุขสวัสดิ์ พ่อเลี้ยงเมืองเหนือวัยสามสิบห้าปีลดกระจกลงมองดวงหน้าหวานใสของเด็กบ้าที่ตนเพิ่งด่าไปเมื่อกี้แต่ความน่ารักของหล่อนกลับวิ่งมาชนหัวใจเขาเต็มๆ
“ขอโทษนะคะ คุณจะเข้าไปที่ไร่ชาสุขสวัสดิ์หรือเปล่าคะ” เพลินพิศถามเสียงใสกวาดสายตามองข้างในรถไม่เห็นใครเลยนอกจากเขาก็ดีใจฝันกลางวันไปว่าเขาคงจะใจดีให้หล่อนติดรถเข้าไปในไร่ด้วยกันจะได้ไม่ต้องเดินขาลากกว่าสองกิโลเมตรผ่านถนนดินแดงเข้าไป แถมดีไม่ดีเกิดฝนตกลงมาอีกหล่อนมิแย่หรอกหรือ เมื่อเขาไม่ยอมตอบหล่อนพูดต่อเสียงหวานสดใส “ถ้าเข้าไปหรือไร่นั้นเป็นทางผ่านขอดิฉันติดรถไปด้วยได้ไหมคะ พอดีดิฉันเพิ่งมาครั้งแรกน่ะค่ะ เดินไปบ้านของคุณนายมุกมณีไม่ถูก”
ชาติพยัคฆ์ยังคงเงียบกวาดสายตามองหญิงสาวอย่างประเมิน แอบแลบลิ้นเล็กน้อยก่อนอมยิ้มมุมปาก เป็นสายตาที่เพลินพิศเห็นแล้วต้องหน้าเสียยอมถอยหลังเพราะเริ่มไม่ไว้ใจ
“เอ่อ... ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเดินไปเองก็ได้ ขอบคุณมากๆ นะคะ” เพลินพิศยิ้มจืดส่งให้เขา ก่อนเดินนำรถคันนั้นไปตามขอบถนนดินแดง
‘หน้าตาก็ดีแต่ทำไมทำหน้าแปลกๆ ก็ไม่รู้ เป็นไอ้หื่นหรือเปล่า หล่อนจะรอดถึงบ้านคุณป้ามุกไหมนะยัยเพลิน’
“ผมกำลังจะไปบ้านนั้นพอดี ขึ้นรถมาสิ”
เสียงทุ้มบอก ในเวลานั้นเองเพลินพิศเพิ่งรู้ตัวว่าเขาขับรถตามหล่อนมาตั้งแต่แรก แต่เพราะมัวแต่นินทาในใจจึงไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงรถของเขา
นัยน์ตาใสแป๋วมองดวงหน้าคมอย่างลังเลแต่พอรอบกายมีลมแรงมากขึ้นส่อเค้าฝนจะตกลงอีกรอบเพลินพิศก็รีบพยักหน้ารับ
“ขอบคุณค่ะ”
บอกเขาก่อนรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับกดกระจกเลื่อนขึ้น กอดกระเป๋าสัมภาระของตัวเองจ้องถนนไม่วางตา อากัปกิริยานั้นน่ารักน่าเอ็นดูจนชาติพยัคฆ์ต้องหลุบสายตาลงมองเป้ากางเกงตัวเองสำรวจดูว่ามันจะขยายใหญ่ให้เขากลายเป็นไอ้หื่นต่อหน้าหล่อนหรือเปล่า
“ไม่รู้เหรอไงว่าทางนี้เป็นท้ายไร่”
ถามอย่างชวนคุยสัพเพเหระ นึกเสียดาย นี่ถ้ารู้ว่าหนูเพลินของคุณแม่น่ารักน่าใคร่แบบนี้เขาคงไปรับนานแล้วไม่ปล่อยให้หล่อนเดินตากฝนตากลมแบบน้องแมวพลัดถิ่นแบบนี้หรอก น่าสงสารหล่อนชะมัด อย่างนี้เขาควรปลอบหล่อนสักยกสองยก เอ๊ย! เขาควรปลอบใจหล่อนดีไหม?
ชาติพยัคฆ์ยิ้มมุมปาก นึกสนุกอยากแกล้งแมวน้อยน่ารักเร็วๆ
“คะ?” เพลินพิศมัวแต่เหม่อไม่ทันฟังอดอายไม่ได้ที่เขามองมาตาเย็นชา แต่ถึงอย่างนั้นแก้มหล่อนก็ยังแดง