‘ซื่อบื้อจังเลยยัยเพลินเอ๊ย’
“ผมถามว่าไม่รู้เหรอไงว่าทางนี้เป็นท้ายไร่ ทำไมไม่นั่งรถสองแถวมาลงหน้าไร่แล้วนั่งรถของไร่เข้ามา”
“ท้ายไร่?”
เพลินพิศผินดวงหน้าหวานมองซีกหน้าคมของชายหนุ่มแล้วอ้าปากค้าง
‘อะไรกัน มีรถผ่านไร่นี้ด้วยเหรอ แล้วทำไมชาวบ้านถึงไม่ยอมบอกหล่อนกันล่ะ แต่จะว่าไปต้องโทษตัวเองสิถึงจะถูกที่ไม่ถามอะไรไม่ละเอียดเอาซะเลย โธ่ เสียเวลาเดินหาทางเข้าไร่ตั้งหลายชั่วโมง โชว์โง่แท้ๆ เลยยัยเพลิน!’
“หึหึ ดูท่าคงจะไม่รู้สินะ แต่ก็เอาเถอะ ดีแล้วที่ผมขับรถผ่านมาทางนี้ไม่อย่างนั้นทางคงเปลี่ยวน่าดู แถวนี้ประวัติไม่ค่อยดีนักหรอกนะ คุณเป็นคนต่างถิ่นคงจะตามเล่ห์เหลี่ยมคนแถวนี้ไม่ทัน”
ชายหนุ่มบอกต่ออย่างใจดี ไม่อยากให้มีข่าวไปซ้ำรอยเดิมที่ว่ามีผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืนแถวนี้ เพราะพื้นที่ท้ายไร่ส่วนใหญ่เป็นป่าไกลออกไปถึงเป็นหมูบ้านและตัวอำเภอ นึกแปลกใจในตัวหญิงสาวที่เดินมาได้ไกลถึงขนาดนี้
ขืนคุณแม่รู้ว่าเขาปล่อยให้หล่อนเดินมาไกลแบบนี้มีหวังโดนด่าไปสามวันแปดวันแน่
“เอ่อ ค่ะ” เพลินพิศยิ้มจืด แต่แล้วความไม่ไว้วางใจก็แล่นเข้าจุกอก เขาบอกว่า ‘คนต่างถิ่นคงจะตามเล่ห์เหลี่ยมคนแถวนี้ไม่ทัน’ แล้วเขาก็เป็นคนแถวนี้ซะด้วยหล่อนจะไว้ใจเขาได้ไหมนี่ ร่างบางขยับไปชิดประตูรถเตรียมเปิดประตูเพื่อกระโดดลงทันทีที่เขาจะรุกราน แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันเพราะหล่อนเห็นเขายิ้มมุมปาก แค่ยิ้มเท่านั้นเนื่องจากทั้งมือและเท้ายังคงมุ่งมั่นกับการขับรถผ่านสายฝนที่โปรยปรายลงมา
‘อีตาบ้า กวนซะจริง’
เพลินพิศทำหน้ามุ่ยกอดกระเป๋าแน่นกว่าเดิม ทอดสายตากลมแป๋วมองฟ้าฝนเกรี้ยวกราด