ในเช้าวันต่อมา ภายในห้องพักสุดหรู ศิลา เจ้าของห้องขี้เมา ค่อยๆ ขยับร่างกาย หลังจากหมดสติและหลับยาวยันเช้า ชายหนุ่มรู้สึกตัว ปวดหัว เจ็บตรงศรีษะ ได้แต่ครางซีดซาด ระคนด้วยความปวดหนึบจากการดื่มเหล้าที่ไม่ได้ดื่มเสียนาน เขาเริ่มขยับตัวลืมตาทีละนิด ก่อนจะผงกศีรษะขึ้นมองไปรอบๆ พร้อมกับรวบรวมสติว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง กลับขึ้นห้องมาได้ตอนไหนหรืออย่างไร
แต่สิ่งที่เขาเห็นคือแจกันแตกกระจายอยู่บนที่นอน ซึ่งยังไม่แน่ใจนักว่าแตกได้อย่างไร จึงสลัดศีรษะเพื่อจะได้คลายความมึน พลางเอามือบีบขมับเล็กน้อย ทว่ามือดันสัมผัสกับของเหลวบางอย่างที่แห้งกลังติดตรงบริเวณหัวคิ้ว เขาจึงลูบๆ แล้วเอามือมาดู
“เลือด! เลือดอะไรวะเนี่ย” เขาถามตัวเองด้วยความตกใจก่อนจะเอามือลูบมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
ตั้งสติแล้วค่อยๆ พยุงตัวไปส่องที่หน้ากระจก
“โอ้ว! หัวแตกเหรอเนี่ย เลือดจนแห้งหมดแล้ว” เขาตกใจพร้อมกับเอากระดาษทิชชู่เช็ดเลือดแห้งๆ ออก เพื่อจะดูว่าแผลลึกหรือไม่ แต่เมื่อเลือดแห้งหลุด เลือดสดๆ ก็ไหลออกมาอีก แต่แผลก็ไม่ได้ลึกนัก ทว่ามันเป็นหัวคิ้วจึงเป็นส่วนที่ผิวหนังบางที่สุด มันจึงแตกง่าย และยิ่งเช็ดเลือดก็ยิ่งไหลซ้ำออกมา เพราะยังเป็นแผลสดอยู่
“ใครทำวะ” ศิลาเริ่มครุ่นคิด ใคร่ครวญว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้อง ก่อนจะหันไปมองที่เตียง มีแต่ร่องรอยของที่นอนยับยู่ยี่ เขาจึงกวาดตามองให้ทั่วก็พบหลักฐาน นั่นคือหมวกแค๊ปที่เจ้าตัวเล็กนั่นทิ้งเอาไว้นั่นเอง
“เด็กไอ้วิน! ไอ้วินเอาเด็กมาให้เรา อื้อ! ทำไมจำหน้าไม่ค่อยได้” จะให้จำได้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาเมาซะขนาดนั้นนี่ก็สร่างเมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแหละ
“ช่างเถอะ” เขาก็ทำเป็นลืมๆ ไป แต่ก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาแหละ เพราะว่าเด็กนั่นหน้าตาน่ารัก สูงเพรียว อ้อนแอ้น เห็นอีกทีน่าจะจำกันได้ แต่ร้ายชะมัดเลยเอาแจกันตีหัวเขาจนแตก ตกลงมาบริการเขาหรือว่ามาทำอะไร เขาคิด แต่ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว
ต่อมาศิลาเรียกแม่บ้านให้ขึ้นมาหา เอาพลาสเตอร์มาให้ด้วย พร้อมกับทำความสะอาดเก็บเศษแจกันออกไปให้หมด เรื่องค่าเสียหายค่อยว่ากัน เขาจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วจึงออกไปนั่งดื่มกาแฟที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นส่วนกลางของห้องนอนทั้งสองห้อง ทว่าเขาไม่ใช่คนที่ตื่นคนแรก
“อ้าวบี! ตื่นเร็วนะเนี่ย ขนาดเมาหนัก” มาวินเอ่ยถาม ขณะที่กำลังจิบกาแฟกับขนมปังอยู่
แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นศีรษะของเพื่อนมีพลาสเตอร์ปิดเอาไว้
“นั่นหัวคิ้วไปโดนอะไรมา” มาวินถามด้วยความแปลกใจ
“เอ่อ ซุ่มซ่ามน่ะ เมามากไปหน่อยก็เลยล้มหัวฟาดขอบโต๊ะ” ศิลาไม่อยากบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ประเดี๋ยวจะเสียเชิงให้เพื่อเอาไปล้อสนุกปากอีก ระดับผู้บริหารขนาดนี้ใครจะเล่า
“ก็ซุ่มซ่ามเกิน แล้วต้องเย็บไหมวะนั่น”
“ไม่ต้อง แผลตื้นๆ ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวมันก็สมานกัน”
“จะเข้าบริษัทเลยไหม แต่ฉันว่าใส่สูทเต็มยศขนาดนี้พร้อมแล้วมั้ง”
“ก็พร้อมแหละแต่ว่ายังแฮงค์อยู่” ศิลาตอบเสียงเรียบ
“เดี๋ยวฉันชงกาแฟให้ดีกว่า แต่แกเรียกมื้อเช้าขึ้นมาเสิร์ฟไหม เอาหรือเปล่า”
“ไม่อ่ะ เสียเวลา กาแฟก็พอ ขอขมๆ นะ” ศิลาสั่ง ขณะที่เพื่อนรักรีบไปชงกาแฟให้ในฐานะที่ศิลาเป็นเจ้านาย
“เอ่อ วิน” ศิลากำลังจะถามเรื่องคนเมื่อคืน แต่ไม่ดีกว่า
“มีอะไรวะ” มาวินหันมาขานรับ
“เอ่อ... เปล่า”
“มันต้องมีสิ มีอะไรบอกได้” มาวินถามพลางชงกาแฟ เสร็จแล้วจึงเดินกลับมาหาที่โต๊ะ
“เมื่อคืนแก ส่งเด็กขึ้นมาให้ฉันป่าววะ” ด้วยความสงสัยศิลาจึงถามเสียเลย
“เด็กที่ไหนไม่มี! เมาแล้วละเมอเหรอ”
“ก็เปล่า ช่างเถอะ สงสัยฝัน” ศิลาบอกปัด เพราะเรื่องแบบนี้บางทีก็ไม่ได้อยากบอกให้หมดหรอก
“สงสัยอดอยากปากแห้งจนฝันนะเนี่ย” มาวินแซวยิ้มๆ
“แกมีเลขากี่คนนะ” ศิลาอดถามไม่ได้อีก
“หลักๆ คนเดียวก็เอด้า เอ่ออีกคนเป็นพาร์ทไทม์ เป็นเด็กผู้ชาย ไม่เด็กแล้วล่ะ อีกไม่ถึงเดือนก็เรียนจบให้มาทำงานเต็มตัว ถามทำไมวะ มีอะไรหรือ ว่าอยากจะได้สักคน” มาวินบอกและถามกลับด้วยความสงสัย ขณะที่ศิลากำลังคิดว่าเด็กคนนั้นที่ขึ้นมาเอาของให้มาวินไม่ใช่เอด้าแน่ๆ เพราะเอด้าผมยาว แล้วจะเป็นใครอื่นได้อีกถ้าไม่ใช่... เด็กพาร์ทไทม์ เด็กผู้ชายเหรอ เขาคิด
“ไม่เอาอ่ะ ฉันมีผู้ช่วยแล้ว แต่ทำไมแกต้องเอาเด็กๆ มาทำพาร์ทไทม์ด้วยวะ แทนที่จะรับสมัครคนเรียนจบเลย”
“เป็นเด็กที่รู้จักกันมาก่อน คนนี้เก่งสู้ชีวิต น่าเอ็นดู ฉันสงสารก็เลยให้ทำงานนอกเวลาเรียน ให้มีรายได้พิเศษหลังเลิกเรียน เรียนจบแล้วค่อยบรรจุนี่ก็ทำได้ 3 เดือนแล้ว ขวัญใจสาวๆ ในบริษัทเชียวนะคนนี้”
“หึๆ เพื่อนฉันใจบุญนะเนี่ย อนุโมทนาด้วยครับ”
“กวนตีนนะครับ อะไรช่วยกันได้ก็ช่วยๆ กัน พ่อแกสอนนี่”
“ก็ใช่ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วไปเจอเด็กนั่นได้ยังไง”
“อย่างที่รู้บริษัทเรามอบทุนให้เด็กในมหาลัยทุกปี มอบเงินอุดหนุนให้มหาลัย ช่วงนั้นก็จัดระดมทุนหาเงินทำบุญน่ะ เลยได้เจอเด็กคนนี้ช่วยงานมหาลัยน่ะ แต่เอ๊ะ ทำไมแกสนใจเป็นพิเศษขนาดยังไม่เคยเห็นหน้า”
“ก็เพราะฉันสงสัยไงว่า เด็กเท่านี้มีอะไรดี ถึงทำให้แกกล้าเอามาทำงานด้วย”
“เอาน่า ถือว่าช่วยหยิบจับ ถือของ ให้เขามีรายได้วันละสี่ห้าร้อยก็ว่าไป สนใจไหม เผื่อจะเอาไปช่วยงานว่างจากเวลาเรียนแล้วฉันจะได้ให้เข้าไปช่วยแกด้วย”
“ไม่อ่ะ กลัวทำงานไม่ถูกใจ ไม่ชอบทำงานกับเด็กๆ”
“ก็บอกแล้วว่าเก่ง คล่องแคล่วว่องไวตามประสาเด็กรุ่นใหม่”
“ฉันรู้น่า รีบกินเถอะ ฉันจะเข้าบริษัทเลย”
“ครับเจ้านาย” ว่าแล้วทั้งคู่จึงได้รีบดื่มกาแฟให้หมด แล้วเรียกบอร์ดี้การ์ดขึ้นมาช่วยเก็บของ ก่อนจะลงไปเช็คเอาท์แล้วจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมด
โดยศิลาเป็นคนดูแลในฐานะเจ้าของงานเมื่อคืนนี้ แต่ใครจะอยู่พักต่อก็ไม่ได้ว่ากัน
ส่วนเขาต้องเข้าบริษัทเพื่อให้พนักงานเห็นหน้าเป็นวันแรก หลังจากที่ตำแหน่งว่างเป็นเดือนรอให้เขากลับมารับ ส่วนเจ้าของตำแหน่งคนก่อน ก็หนีไปเที่ยวต่างประเทศตามประสาคนแก่แล้ว ไม่สนใจลูกแล้วล่ะ