ตอนที่ 3 คนมันซวย

1166 คำ
ตอนที่ 3 คนมันซวย อีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์เดือนแรกของปีก็จะหมดไป วันนี้เพลินตามีนัดเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ สมัยเรียนมัธยมปลาย เจ้าภาพก็คืออดีตหัวหน้าห้อง หนุ่มสุดฮ็อตลูกเจ้าของโรงน้ำแข็ง สถานที่จัดเลี้ยงเป็นห้องอาหารส่วนตัวในโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเหมียวเหมียวและเธอมากนัก ดังนั้นภาพที่เห็นตอนนี้จึงเป็นหญิงสาวสองคนเดินสะพายกระเป๋าใบเล็ก หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยเคียงข้างกัน เพลินตาอยู่ในชุดกระโปรงชีฟองสีดำดัดสลับกับลายดอกไม้สีชมพู เนื่องจากเธอสูงเกือบร้อยเจ็ดสิบ ไม่ต้องใส่ส้นสูงพอเดินคู่กับเหมียวเหมียว ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน คนทั่วไปพบเห็นก็คงนึกว่าเป็นพี่สาวน้องสาวต่างวัย เพราะเหมียวเป็นผู้หญิงตัวเล็ก เธอสูงแค่ร้อยสี่สิบห้า รูปร่างน่ารักน่าฟัด เพลินตาเคยนิยามอีกฝ่ายว่าเป็นลูกแมวที่ตัวเองเลี้ยงไว้เอาบุญ “…” ก็ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว นิสัยชอบเปย์ผู้ชายของเหมียวเพลินตารู้ดีกว่าใคร และพอเงินหมดก็เป็นเพลินตานี่ละที่ต้องคอยสนับสนุนค่าอาหารกลางวันให้เธอเอาตัวรอดในแต่ละเดือน ทั้งสองเดินเท้าราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานที่นัดหมาย โรงแรมเป็นตึกสูงหลายชั้น ห้องส่วนตัวที่โอ หรือโอภาส อดีตหัวหน้าห้องจองไว้อยู่ชั้นสาม เพียงแต่เพลินตากับเหมียวยังไม่ทันเดินเข้าประตูโรงแรม เธอก็ได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนเก่าหลายคน เนื่องจากเพื่อนๆ ของเธอต้องการรวมกลุ่มก่อนเข้าไปด้านใน ดังนั้นพอทักทายกันเสร็จเพลินตากับเหมียวก็หลบมุมไปยืนอยู่ข้างเสาต้นหนึ่งไม่ไกลจากจุดรับรถลูกค้าของโรงแรม อาจจะเพราะอยู่บริเวณที่เห็นรถเข้ารถออกได้ชัด แม้ไม่สนใจแต่เพลินตาและเพื่อนคนอื่นๆ ก็ยังมองเห็นรถบีเอ็มซีรีส์เจ็ดคันหนึ่งขับเข้ามา ก่อนจะมีพนักงานรับรถรับช่วงต่อ โดยที่เจ้าของลงจากรถพร้อมกับเปิดประตูนำหญิงสามคนหนึ่งออกมา “โอ!” เสียงทักทายดังขึ้น ไม่ไกลจากเพลินตาเพื่อนร่วมชั้นชายคนหนึ่งของเธอเอ่ยเรียก โอภาสพอได้ยินก็รีบโบกมือให้ พร้อมกับจูงแขนหญิงสาวข้างกายเดินมาทางทุกคน เสียงพูดคุยถามไถ่พอเป็นพิธี เพลินตาและเหมียวก็ยิ้มแย้มทักทายชายหนุ่มนิดหน่อย ก่อนทั้งหมดจะชักชวนกันเดินเข้าโรงแรมหรูไปยังห้องอาหารส่วนตัว ไม่นาน บรรยากาศการสังสรรค์เป็นไปอย่างสนุกสนาน อาหารที่โอภาสสั่งแต่ละจานก็มีราคาแพงไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกุ้งล็อปสเตอร์ หรือเนื้อเอโฟนำเข้าจากญี่ปุ่น ชายหนุ่มล้วนสั่งมาเลี้ยงเพื่อนเก่าอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว เพียงแต่... ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยพลางดื่มกิน เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลเพลินตาก็ดังขึ้น ได้ยินเธอเอ่ยถามว่า “เพลิน แกหางานใหม่ได้ยัง?” คนถามชื่อเนตร ถึงไม่สนิทกันมาก แต่ก็นับว่าคุ้นเคยกันไม่น้อย จังหวะนั้นเองที่ผู้คนส่วนใหญ่หันมาทางเพลินตา จากนั้นค่อยมีคนสอบถามต่อ ทุกคนที่ยังไม่รู้มาก่อนว่าเธอตกงานค่อยได้รู้กันตอนนี้เอง โดยเฉพาะโอภาส เขาพอรู้ว่าเธอตกงานมาสามเดือนก็ขยับเปลี่ยนที่นั่งกับเพื่อนอีกคนเพื่อให้เข้าใกล้เธอมากขึ้น ก่อนจะซักถามเรื่องส่วนตัวเธอ เพราะในที่นี้ไม่มีใครมีพาวเว่อร์มากกว่าเขา ทุกคนพอเห็นชายหนุ่มเข้ามาให้คำแนะนำเพลินตาเกี่ยวกับตำแหน่งงานตามบริษัทชั้นนำ คนอื่นๆ ที่คิดจะเข้ามาพูดคุยกับเธอจึงถอยห่าง หันไปคุยกับเพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวแทน จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เพลินตาเริ่มปวดเบาจึงชักชวนเหมียวเหมียวเดินไปเข้าห้องน้ำ ภายในห้องน้ำหญิง “สมน้ำหน้าชะมัด ถ้าตอนนั้นอีเพลินมันเลือกเอาไอ้โอแต่แรก คงไม่ต้องมาเป็นแค่เซลล์ขายรถเหมือนทุกวันนี้” “เห็นสีหน้านางมะ ตอนอีฟ้าควงไอ้โอลงจากซีรี่เจ็ด กูเห็นแล้วขำวะ” ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่ห้องในสุด เพลินตาคิดไม่ถึงมาก่อนว่าเพียงแค่มาเข้าห้องน้ำนานหน่อย เธอจะบังเอิญได้ยินบุคคลอื่นนินทาตัวเอง ความจริงเธอฉี่เสร็จแล้ว แต่ไม่รู้เป็นความซวยอะไรประจำเดือนเธอดันมาพอดิบพอดี ดังนั้นเพลินตาจึงบอกให้เหมียวเหมียวกลับไปที่งานเลี้ยงก่อน ส่วนตัวเองก็กลับเข้าห้องน้ำห้องเดิมเพื่อสวมใส่ผ้าอนามัย แม้ไม่เห็นหน้า แต่เธอก็จดจำเสียงของหญิงสองคนที่นินทาตนขณะเติมเครื่องสำอางอยู่ที่หน้ากระจกได้ แต่ว่าเพลินตาไม่เพียงไม่โกรธหรือโมโห เธอกลับนั่งลงบนฝาชักโครก ตั้งอกตั้งใจฟังว่าอีกฝ่ายจะนินทาอะไรตนอีกบ้าง นั่งฟังไปได้สักพัก เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า “ฉันแสดงสีหน้าเสียดายตอนไหนวะ?” เธอจำได้ว่าตอนโอภาสขับบีเอ็มเข้ามา เธอเผลอมองแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือรถของหัวหน้าห้องตน หญิงสาวคิดในใจ “ฉันเห็นรถสวยๆ แล้วหันมองนิดหน่อยมันผิดตรงไหน” จากนั้นพยายามเค้นความทรงจำคิด ว่าตอนหัวหน้าห้องจูงมือยัยฟ้าที่เป็นแฟนสาวลงจากรถ เธอเผลอทำหน้าเสียดายบ้างมั้ย ปรากฏว่า... “ก็ไม่นะ” เพลินตาถอนหายใจ เหนื่อยหน่ายกับคนที่อยู่ด้านนอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งรอเป็นเวลาสักพักกว่าเสียงพูดคุยทั้งคู่จะเงียบลง ความจริงเพื่อนสิบกว่าคนที่ดื่มกินกันอยู่ในห้องส่วนตัวล้วนรู้เรื่องราวในอดีตกันหมด จริงอยู่โอภาสเคยตามจีบเธอ แต่มันก็เป็นเพียงระยะเวลาไม่กี่ปี แถมเธอเองก็บอกกับเขาชัดตั้งแต่ถูกสารภาพรักครั้งแรก ดังนั้นนอกจากความเป็นเพื่อน เธอมั่นใจว่าตัวเองไม่รู้สึกเกินเลยกับเขาแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรือปัจจุบัน รอจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแล้ว เพลินตาค่อยหิ้วกระเป๋าใบเล็กของตนเดินออกมา เพียงแต่... คนเราพอซวยครั้งที่หนึ่ง ความซวยครั้งที่สองก็มักจะตามมาติดๆ กัน ระหว่างที่เพลินตาก้าวขาเลี้ยวออกจากมุมประตูทางเข้าห้องน้ำหญิง เธอพลันชนเข้ากับหญิงสาวอีกคน “โอ๊ย! ขอโทษค่ะ” เพลินตากล่าวโดยที่ยังไม่ทันมองว่าคนที่ตัวเองชนคือใคร “อีโง่เอ๊ย ระวังหน่อย กระเป๋าฉันใบนี้ชื้อชีวิตแกได้เลยนะ” เธอจำเสียงได้ เพลินตาพอสาดสายตาขึ้นค่อยรู้ว่าคนที่ตนชนเข้าเต็มๆ คือใคร ก่อนจะถอนหายใจพร้อมกับกล่าวขอโทษอีกครั้ง ***
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม