ตอนที่ 2
สาวใช้ส่วนตัว
ช่วงเย็นวันเดียวกัน
“ได้ส่งเธอถึงบ้านมั้ย?”
คุณหญิงดรุณกล่าวถามลูกน้องคนสนิท ขณะที่ในมือยังถือแฟ้มเอกสารอันหนึ่งเปิดอ่าน พอได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับบอกว่าส่งถึงตามที่ตนกำชับ เธอก็มีสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้ชายหนุ่มไปสืบภูมิหลังทั้งหมดของเพลินตามาให้กับตนภายในสามวัน
ในห้องยามนี้จึงเหลือเพียงแค่เธอคนเดียว
ในมือหญิงกลางคนก็คือรูปถ่ายและข้อมูลส่วนตัวของหญิงสาวทั้งเก้าคนเมื่อเช้า เพียงแต่หน้าที่ถูกเปิดไว้กลับเป็นประวัติของเพลินตา ตั้งแต่ตอนบ่ายเธอก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่งดูรูปเด็กสาวคนนี้ นั่นเพราะเธอถูกใจอีกฝ่ายมาก เนื่องจากเพลินตาเป็นเพียงคนเดียวที่กินข้าวและปฏิเสธไม่รับงานจากเธอ
กินข้าว? ปฏิเสธงาน?
ใช่แล้ว เพลินตาปฏิเสธงาน
นอกจากเพลินตา คุณหญิงดรุณพอบอกรายละเอียดงานแม่บ้านส่วนตัวของลูกชายเธอให้หญิงสาวคนอื่นทราบ ทุกคนล้วนยอมรับอย่างยินดี แต่สิ่งที่ทำให้เธอถูกใจเพลินตาที่สุดกับอยู่ตรงที่อีกฝ่ายกล้ากินข้าวกล่องแสนธรรมดาต่อหน้าเธอ
ความจริงนี่เป็นเธอเองที่ตั้งใจนำมาทดสอบหญิงสาวทุกคน คนอื่นๆ ล้วนปฏิเสธอย่างมีมารยาท ทีแรกเธอเรียกพบได้แปดคนก็คิดว่าคงสิ้นหวังแล้ว แต่ใครจะคาดคิด คนสุดท้ายที่เข้ามากลับไม่ทำให้เธอผิดหวัง
อีกฟากหนึ่ง
ทางด้านเพลินตา
“บ้าเหรอ! ต่อให้ค่าจ้างแพงกว่านี้ ฉันก็ไม่ทำ!”
ที่อพาร์ตเมนต์ ในห้องของเพลินตาและเหมียวเหมียว หลังจากกลับมาถึง เธอก็เล่าการสัมภาษณ์งานวันนี้ให้เพื่อนสนิทฟัง เหมียวเหมียวพอรู้เรื่องก็ของขึ้น ควันออกหู ทีแรกได้ยินว่าเดือนละสองล้านห้า เธอที่ถังแตกตกงานอยู่ก็คิดว่ารอดตายแล้ว นัยน์ตาคู่น้อยๆ ปรากฏเป็นแบงก์พันกองโต
ร่ำรวย ร่ำรวย ในสมองอันน้อยนิดของเหมียวเหมียวคิดขึ้น เสี้ยวพริบตาเธอวางแผนที่จะเกาะยัยเพลินไว้ให้แน่น งานการไม่ต้องทำแล้ว รอปรนนิบัติประจบสอพลอเกาะอีกฝ่ายกิน!
แต่ความฝันต้องพังทลาย อึดใจต่อมายัยเพลินกลับบอกว่าปฏิเสธไปแล้ว
ดังนั้นสภาพในห้องยามนี้จึงเกิดการโต้เถียง ได้ยินเหมียวเหมียวกระแทกเสียงว่า
“แม่งเอ๊ย! นอนถ่างขาให้เขาเสียบสักสองสามครั้งก็สบายไปทั้งชาติ ของมันไม่หักคา แกจะกลัวอะไร!”
“…”
เพลินตาโกรธจนหูแดง เธอด่ายัยเหมียวกลับว่า
“เสียบหน้าแกสิ แน่จริงแกไปให้เขาเสียบสิ! เอามั้ย? เดี๋ยวฉันโทรหาคุณหญิงดรุณบอกว่าแกอยากทำ!”
ตอนที่จบสัมภาษณ์ ก่อนออกจากห้องเธอถูกคุณหญิงดรุณมอบกระดาษโน๊ตให้ใบหนึ่ง แถมอีกฝ่ายยังบอกว่าถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็ให้โทรมาเบอร์นี้ หารู้ไม่ เพลินตาที่กำลังโต้เถียงประชดประชันกับสหายไม่รู้ตัวสักนิด ว่าแท้จริงแล้วไอ้เบอร์ที่เธอบอกว่าจะโทรนะ ทั่วประเทศบุคคลระดับเศรษฐีหรือนักการเมืองนักธุรกิจใหญ่ล้วนแล้วแต่ต้องการ
นี่เป็นเบอร์ส่วนตัว นอกจากคนในครอบครัวไม่กี่สิบคน คุณหญิงดรุณไม่เคยให้ใครรู้มาก่อน นั่นเพราะตระกูลวัชโรกุลของเธอมีฐานะทางสังคมสูงมาก ผู้คนที่ต้องการโอกาสเติบโตจึงอยากเข้าหาสนิทสนมชิดเชื้อ
นี่เป็นนามสกุลที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ต้นรัชกาลแรก บรรพบุรุษเองก็มีหลายรุ่นรับตำแหน่งในวัง ถึงแม้ปัจจุบันญาติพี่น้องจะไม่มีสายไหนที่ทำงานอยู่ในวังแล้ว แต่ก็มีไม่น้อยที่เล่นการเมืองและรับราชการมีตำแหน่งระดับสูงทั้งตำรวจและทหาร
อย่าว่าแต่ฐานะทางสังคม กระทั่งความรวย นับเฉพาะคุณหญิงดรุณและสามี
อันดับในประเทศก็ไม่น่าจะต่ำกว่าสามสิบลงมา
เพียงแต่เพลินตาไม่รู้ เธอก็แค่พอจะคุ้นกับนามสกุลนี้อยู่บ้าง
แต่ไม่นานได้ยินเหมียวเหมียวพูดว่า
“ไอ้โง่เอ๊ย! เขาอยากให้ลูกชายเสียบแกไม่ได้จะเสียบฉัน! ไม่งั้นเขาคงให้ฉันผ่านเข้ารอบไปกับแกแล้ว!”
ภายในห้องยังคงเกิดการโต้เถียง เพลินตาตีฝีปากกับเหมียวเหมียวอีกหลายคำ ปรากฏว่ายิ่งทะเลาะกันคำพูดแต่ละคำเริ่มจะไม่มีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเธอรู้ตัวว่าเถียงสู้ไม่ไหวแล้ว จึงกระชากแขนอีกฝ่ายกดลงกับเตียงนอนขนาดหกฟุต ใช้หมอนอุดปากเหมียวเหมียวเสียเลย
“…”
สามวันต่อมา
จริงดังคาด คำสั่งของคุณหญิงดรุณราวกับประกาศิต เช้าวันนี้บนโต๊ะอาหารในคฤหาสน์ตระกูลวัชโรกุล ขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังรับประทานกันพร้อมหน้า ขาดก็แต่ลูกชายคนโต แฟ้มประวัติส่วนตัวตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งอายุยี่สิบสี่ของเพลินตาก็ถูกจัดวางไว้ข้างมือ เมื่อเธอรู้สึกอิ่มหนำ จึงเอื้อมหยิบขึ้นมาดู
“คุณดูอะไร?”
ที่ฝั่งตรงข้าม อิทธิพลชายกลางคนวัยย่างห้าสิบผู้เป็นสามีเอ่ยถาม เขาเห็นภรรยาพลิกกระดาษในแฟ้มสีดำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาสักพักก็เกิดความสงสัย
“ดูยัยหนูคนหนึ่งนะ หน้าตาน่ารักแถมนิสัยดี”
อิทธิพลเลิกคิ้ว แววงุนงงเกิดขึ้นในดวงตา
หน้าตาน่ารักแถมนิสัยดี?
ผู้เป็นสามีคิด รอบตัวพวกเขามียัยหนูคนไหนบ้างที่หน้าตาไม่น่ารักและนิสัยดี เป็นธรรมดาที่ศักดิ์ฐานะของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่ารุ่นก่อนหรือผู้เยาว์รุ่นหลัง จะหญิงหรือชายหากเข้าหาพวกเขาล้วนแต่ทำตัวนิสัยดีกันทั้งนั้น
ไม่นานได้ยินคุณหญิงดรุณเอ่ย
“คุณจำได้มั้ย หลายปีก่อนตอนถามเรื่องแต่งงานกับเจ้าเอก มันบอกพวกเราว่ายังไง?”
ชายกลางคนคิดครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนจะจำไม่ได้ จึงส่ายหน้าก่อนซักถาม
ภรรยาฝั่งตรงข้ามค่อยทวนความจำให้ว่า ตอนอายุยี่สิบต้นๆ เจ้าเอกของพวกตนเคยสัญญาไว้ หากอายุสามสิบยังไม่แต่งงาน เขาจะให้เธอหาสาวใช้ส่วนตัวมาไว้ที่คอนโด
เนื่องจากเอก หรือเอกภพมีอาชีพเป็นศัลยแพทย์ เขาจึงย้ายออกไปอาศัยอยู่ที่คอนโดหรูกลางกรุงใกล้โรงพยาบาลที่รับผิดชอบ นานครั้งถึงจะกลับมาที่คฤหาสน์หลังนี้
เมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงานลูกชาย อิทธิพลแทบตบต้นขาฉาด เขาเองก็เกือบลืมไปแล้ว ยิ่งช่วงหลังทะเลาะกับลูกจนไม่ค่อยกินเส้นแทบตัดหางปล่อยวัด เขาจึงจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้
จากนั้นได้ยินคุณหญิงดรุณหัวเราะคิก ก่อนกระซิบกระซาบบางอย่าง พร้อมกับยื่นแฟ้มประวัติภูมิหลังของเพลินตาให้อีกฝ่ายดู
บนโต๊ะอาหาร
ความจริงไม่ได้มีเพียงสองสามีภรรยานั่งอยู่ น้องสาวน้องชายของเอกภพก็นั่งอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีลูกเขยและลูกสะใภ้สองคน ทั้งหมดต่างก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวทำเหมือนไม่สนใจ แต่จริงๆ แล้วกำลังแอบฟังบทสนทนาเพื่อเก็บข้อมูลไปบอกพี่ชาย
***