CHAPTER 9
“ไปสุดตีนมากนะมึงอ่ะ”
“กูไปได้มากกว่านี้อีก” ยิ่งรักยิ่งอยากเข้าไปแต่ผมมันก็แค่ไอ้ป๊อดคนหนึ่งที่กล้ากับคนอื่นแต่ไม่กล้ากับเธอคนเดียวไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม “ไปแบบสุดตีนสุดเหี้ยไม่ว่ากับใครหน้าไหนทั้งนั้น กูไม่สนใจถ้ามันเข้ามาแตะหวานก็ถูกกูเตะแน่”
“แล้วเรื่องอื่นของมึงอ่ะเอาไง”
เรื่องอื่น นั่นสิ... เอาไง
การที่ผมถอนหายใจออกมาแล้วทำสีหน้าทุกข์กว่าทำให้เพื่อนทั้งสองไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเลยมีเพียงความเงียบงันละทิ้งเอาไว้แทน อีก 3 เดือนพวกเราทั้งหมดก็ต้องแยกย้ายกันไปตามสิ่งที่ตัวเองเลือกไม่เว้นแม้แต่ผมและก็หวาน
เมื่อวันนั้นมาถึงผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเช่นกัน
“ยังมีเวลาหน่าอย่าพึ่งทำหน้าเครียดเลย”
“อืมกูจะพยายาม” ผมตอบไอ้ดิน พวกมันรู้ดี พวกมันห่วง พวกมันพยายามไม่ให้ผมเครียด พวกมันทำทุกอย่างเพื่อผมสบายใจผมรู้ดี ยิ่งใกล้เข้ามาทุกอย่างก็เริ่มเครียดขึ้นเรื่องๆ ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีสื่อทำให้ย่นระยะความคิดถึงแต่มันก็ไม่เท่าการอยู่ใกล้กัน “ตอนนั้นถ้ากูยังป๊อดอยู่ก็ช่วยเก็บศพด้วยแล้วกัน”
“งั้นมึงก็อย่าป๊อด เลิกซะ”
“ถ้ามันง่ายก็ดีดิ กูยังไม่เลิกมาเกือบ 3 ปีแล้วนะไอ้หิน”
“ปีนี้มึงควรเลิกไง ควรเลิกคิดเล็กคิดน้อยสักทีอย่างน้อยถ้ามึงบอกไปมันยังพอมีหวังนะ 50 – 50 ครึ่งต่อครึ่งอ่ะ ดีกว่านี้ไหมวะ ดีกว่ามึงต้องมานั่งมองนั่งเพ้อแบบนี้ ลงมือบอกดีกว่าไม่ได้บอกนะเว้ย คิดดีๆ”
“อืม”
ผมจะคิดทบทวน ผมจะทำเมื่อถึงเวลานั้น
“ยังไงพวกกูก็อยู่กับมึงไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น มึงคือเพื่อนจะเป็นยังไงก็เพื่อน เจ็บก็มีพวกกูแดกเหล้าเป็นเพื่อน ร้องไห้ก็มีพวกกูปลอบ เสียใจก็มีพวกกูทำให้หาย ทุกอย่างไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนมึง”
“ไอ้ดินพูดถูกนะไอ้บอล จัดการซะนะ”
“ขอบใจเว้ย”
“มีไรก็ไลน์มา พวกกูไปก่อนคืนนี้โต้รุ่งเล่นเกมส์”
“เออ ขับรถดีๆ ใส่หมวกด้วย”
แค่นั้นทั้งไอ้หินและไอ้ดินก็ไปเหลือผมคนเดียวที่นั่งรอหวาน ห้องน้ำค่อนข้างอยู่ไกลแต่ไม่ได้อันตรายอะไรฉะนั้นพอทำให้ผมห่วงน้อยลง การนั่งท้าวคางรอพร้อมสอดส่องสายตาไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่งก็มีถุงขนมยี่ห้อหนึ่งยื่นเข้ามาให้สายตาผมโฟกัสไปที่มันแต่เพราะกลิ่นน้ำหอมฉุนขึ้นตีจมูกทำเอาต้องขมวดคิ้วหันมองไปยังตัวต้นเหตุพบกันรุ่นน้องมอ 4 คนหนึ่ง เธอยิ้มหวานเมื่อผมหันไปมองนิ่ง ความเงียบงันฉายซ้ำผมไม่เอ่ยถามหรือพูดอะไรใบหน้าเธอจึงหงอยลงชัดเจน
“เอาขนมมาให้ค่ะพี่บอล”
“ขอบคุณนะแต่พี่ไม่ชอบของหวาน น้องเอาให้เพื่อนด้านหลังได้มั้ย” เป็นแบบนี้เสมอผมไม่เคยรับของจากใครทั้งนั้น ตลอดที่มีมาทุกครั้งถ้าคนให้ตั้งใจฝากเพื่อนท้ายสุดไอ้พวกเพื่อนเวรก็จัดการหมดสักเสี้ยวมือผมก็ไม่เคยแตะของพวกนั้นเลย เรื่องพวกนี้ขยายในวงกว้างแต่ไม่เข้าใจเช่นกันว่าวันนี้คนที่มายืนต่อหน้าผมเธอคิดแบบไหน “นั่นไงมาแล้ว เขตต์เอาขนมที่พี่เขาไปแบ่งกันกินได้เลยพี่ให้”
“ครับพี่บอล”
เมื่อขนมถุงนั้นถูกยื่นไปด้วยความจำใจสายตาเศร้าก็หันมามองผมอีกรอบหนึ่งราวกับกำลังตัดเพ้อในการกระทำของผมซึ่งไม่ทำให้สะเทือนอะไรเลย
มันเป็นปกติด้วยซ้ำเป็นแบบที่ควรจะเป็น
ต้องเข้าใจด้วยว่าครั้งหนึ่งที่ตัดสินใจเข้าไปเพื่อจะจีบหรือสารภาพรักใครก็ตามคำหนึ่งที่คุณต้องมีอยู่ในใจแล้วคือ ‘การยอมรับ’ มุมมองการยอมรับในคำตอบของอีกฝ่ายหนึ่งที่มีให้กับคุณแล้วคุณก็ต้องทำความเข้าใจมันด้วย อย่าคิดเข้าข้างตัวเองเด็ดขาดว่าเมื่อเข้าไปแล้วยังไงซะมันจะมีคำตอบดีๆ ตอบกลับมาเสมอไม่อย่างงั้นบนโลกใบนี้ก็คงไม่มีคำว่า ‘อกหัก’ หรอก
เพราะแบบนี้ไงผมถึงยังไม่กล้า
เพราะแบบนี้ผมถึงได้อยู่ในสถานะแอบรัก
เพราะว่าผมทนกับไอ้คำว่า ‘ยอมรับ’ ในมุมนั้นไม่ได้ไง
“ขอบคุณสำหรับขนมด้วยนะ”
“หนูขอไลน์พี่ได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้ครับ”
ตอบอย่างไม่คิดเลยก็ว่าได้ ไม่รู้เหมือนกันแต่พอได้ยินผ่านหูมาว่าไลน์ผมเป็นที่ต้องการมากมายมีคนยอมเข้ามาถามเพื่อเอาไปแจกต่อหรือขายในราคาสูงเลยนะทว่าก็แค่นั้น ไม่มีใครได้ไปจริงๆ หรอก เอาจริงไม่ถึงสิบด้วยซ้ำที่มีไลน์ผมขนาดกลุ่มห้องยังไม่เข้าเลย ทุกครั้งมีการสั่งงานไอ้หินจะทำหน้าที่บอกส่วนใหญ่การปิดตัวของผมไม่ใช่ว่ารังเกลียดอะไรใครคนอื่นเพียงแค่ว่าไม่อยากให้วุ่นวาย
“ถามเหตุผลได้หรือเปล่าพี่บอล”
“ได้ครับ พี่มีคนที่ชอบแล้ว”
“อ่อ... ค่ะ”
แต่ว่าน้องคนนี้ใจเด็ดใช้ได้เลยนะแกร่งดี เธอยอมรับกับคำตอบที่ผมให้อย่างน่าชื่นชมคงทำใจก่อนเข้ามาหาแล้ว เก่งครับ เก่งมาก เก่งกว่าผมหลายเท่าเลยยอมรับว่ารูปร่าง เพศไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกความกล้าเว้นที่จิตใจของคนเราเท่านั้นที่มันเป็นตัวกำหนดอะไรหลายๆ อย่าง
“อย่าเศร้านานนะครับ มองคนรอบตัวไว้บ้าง”
“ค่ะ พี่บอล”
ผมยิ้มให้รุ่นน้องแล้วเธอก็จากไปผ่านไปสองนาทีคนหวานๆ ก็เข้าโดยส่งรอยยิ้มแฉ่งมาให้ ความซุ่มซ่ามไม่มีใครเกินแอบเห็นนะเธอสะดุดตรงบันใดขั้นสองหน้าเกือบทิ่มดีหน่อยที่ประครองตัวได้
“ไปกันยังบอล”
“ไปไหนมา นานเชียว”
“อย่าคิ้วขมวดดิ แก่เร็วนะ” โอเคเปลี่ยนเรื่อง “แฮ่! ไปแอบกินติมมาด้วย อย่าพึ่งโกรธซื้อมาเผื่อ”
แล้วไอศกรีมโคนรสนมก็ยื่นมาให้ผมเป็นประจำของคนที่แอบไปทำผิดมาส่วนมากพอเดาว่าจะถูกจับได้เลยซื้ออีกอันมาเป็นตัวประกันเพื่อหวังผลไม่ให้โดนด่าไปมากกว่านี้
“นึกว่ามาสารภาพเสียอีก”
“ทำไมรู้อ่ะ”
“กินเหมือนเด็ก เลอะไปหมด”
“เห้ย...” คนตัวเตี้ยกว่าผมรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนลายการ์ตูนน่ารักในกระเป๋ากางเกงชุดพละมาเช็ดริมฝีปากต่อหน้าผมโดยไม่นึกอาย แบบนี้แหละคือเสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้เสน่ห์ของคนหวานๆ เขา “หมดมั้ย มีคราบเลอะอีกเปล่า”
“...”
ไม่ตอบหรอกอยากกินเลอะดีนัก
ให้ไม่สวยไม่น่ารักบ้าง
“บอลโว้ย” แต่แล้วก็มีเสียงซ้ำของหวานเข้ามาใหม่เพราะผมไม่ตอบเสียงนั้นจึงดังมาอีก “บอลๆ”
“ไม่มีแล้ว ปะกลับบ้านเดินตามแล้วเอากระเป๋ามา”
“หูยยยย... คนแบดๆ พาซ้อนหอมขาวด้วยวันนี้” ตลกได้ทุกสถานการณ์ผู้หญิงคนนี้แต่ก็ยอมถอดกระเป๋าจากด้านหลังสีชมพูอ่อนมาให้ผมอยู่ดีคงเป็นความเคยชินไปแล้วเพราะทุกครั้งก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอในตอนกลับบ้านพร้อมกัน การรับกระเป๋าสีหวานมาสะพายด้านหลังทับชุดเทควันโดที่ไม่ได้เปลี่ยนลงไปไม่รู้ว่ามันเข้ากันหรือเปล่าแต่ผมก็อยากสะพายมันเหมือนทุกวันเช่นเดิมอย่างไม่สนสายตาใคร แค่วันนี้ตอนนี้เห็นเธอยิ้มได้ก็พอโอเคขึ้นมาหน่อย แบบนี้แสดงว่าพอทำใจได้เรื่องคะแนนอยู่บ้างมันก็ดีมากเป็นที่สุด “เป็นคนแบบนี้สิถึงคนชอบเยอะ คนร้ายๆ”
สายตาแบบนี้หมายความว่าไงวะ หรี่ยิ่งกว่าเมียจับผิดผัวอีก
แต่ก็ช่างเหอะมันน่ารักให้อภัยได้
“เห็นอะไร?”
อย่าบอกนะว่าเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้
“เห็นคนเสน่ห์แรงและก็เห็นคนที่เอาแต่ปฏิเสธคนอื่น ลุคแรงร้ายๆ”
“ไม่ได้ร้ายแต่ก็ไม่ได้เป็นคนดี”
ผมพูดและเดินนำหน้าหวานไปเรื่อยๆ จุดหมายคือโรงรถ เกือบหกโมงเย็นมีคนเดินสวนทางไปมาบ้างเนื่องจากเข้ามาใช้สนามออกกำลังกาย มีนักเรียนปะปรายบ้างเป็นบางกลุ่มนั่งจับกลุ่มคุยกันหลังเลิกเรียน
การที่ผมเดินนำหน้าหวานใช่ว่าจะเกิดช่องว่างความเหินห่างนะยังใกล้ชิดเช่นเดิมเนื่องจากสายตาผมยังมองไปยังถนนมีแสงสะท้อนกับเงาเล็กๆ ที่เดินตามตัวเองต้อยๆ มาเรื่อยๆ เงาของคนหวานๆ
นับตั้งแต่ที่ผมลงรูป
นับตั้งแต่ลงแคปชั่นแบบนั้น
นับตั้งแต่ตัดสินใจทำอะไรแบบนั้นไป
นับตั้งแต่วันนั้นก็มีหลายข้อความส่งมาหาผมแทบคลั่งแตกในทางเฟซ เนื่องจากทุกอย่างดูผิดคาดหมดไม่เข้าใจเช่นกันว่าทุกคนที่ส่งมาถามความสัมพันธ์จะว่างขนาดนั้นพอไม่ตอบก็ส่งมาซ้ำๆ กับข้อความเดิมๆ ทวงราวกับว่าผมไปทำอะไรผิดพลาด ราวกับว่าผมเข้าไปยืมเงินคนพวกนั้นแล้วไม่คืน
ไม่ใช่เรื่องมั้ยที่ต้องตอบ? ไม่ใช่ด้วยซ้ำไป
“ยังไงอ่ะ ยังดีกับฉันเลย”
“ดีอยู่คนเดียวหรือเปล่า”
อันนี้ผมตั้งใจหยุดเดินก่อนเอ่ยพูดจริง ใครเข้ามาไม่มีทางได้รับอะไรแบบนี้แน่ๆ แบบที่ทำอยู่กับหวานคนเดียว คนพวกนั้นไม่ว่าจะตั้งใจเข้ามาแบบตรงๆ หรือว่าอ้อมก็ไม่เคยสัมผัสอะไรเลยคว้าน้ำเหลวเปล่าๆ ว่าแล้วก็เดินมานั่น รุ่นน้องมอ 5 ห้องเดียวกับไอ้บีมดีหน่อยที่เดินมาพร้อมไอ้บีม
“เฮียกลับค่ำฟ้องนิชา” นี่คงเป็นศัพท์ของคู่พี่น้องที่ไม่ว่าใครพี่น้องบ้านไหนก็ใช้บ่อยที่สุดนั่นคือการเอาแม่มาอ้างเสมอและมันก็ทำให้รู้สึกหวั่นเล็กน้อยถึงความจริงจะรู้ว่ามันไม่บอกแม่จริงก็เหอะ “เจอแน่”
“แหกตามึงดูว่ากูอยู่ในชุดอะไร ต้องซ้อมโว้ยไม่ได้ว่างเหมือนมึง”
“ยาวเชียวนะไม่บอกก็ได้ครับ” ไอ้บีมตอบแล้วเลื่อนสายตาไปหาหวานแทน ไอ้นี่วอนโดนตีเสียแล้ว “พี่หวานวันอาทิตย์มางานวันเกิดบีมด้วยนะครับ”
“หา ได้สิพี่ไป เอาขนมเยอะๆ นะ”