เกือบ 35 นาทีที่เทวินทร์พาฉันนั่งติดรถขับลัดเลาะไปตามเส้นทางมืด ๆ ก่อนเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ เราทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันเลยตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ฉันโกรธเขาและดูเหมือนเขาเองก็อยากให้ฉันเงียบเหมือนกัน ระหว่างเรามีแค่เสียงเครื่องยนต์แรง ๆเท่านั้น
บนถนนหลวงตอนนี้ดูเป็นปกติดีรวมถึงการขับรถของเขาที่เหมือนผู้เหมือนคนขึ้น เขาไม่ได้ขับรถด้วยความเร็วเหมือนรีบไปตายอย่างตอนแรกแต่เหมือนขับเรื่อย ๆ กินลมมากกว่า และใช่! เขาไม่คิดจะแวะข้างทางเพื่อส่งฉันลงตามอย่างที่บอกไว้จริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะขับไปไหน ในเมื่อฉันไม่ได้บอกทางกลับบ้าน แต่ไม่ว่ารถคันนี้จะไปหยุดที่ไหนก็ตาม ฉันจะรีบอาศัยจังหวะนั้นลงจากรถแล้ววิ่งไปโบกรถแท็กซี่กลับบ้านพักทันที!
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดเทวินทร์ก็พาฉันขับเลี้ยวออกมาเกือบแถวชานเมือง เขาไม่ได้ตั้งใจจะพาฉันไปส่งที่บ้านอย่างที่พูดไว้ หรืออาจเพราะฉันไม่บอกทางเขาก็เลยเลือกขับมาที่แห่งนี้แทน
สถานที่ตรงหน้าดูคล้ายกับเขตก่อสร้าง หากแต่อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยวัยรุ่นและรถหรูราคาแพงหลายสิบคันจอดเรียงรายกันอยู่ อารมณ์คล้ายกับตลาดกลางคืนหรือไม่ก็พวกผับกลางแจ้ง มีทั้งของขาย เสียงเพลงและผู้คน ทั้งที่เป็นบริเวณที่ออกห่างจากในเมืองมามากแท้ ๆ
“นายพาฉันมาที่นี่ทำไม?” สุดท้ายคนที่มีนิสัยปากไวและอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมดอย่างฉัน ก็ต้องเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน หลังจากทนเงียบมาได้เกือบชั่วโมง
“ทำธุระ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพาไปส่งบ้านน่า” เขาบอกฉันแค่นั้นและเลี้ยวรถเข้าไปยังสถานที่ตรงหน้า คำถามคือใครเขากังวลเรื่องให้ไปส่งบ้านกัน!
พอรถเลี้ยวเข้ามาได้ไม่เท่าไร สิ่งที่ตามมาคือเสียงโห่ร้องต้อนรับของเหล่าวัยรุ่นที่หันมาเจอเข้ากับรถที่ฉันนั่งโดยสารมาพอดิบพอดี พวกเขาทำท่าคล้ายกับกำลังดีใจ บ้างโบกผ้าเช็ดหน้าสีแดงในมือไปมา บ้างก็กรูเข้ามาทุบที่กระจกรถด้วยท่าทางดีใจ บ้างก็ตะโกนเรียกด้วยชื่อที่ฉันไม่คุ้น
“TW! มาแล้ว!! เขากลับมาแล้ว!!” TW งั้นเหรอ มาจากคำว่าเทวินทร์หรือไงนะ...
ไอ้หยา! ถ้าอย่างงั้นผู้ชายคนนี้ก็คงจะดังในกลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ไม่น้อยเลยอย่างงั้นน่ะสิ
“เธอนั่งรออยู่ในรถ เดี๋ยวฉันลงไปคุยธุระแป๊บ เดี๋ยวมา” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ เทวินทร์เอ่ยขึ้นพร้อมรีบเปิดประตูรถออกอย่างรีบร้อน แต่ก่อนจะลงเขาก็ยังมีหน้าหันมากำชับเสมือนเป็นเจ้าชีวิต “รออยู่ในรถ ห้ามไปไหน ไม่งั้นฉันแจ้งตำรวจ”
“แจ้งตำรวจข้อหาอะไรไม่ทราบ!?”
ตึงง!!
ผู้ชายน่าหมั่นไส้และยียวนกวนประสาทตลอดเวลาตอบกลับเสียงตะคอกถามของฉันด้วยการปิดประตูใส่แบบไม่สนใจ เขาเดินล้วงมือใส่กระเป๋ากางเกง หันมองซ้ายมองขวาผ่านผู้คน ก่อนที่กลุ่มวัยรุ่นที่พากันส่งเสียงเชียร์ตอนที่เขาขับรถเข้ามาจะพากันวิ่งเข้าใส่ประหนึ่งว่าเจอดารา
พอเห็นสภาพเขาเป็นแบบนั้นเลยไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไรนัก ว่าทำไมหมอนั่นถึงมั่นหน้ามั่นโหนกตัวเองได้ปานนั้น ที่แท้เพราะมีกลุ่มคนพวกนี้คอยชูหางและชื่นชมอยู่นี่เอง
ฉันนั่งจ้องโฟกัสไปที่เทวินทร์ผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความหมั่นไส้แบบไม่วางตา ที่มองไม่ใช่เพราะพิศวาส แต่มองเพื่อรอโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะพาตัวเองลงจากรถแล้วหนีไปโบกแท็กซี่กลับบ้านพักต่างหาก
กว่าเขาจะพาตัวเองเดินหายปะปนเข้าไปกับกลุ่มวัยรุ่นคนอื่น ๆ ก็เกือบ 5 นาทีตามความรู้สึก เมื่อโอกาสมาถึงฉันจึงไม่รอช้ารีบเปิดประตูกระโจนลงจากรถทันที
เมื่อเท้าสองข้างเหยียบลงกับพื้นโลกขาก็เริ่มสั่นพั่บ ๆ เหมือนอย่างกับเจ้าเข้า รู้สึกได้ถึงวินาทีแรกที่พ่อกับแม่สอนให้เดินได้ชัดเจนมาก แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็พยายามประคองขาที่สั่นของตัวเองเดินแทรกผู้คนเพื่อมุ่งสู่ทางออก
ไอ้ตอนนั่งอยู่ในรถน่ะ ฉันก็คิดว่าการเดินออกจากสถานที่แห่งนี้มันคงไม่ยากเท่าไร แต่พอเดินด้วยเท้าแล้ว สถานที่แห่งนี้มันดูจะกว้างเอาเสียมาก ๆ ไม่ว่าจะกวาดตามองไปทางไหนก็ดูจะคล้ายกันไปหมด ไม่เจอกลุ่มวัยรุ่น ร้านค้า ก็รถแพง ๆ เท่านั้น
หากคิดว่าฉันจะยอมแพ้บอกเลยว่าไม่มีทาง ยังคงบังคับเท้าสองข้างให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีจุดหมายแม้ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ไหน ทว่า ตอนนั้นเอง หูฉันก็ดันได้ยินเสียงกรี๊ดของกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงซึ่งดังแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดอยู่ภายในบริเวณที่กำหนด
ไม่รู้ว่ามันคือพรหมลิขิตหรือความอยากรู้มากไป ร่างกายจึงหันขวับไปยังต้นเสียงทันทีโดยอัตโนมัติ และการที่ทำเช่นนั้นมันก็เลยพานให้เท้าสองข้างของฉันหยุดชะงักงันได้อย่างเฉียบพลัน เมื่อพบต้นตอของเสียงกรี๊ดที่ว่า
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยเสื้อหนังสีดำกับกางเกงยีนส์ขาเดฟขาดดูเซอร์แสนคุ้นตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เขาบังเอิญหันหน้ามาตรงจุดที่ฉันอยู่พอดิบพอดี โลกทั้งใบก็คล้ายกับจะหยุดหมุน สมองเหมือนเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ ลืมไปเลยว่าเคยอยากกลับบ้าน...
วะ วอร์อปป้า...
เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ได้โชคดีบ่อย ๆ หากมีโอกาสได้ใช้ความโชคดี ฉันก็อยากจะใช้มันให้เต็มที่ เพราะแบบนั้นเท้าที่ตอนแรกพยายามมุ่งตรงเพื่อหาทางออกกลับลำโดยฉับพลัน หัวใจที่ได้พักการรัวจังหวะถี่ ๆ เริ่มกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง เมื่อจิตใต้สำนึกสั่งให้ตัดสินใจก้าวเท้าพุ่งไปยังคนละทิศละทางกับจุดหมายแรกที่จะไป
ทั้งที่มันเป็นครั้งที่สองของคืนนี้แล้วแท้ ๆ ที่จะได้มีโอกาสเจอวอร์อปป้าใกล้ ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร ความชอบและความรักที่มีให้มันก็ไม่อาจทำให้ฉันสามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกให้กลับมาเป็นปกติได้เลย
“พรุ่งนี้หนูจะไปงานแฟนไซน์นะคะอปป้า~” เสียงของเด็กวัยรุ่นกลุ่มเล็กซึ่งดูแต่งตัวแตกต่างจากวัยรุ่นคนอื่น ยิ่งพาให้ใจฉันสั่นผิดจังหวะ โดยเฉพาะเมื่อเสียงเข้มของชายตัวสูงดูมีออร่าดังตอบโต้พวกเธอกลับมา
“ครับ งั้นพรุ่งนี้เราเจอกันที่งานนะ”
กึก...
ฉันเหมือนคนหายใจติดขัด เมื่อเท้าก้าวมาหยุดอยู่เบื้องหลังกลุ่มเด็กวัยรุ่นซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชอบเดียวกัน สายตามองจ้องไปยังผู้ชายตรงหน้า รู้ไหม ฉันมีคำพูดมากมายอยากจะบอกเขา อยากลองทักเขาบ้างเหมือนแฟนคลับคนอื่น ๆ แต่เพียงแค่ได้เข้าใกล้แค่สองเอื้อมแขน คำพูดที่มีมันก็คล้ายกับจะหายไปหมด
จนกระทั่ง...
“อ้าว เธอ...” คนที่ฉันอยากคุยด้วยมากที่สุดเป็นฝ่ายเอ่ยทักออกมาเอง “ใช่คนที่เอาน้ำมาให้พี่หรือเปล่าคะ?”
“คะ คะ ค่ะ!” บ้าจริง! แค่คำสั้น ๆ คำเดียวยังพูดยากลำบากขนาดนี้
“ขอโทษนะ พี่ไม่ได้กินเลยสักอึก พอดีมันหกหมดเลย” ทั้งที่เรื่องแบบนั้นไม่จำเป็นต้องบอกกันด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังพูดราวกับแคร์ความรู้สึกของคนให้ “ไม่โกรธกันนะ”
ความน่ารักและดูใจดีของวอร์อปป้าไม่ได้มีเพียงแค่ในจอโทรทัศน์ จอยูทูบ บนปกอัลบัม หรือบนภาพโปสเตอร์เท่านั้น ไม่ว่าในที่ที่มองเห็นไกล ๆ จะเป็นอย่างไร พอได้อยู่ใกล้เขาก็เป็นแบบนั้น
“ใช่หรือเปล่าอะแก...”
“ไม่รู้สิ แกลองถามดู...” เสียงซุบซิบของกลุ่มวัยรุ่นซึ่งดูท่าทางจะอายุพอ ๆ กัน ซึ่งยืนพูดคุยกับวอร์อปป้าก่อนหน้า ทำฉันเหลือบมองด้วยความสงสัย และต้องพบเข้ากับรอยยิ้มจากตัวแทนของเด็กกลุ่มนั้นพร้อมคำทักทาย
“ขอโทษนะคะ...พี่ใช่ขุ่นแม่กาละแมร์หรือเปล่าคะ?”
“คะ...ค่ะใช่” สิ้นเสียงตอบดูเหมือนว่าพวกเธอทั้งหมดดูจะชอบใจถึงได้หวีดเสียงแสดงท่าทางดีอกดีใจออกมาแบบนั้น
“หนูชอบมากเลยค่ะ หนูตามทุกข้อความที่พี่คอยแปลข่าวตลอดเลย”
“ระ เหรอคะ...ขอบคุณนะคะ” ปกติเคยแต่ตามกรี๊ดคนอื่น แต่พอมีคนแสดงท่าทางดีอกดีใจใส่แบบนี้มันก็เขิน ๆ อยู่เหมือนกันนะ
“อะไรกัน ๆ ไหงความสนใจของพวกเราถึงกลายมาเป็นผู้หญิงคนนี้ได้ล่ะ?” เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้งเมื่อวอร์อปป้าซึ่งเคยตกเป็นจุดสนใจกลายเป็นคนที่ถูกติ่งด้วยกันเมินไปชั่วขณะ แต่การทักท้วงของเขาก็ทำฉันแทบลมจับในวินาทีนั้นเหมือนกัน เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากถามคำถามของตัวเอง
“ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นใครเหรอครับ?” ซึ่งถ้าเขาแค่ถามเฉย ๆ ฉันก็คงไม่รู้สึกอะไร หากแต่ไม่ใช่ในตอนนี้
ตอนที่วอร์อปป้ากำลังวางมือของตัวเองลงบนไหล่ฉัน!!
“ขุ่นแม่กาละแมร์ค่ะอปป้า”
“หืม...ขุ่นแม่เหรอครับ?”
“ค่ะ พี่กาละแมร์เป็นเหมือนกูรูของวง SWAG เลยนะคะอปป้า พี่เขาคอยตามข่าวและแปลให้แฟนคลับคนอื่น ๆ ได้รู้แบบวิต่อวิเลยค่ะ พวกหนูแล้วก็แฟนคลับส่วนใหญ่ตามข่าวของอปป้าจากพี่เขานี่แหละ”
หูฉันได้ยินสิ่งที่น้องแฟนคลับตรงหน้าให้คำตอบวอร์อปป้า แต่ใจมันดันไม่ได้โฟกัสเรื่องนั้นเลยสักนิด ถ้ามืออปป้ายังวางอยู่บนไหล่ในระยะใกล้ขนาดนี้ ฉันไม่สามารถสนใจอย่างอื่นได้จริง ๆ โดยเฉพาะในตอนที่กลั้นใจเหลือบมองหน้าเจ้าของฝ่ามือดังกล่าวแล้วพบว่าเขากำลังมองฉันกลับมาในระยะที่ใกล้พอกัน
“น้องกาละแมร์...เนี่ยน่ารักจัง” แถมยังชมพานให้หัวใจรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก “ขอบคุณนะคะที่คอยติดตามผลงานวงพวกพี่ตลอดเลย”
ขอยาดมหน่อยค่ะ!!!
“ไหน ๆ ก็ได้เจอวอร์อปป้ากับพี่กาละแมร์แล้ว ถ้ายังไงพวกหนูขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ?” เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน ฉันจึงอาศัยจังหวะในตอนที่น้อง ๆ แฟนคลับพูดกับศิลปินที่ตัวเองรัก พยายามกระเถิบตัวออกห่างจากอปป้านิดหน่อย แต่ว่า...
“พี่กาละแมร์ไม่ถ่ายรูปคู่กับวอร์อปป้าเหรอคะ?” คำถามที่ชวนให้ความรู้สึกปั่นป่วนก็ดังขึ้นมาอีก “เมนพี่คือวอร์อปป้านี่คะ?”
“จริงเหรอ?” คำถามต่อมาไม่ใช่เสียงของน้องแฟนคลับหรอก หากแต่เป็นเสียงของวอร์อปป้าซึ่งฟังดูคล้ายกับแปลกใจและดีใจไปในคราวเดียวกัน
“คะ...ค่ะ” จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย ได้แต่ตอบและแสดงทีท่าประหม่าสุดใส่ศิลปินที่ชอบไม่หยุด แต่ไม่ใช่กับมือที่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือให้น้อง ๆ ตรงหน้าหรอกนะ
ก็แหม! โอกาสไงโอกาส ถ้าพลาดไปแล้วชาตินี้จะมีโอกาสได้ใกล้ขนาดนี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้!