บทที่ 7

1404 คำ
“วอร์อปป้าวง SWAG” พอให้คำตอบ คนถามก็เงียบไป ซึ่งเขาก็รักษาสัญญายอมใช้มือจับพวงมาลัยไว้ดังเก่า จากความเงียบครู่สั้น ๆ เริ่มยิงยาวกินเวลาไปเกือบ 1 นาทีตามความรู้สึก แต่แล้วเขาก็โพล่งเสียงออกมาเหมือนนึกอะไรออก “นี่มันติ่งเกาหลีนี่หว่า!” “แล้วมันผิดหรือไง!?” ฉันย้อนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ถึงจะชินกับการถูกทอร์ชเรียกว่าติ่ง แต่การถูกคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่ออย่างเขาเรียกด้วยวลีนี้ มันก็ทำให้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ “ติ่งทำไมคนเกาหลี มาติ่งฉันดีกว่า หล่อกว่าเยอะ” มองบนแรง! “แล้วเธอชื่อไรอะ?” พอเริ่มคุยด้วย ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าเขาค่อนข้างจะพูดมาก มากเกินไป! “ไม่จำเป็นต้องบอกไหมล่ะ?” “เทวินทร์” “อะไร?” “ชื่อฉัน จะเรียกวินทร์ก็ได้ พ่อไม่ว่า” =_= อะไรของมันวะ!? “สรุปเธอชื่ออะไร?” อีกครั้งที่เขาถาม “ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ป่ะ!?” ให้ตายสิ! ถ้าคนที่เร่งเร้าถามชื่อเป็นวอร์อปป้าละก็ ฉันคงไม่รู้สึกรำคาญมากขนาดนี้ “เอ้า หยิ่งอีก คิดว่าสวยมากไง?” ฉันเมินหน้าหนีเขาอย่างนึกรำคาญ เลือกที่จะเงียบเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำ ทว่าตอนนั้นเอง... ตึงง! จู่ ๆ เขากลับเหยียบเบรกกะทันหัน ทำเอาฉันที่ไม่ทันตั้งหลักหัวกระแทกเข้ากับคอนโซลหน้ารถอย่างแรง จนอดไม่ไหว จำต้องหันไปต่อว่าเขาอีกครั้งอย่างสุดจะทน “ทำบ้าอะไรของนาย!? คิดจะเบรกก็เบรก บ้าหรือไง...” ทว่า คำต่อว่ากลับถูกกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอ เมื่อวินาทีที่หันกลับไป ฉันต้องตกใจเมื่อพบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาแกมยียวนกวนประสาทของคนบนเบาะคนขับซึ่งเวลานี้กำลังใช้แขนเท้ากับพวงมาลัย เอียงตัวหันมามองฉันแบบตรง ๆ “อะ...อะไร!?” ฉันถามเขาอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้สึกทำตัวไม่ถูกยามถูกนัยน์ตาเรียวรีคู่นั้นจ้องมอง “แถวนี้มืดดีนะว่าไหม?” หากแต่นั่นดันทำให้เขายกยิ้มร้ายกาจพร้อมทั้งขยับเอนตัวเข้ามาหา พานให้ต้องกระเถิบตัวหนี เพราะสิ่งที่ถามไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย เมื่ออีกฝ่ายยังเอาแต่จ้องหน้าฉันราวกับจะกลืนกิน โดยเฉพาะคำพูดต่อมา “บรรยากาศน่าเสียตัว...” “…” น่ะ น่าเสียตัวงั้นเหรอ!? “ส่วนมากผู้หญิงมักถูกปล้ำในที่มืด” “จะ จะทำอะไร!?” ฉันตะคอกถามเทวินทร์(เรียกตาม) ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะกำลังไม่ปลอดภัย ซ้ำร้ายคนตรงหน้าก็ยังจัดการปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อให้ตัวเองเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นอีก ใครจะรู้ว่าหลังจากผ่านการซิ่งท้าความตายบนถนนหลวงจบไปแล้ว ฉันจะต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้! “อย่าเข้ามาใกล้นะ!” ฉันเบี่ยงหน้าหลบการถูกจู่โจมเมื่อรู้ว่าคำถามและเสียงปรามดูจะใช้กับเขาไม่ได้ผล เมื่อคนตัวใหญ่เขยิบตัวโน้มหน้าจากฝั่งเบาะคนขับเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น จนนาทีนี้ไม่มีที่เหลือให้ฉันแทรกหนีหลบการจู่โจมเขาได้อีกต่อไป กึก! เทวินทร์ทาบแขนลงกับกระจกประตูรถ ใช้สายตาแบบเดิมกวาดสำรวจไปทั่วใบหน้าคล้ายกับกำลังพินิจพิจารณาอะไรสักอย่าง จากนั้นก็พูดขึ้น “เธอยังไม่ได้ปล้ำฉันถูกไหม?” “อึก...” พอถูกเขาถามในระยะประชิดขนาดนี้ ที่ทำได้คือการพยักหน้าหงึกหงักและการกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ “ดี...” เขาพูดเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำท่าจะถอยออกไป ซ้ำร้ายยังพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดฝัน “งั้นเรามาหาอะไรทำกันต่อจากที่ลานจอดรถกันปะติ่ง?” ว่าแล้วเขาก็โน้มหน้าเข้ามาหาเป็นหนที่สอง พานให้ต้องเบือนหน้าหลบอย่างนึกหวาด ถึงตอนแรกมีความคิดที่จะปล้ำอปป้าก็จริง แต่พอเป็นฝ่ายถูกกระทำหรือถูกจู่โจมแบบนี้แล้ว มันก็ชักเริ่มจะกลัวขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน “เริ่มจากจูบก่อนดีไหม? แล้วค่อยลามไปทำอย่างอื่น...” “เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือก เมื่อความมือไวใจเร็วของอีกฝ่ายแตะลงบริเวณต้นขาอย่างถือวิสาสะ จำต้องเหลือบหางตามองเขาอีกครั้ง และพบว่าระยะใบหน้าของเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ “หลับตาสิ...” แถมยังมีคำพูดกดดันตามมาไม่หยุด พลอยให้ต้องเม้มปากแน่นเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังถูกปฏิเสธ แต่นั่นไม่ได้ช่วยอะไร ในเมื่อเขายังเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น มากเสียจนรับรู้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดลงมา “อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ!” เมื่อทำอะไรไม่ได้สุดท้ายก็เลยต้องหวีดเสียง แต่เขาก็ยังขัด “แค่จูบเอง...” สุดท้ายฉันก็ทนต่อไปไม่ไหว จำต้องระเบิดความโลกสวยสะพรั่งดังในหนังสือการ์ตูนออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำพลางเอียงหน้าหลบการกระทำอีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง “ไม่ได้! จูบมันต้องทำกับแฟนหรือคนที่ชอบไม่ใช่หรือไง!” สิ้นเสียงตะคอกปรามดังกล่าวแทนที่มันจะได้ผล แต่เปล่าเลย นั่นยิ่งทำให้เขาจู่โจมเข้าใส่เร็วขึ้น จนระดับของริมฝีปากและลมหายใจของเขาเป่าแผ่ว ๆ อยู่บริเวณกกหูพร้อมด้วยเสียงกระซิบ “งั้นบอกชื่อมา แล้วจะหยุด...” “เฮือก!” ไม่ใช่แค่กระซิบแต่เขายังจงใจเป่าลมใส่หูให้ฉันสะดุ้ง การกระทำของเขาทั้งหมดปั่นป่วนความคิดและสติของฉันที่มีให้แตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง นอกจากนั้นเขายังเอ่ยย้ำในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ไม่หยุด “เธอ ชื่ออะไร?” “…แมร์” สุดท้ายคนที่หมดทางหนีและไม่มีทางเลือกอย่างฉัน ก็จำต้องบอกชื่อตัวเองออกไป ด้วยเสียงที่ค่อยเพราะยังทำตัวไม่ถูก “ไม่ได้ยิน ขอดัง ๆ” “ชื่อกาละแมร์!!” ฉันกลั้นใจโพล่งออกไปอย่างสุดเสียง และเชื่อไหมทันทีที่สิ้นคำ ผู้ชายที่ใช้ร่างกายกดดันและปั่นป่วนความคิดฉันก็หยุดชะงักไป เทวินทร์ยอมผละตัวถอยไปเล็กน้อยพลอยให้ต้องเหลือบมองทีท่าอีกฝ่ายจากทางหางตา และพบว่าเขากำลังยกยิ้มคล้ายกับพึงพอใจ “ก็แค่เนี้ย เล่นตัวอยู่ได้” อีกทั้งยังต่อว่าขณะขยับกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เขาเคลื่อนตัวออกไปแล้วแท้ ๆ แต่หัวใจฉันยังเต้นแรงไม่หาย... “บ้านอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวขับไปส่ง” เทวินทร์พูดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาเริ่มประคองรถทั้งคันที่จอดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งให้เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง “มะ...ไม่ต้อง เดี๋ยวออกถนนใหญ่ นายจอดให้ฉันลงกลางทางก็ได้ เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่กลับเอง” ฉันพยายามรัวคำพูดปฏิเสธเขาด้วยเสียงที่ยังสั่นไม่หาย แต่ว่า “โอเค...” เขาดันพูดตอบโต้กลับมาเหมือนไม่ได้ฟัง “บอกทางด้วยละว่าบ้านอยู่หลังไหน” “ก็บอกว่าไม่ต้องงะ...” เอี๊ยดด! ตึงง!! “โธ่ อย่าเสียงดังสิ ตกใจหมด!” เขาแสร้งทำเสียงตกใจเมื่อเห็นฉันหน้าคะมำกระแทกใส่คอนโซลหน้ารถ แถมยังรีบยกมือทาบอกเพื่อให้ดูสมจริงเสมือนว่าการเบรกกะทันหันเมื่อครู่เป็นอุบัติเหตุ ฉันกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บใจพลางใช้มือถูหน้าผากตัวเองไปด้วยขณะขยับขึ้นมานั่งบนเบาะให้เรียบร้อย เมื่อเขาเห็นว่าฉันนั่งประจำที่ได้สำเร็จ เทวินทร์ก็เริ่มขับรถไปบนเส้นทางมืดอีกครั้ง “เดี๋ยวถ้าออกถนนใหญ่ นายก็จะ...” และพอฉันเริ่มจะอ้าปากพูดเรื่องให้เขาส่งลงข้างทาง เอี๊ยด! ตึงง!! เขาก็ทำมันอีก โดยใช้ข้อแก้ตัวเดิม “โธ่! บอกว่าอย่าเสียงดังไง คนมันตกใจง่าย!!” พระเจ้าคะ ถ้าเมื่อไหร่หนูมีโอกาสได้เจอท่าน หนูจะกรี๊ดอัดหูให้สมกับที่ท่านบันดาลให้หนูมาเจอกับไอ้ผู้ชายคนนี้ สาบานด้วยเกียรติของเนตรนารีเก่าเลยเอ้า!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม