บทที่ 6 หวง
“เอยตามผมมาเหรอ” เขาไม่ตอบคำถามแต่กลับถามร่างบางกลับ เธอจึงพยักหน้ารับ
“ใช่ค่ะ เอิงเห็นเกียร์เดินมาทางนี้ ก็เลยเดินตามมา”
“พอดีเรามาเดินเล่นแล้วบังเอิญเจอกันน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบเดินเลี่ยงออกมาเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่เกียร์นานๆ รู้สึกอึดอัดแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก
ปึก!
“อ๊ะ!”
“โทษที” ฉันเงยหน้าขึ้นมามองคู่กรณีที่เพิ่งเดินเข้ามาชนไหล่ฉันด้วยสีหน้าหงุดหงิดในขณะที่กำลังเดินกลับเข้ามาโรงแรม เจ้าของร่างสูงที่เป็นฝ่ายเดินมาชนก้มมองลงมาที่ฉันอย่างไม่ใส่ แต่แล้วใบหน้าหล่อเหลากลับต้องชะงักเมื่อสายตาเคลื่อนมาสบกับฉัน
“ไม่เป็นไร” เพราะขี้เกียจมีปัญหาฉันจึงบอกปัดไปก่อนจะตั้งท่าจ้ำหนี แต่ทว่าผู้ชายคนนั้นดันเรียกไว้อีกรอบ
“เดี๋ยว”
ถึงจะหันไปมองแต่ฉันก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ทำเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถามที่เขาเรียกเพียงเท่านั้น
“เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ย?”
“ไม่นี่” ฉันปฏิเสธโดยไม่ลังเลสักนิด ฉันไม่ใช่คนขี้ลืมนะ ถ้าเคยเจอกันก็ต้องจำได้สิ อีกอย่างหน้าตาเขาก็ออกจะโดดเด่นขนาดนี้
“งั้นเหรอ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะ”
“เมื่อกี้ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย”
“ไม่” ร่างสูงทำหน้าแปลกๆ แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจเลือกที่จะก้าวขาเดินออกมาทันที คืนนี้อยากดื่มจัง สงสัยต้องชวนพี่ฌินณ์ไปนั่งที่บาร์สักหน่อยแล้ว...
22.40 PM
“แกน่าจะมานะ ฉันอยู่คนเดียวเบื่อชะมัด”
[ได้ข่าวว่าพวกพี่ชายแกไปกันยกกลุ่มเลยนี่ ไม่น่าจะเหงามั้ง] ยัยซีอิ๊วพูดเย้าฉันทีเล่นทีจริงทำนองอยากจะแซว แต่ฉันกลับไม่มีอารมณ์ขันร่วมกับเพื่อนสักเท่าไหร่
“ก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่”
[เกี่ยวสิ พวกพี่เขางานดีกันสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอยะ!!]
“แล้วยังไง”
[ไม่รู้สึกถูกใจใครบ้างเลยเหรอ ฟีลแบบเห็นหน้าแล้วใจเต้นไรงี้อ่ะ!]
ใจเต้นงั้นเหรอ…
“…”
[อ่าว แกเงียบทำไมเนี่ย]
“เปล่า”
[อย่ามีพิรุธได้ป่ะยัยชิงชิง]
“แค่นี้ก่อน พี่ฉันมาแล้ว”
[โอเค เจอกันที่มอนะเพื่อน]
“จ้ะ”
ฉันวางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนโต๊ะกระจกแบบใสหลังจากที่เพิ่งวางสายเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ซีอิ๊วพูดเมื่อกี้มันดันไปจี้จุดบางอย่างเข้าเต็มๆ
แล้วพี่ชายฉันก็ดันหายไปไหนไม่รู้ แค่บอกว่าจะออกไปทำธุระข้างนอกสักพักจากนั้นก็เงียบหายไปซะเฉยๆ ทิ้งให้ฉันรออยู่ที่โรงแรมคนเดียว แต่ช่างเถอะ ในเมื่อคนเผด็จการไม่อยู่งั้นคืนนี้ฉันก็จะได้เมาให้เต็มที่ไปเลย!!
คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหาชุดที่เตรียมมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ก่อนจะหยิบเดรสสีดำขึ้นมาเปลี่ยน ฉันใช้เวลาแต่งหน้าทำผมเพียงไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะออกไปนั้งชิลล์แล้วล่ะ!
BAR
เสียงเพลงที่เปิดคลอเพียงเบาๆ ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทอย่างผ่อนคลาย บาร์ที่นี่จัดว่าเป็นบาร์ที่ไม่วุ่นวาย แล้วก็บรรยากาศดีมากเลยทีเดียว การตกแต่งภายในก็ดูดีมีระดับ ให้ความรู้สึกของแขกที่มาเที่ยวเหมือนนั่งกินในห้องไพรเวต ซึ่งฉันชอบนะ
“คุณผู้หญิงรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ?”
“วิสกี้” ฉันตอบบาร์เทนเดอร์และนั่งรอเครื่องดื่มอยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ รอเพียงไม่นานแก้ววิสกี้ก็ถูกนำมาวางเสิร์ฟที่ตรงหน้า
เรียวนิ้วยกแก้วขึ้นมาจิบเพียงเล็กน้อยและดื่มด่ำกับบรรยากาศในบาร์ต่อ สายตาทอดมองไปยังแก้วในมืออย่างใช้ความคิด ฉันไม่ควรตามพี่ฌินณ์มาด้วยเลย รู้สึกคิดผิดยังไงไม่รู้
“นั่งด้วยคนได้มั้ยครับ?” ฉันละสายตาจากแก้ววิสกี้มองไปยังชายหนุ่มแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาทักฉันทั้งที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน
“คะ?”
“ผมขอนั่งด้วยคนได้มั้ย คุณมาดื่มคนเดียวเหรอ”
“เปล่าค่ะ มารอเพื่อน” ที่ต้องโกหกเพราะถ้าฉันตอบว่ามาคนเดียวหมอนี่คงไม่เลิกวอแวแน่ เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้นเขาก็นิ่งไปเพียงชั่วครู่
“งั้นให้ผมนั่งรอเพื่อนคุณเป็นเพื่อนดีมั้ย รอคนเดียวคงเซ็งแย่”
“ไม่ดีกว่า ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“แต่ผม…”
“รอนานรึเปล่า” เสียงใครบางคนดังแทรกบทสนทนาระหว่างฉันกับชายแปลกหน้าขึ้นมา จนฉันต้องเบนหน้าไปมองแล้วก็พบว่าผู้ชายที่เดินมานั่งข้างฉันอีกฝั่งเขาเป็นคนเดียวกับคนที่เดินชนฉันเมื่อเย็นนี้
เขามาได้ไง!?
“คุณ!”
“ขอโทษที่ให้รอนานนะ แล้วนั่นใครเหรอ” นัยน์ตาเข้มว่าพร้อมกับมองตรงไปยังหนุ่มคนนั้นจนเขาถอดสีหน้าจากนั้นก็เดินหนีออกไป
“ทำอะไรน่ะ” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ ถ้าเดาไม่ผิดเมื่อกี้เขาจงใจเข้ามาช่วยฉันสินะ แต่ที่ฉันไม่เก็ทก็คือเราไม่รู้จักกันแล้วเขาจะมาช่วยฉันเพื่ออะไร?
“ก็เห็นๆ อยู่ว่ามาช่วย”
“ยังไงก็ขอบคุณนะ”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นเลี้ยงฉันสักแก้วดีกว่ามั้ย”
“คุณก็ดูมีเงินนี่ จะให้ฉันเลี้ยงทำไม” ที่ฉันรู้เพราะว่าเขาเล่นใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยน่ะสิ หน้าหล่อกระตุกยิ้มเล็กน้อยและถือวิสาสะหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์
“แค่ไม่อยากได้คำขอบคุณ”
“ก็ตามใจ งั้นแก้วนี้ฉันเลี้ยงก็ได้”
“ชื่ออะไร?” อยู่ๆ เขาก็เริ่มถามชื่อฉันเป็นจังหวะเดียวกับที่บาร์เทนเดอร์ยื่นแก้วให้พอดี
“จะรู้ไปทำไม”
“มันเป็นอันดับแรกในการทำความรู้จักกันไม่ใช่เหรอ”
ฉันหันไปมองร่างสูงอีกครั้งอย่างพิจารณา ใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับพวกดารา จมูกโด่งเป็นสันบ่งบอกว่าไม่ได้ผ่านมีดหมอมาสักครั้ง คิ้วเข้มดกตามประสาผู้ชาย ปิดท้ายที่ดวงตาสีดำสนิท ดูไปดูมาผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร คงไม่เสียหายที่ฉันจะลองทำความรู้จักกับเขา ซึ่งปกติฉันไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า แต่กับนายนี่ดันไม่ใช่!
“ชิงชิง ฉันชื่อชิงชิง”
คนตรงหน้ายกยิ้มมุมปากก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงพอใจ
“ฉันชื่อไฟ”
“อ่อ โอเค”
“เธออายุเท่าไหร่?” เขายังคงถามต่อ
“สิบเก้า คุณล่ะ”
“ยี่สิบสอง”
“เป็นรุ่นพี่สินะ”
“ส่วนเธอก็เด็กปีหนึ่ง”
“หึ ใช่” ฉันเผลอหลุดขำออกมานิดหน่อยเมื่อได้คุยเรื่องที่มันเบาสมอง ทุกวันนี้เจอแต่เรื่องปวดหัวจำแทบไม่ได้แล้วว่ายิ้มครั้งล่าสุดเมื่อไหร่
“เรียนที่ไหนเหรอ?”
“กรุงเทพน่ะ”
“ฉันก็เรียนกรุงเทพ”
“จริงดิ”
“ใช่!” ว่าจบเขาก็ยกแก้วมาจ่อที่ตรงหน้าเป็นการชวนให้ฉันชนแก้ว ฉันจึงคว้าแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นมาและเตรียมที่จะชนกับเขา จนกระทั่ง…
พรึ่บ!
“ดึกแล้ว! มัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่!”
“พี่เกียร์…” ฉันอุทานชื่อคนที่เดินเข้ามากระชากแขนฉันจนเกือบจะหงายท้องตกเก้าอี้ด้วยสีหน้าที่อึ้งสุดๆ ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาซะเฉยๆ
สายตาคมดุจใบมีดจ้องฉันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนจะตวัดมองไปยังร่างสูงที่นั่งเคียงข้างฉันอย่างนิ่งๆ แต่ในความนิ่งของเขาฉันกลับสัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ขั้นรุนแรง
≪•◦ ❈ ◦•≫
เอาแล้วไง อิพรี่จะกินหัวยัยน้องของไรท์มั้ยยย><
อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ส่วนตอนที่แล้วที่มีนักอ่านบอกว่ารู้สึกแปลกกับการที่นอ.แทนตัวเองว่า“เรา” ไรท์จะไล่แก้ไขคำเรียกให้นะคะ แต่ขอแจ้งเหตุผลนิดนึงว่าที่ไรท์ให้น้องแทนตัวเองว่า เรา เป็นเพราะคาแรคเตอร์น้องเป็นสาวนิ่งๆ ค่ะ ซึ่งน้องกับพอ.ไม่ได้สนิทกัน เพราะฉะนั้นเวลาคุยกันไรท์จึงพยายามหาคำที่ค่อนข้างไม่สนิทกันมาใช้ อีกอย่างเป็นความชอบส่วนตัวของไรท์เองค้าา คำว่า เรา มันดูแปลกใหม่แล้วก็มีเสน่ห์ดีค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไรท์ก็จะเปลี่ยนคำเรียกให้ตามใจคุณนักอ่านเลยนะคะ รักๆๆๆ