ทางด้านเอสเมื่อมาถึงมหาลัยเขาก็เดินมายังตึกคณะตัวเองปากหนายิ้มดีใจทันทีเมื่อเห็นคนตัวเล็กเมื่อวานกำลังจะเดินขึ้นบันไดตึกไป เขาจึงรีบเดินตามเธอเพราะอยากเข้าไปคุยด้วย พอเดินตามจนมาถึงชั้นสองเอสก็ต้องตกใจรีบวิ่งไปรับเธอไว้ทันทีเมื่อเห็นโมนากำลังจะตกบันได ทำให้เขาได้กอดเธอไว้เต็มตัวครั้งแรก ทำเอาเอสถึงกับใจเต้นแรงเมื่อได้กลิ่นหอมจากตัวเธอ เอสถึงกับมองใบหน้าหวานนิ่งเมื่อได้เห็นหน้าโมนาชัดๆ ครั้งแรกเพราะเธอหันมามองเขา เธอช่างน่ารักมากเหลือเกิน เช่นเดียวกันกับโมนาที่สบตาเอสนิ่งเหมือนกับโดนสะกดไว้เพราะสายตาเขามันช่างมีเสน่ห์จริงๆ แต่เธอกลับไม่ได้เห็นหน้าเขาชัดๆ เพราะเอสนั้นสวมแมสไว้อยู่ โมนากลับมามีสติเมื่อได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันอยู่บันไดชั้นล่าง เธอจึงรีบยืนตั้งหลักแล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดของเขาทันที เอสจึงได้สติแล้วยืนมองเธอไม่วางตา
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ”
เอสเอ่ยถามโมนาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วย”
โมนาพูดขอบคุณเอสแล้วโค้งตัวเล็กน้อยให้เขา จากนั้นก็ตั้งท่าจะเดินขึ้นไปบันไดไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเอสเรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับน้อง”
“น้องหรอคะ คุณรู้ได้ไงว่าฉันเป็นน้องคุณ”
โมนาหันกลับไปถามเอสทันทีเมื่อได้ยินเขาเรียกเธอว่าน้อง
“ก็น้องเรียนอยู่ปีหนึ่ง แถมยังเรียนคณะบริหารด้วย”
เอสพูดขึ้นทำเอาโมนาถึงกับตกใจเพราะเธอไม่รู้จักเขา จะว่าเป็นรุ่นพี่สตาฟเธอก็ไม่คุ้นหน้าเขาเลยสักนิด
“คุณเป็นใคร รู้จักฉันหรอ หรือว่าคุณเป็นโรคจิตแอบตามฉันตลอด”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับถอยหลังชี้หน้าเขาด้วยความตกใจ
“นี่คิดไปถึงขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย”
เอสพูดแซวโมนาอย่างกวนๆ ทำเอาโมนาถึงกับกลัวหันหลังจะวิ่งขึ้นบันได เอสจึงรีบจับมือเธอไว้เพื่อจะอธิบายให้เธอฟัง
“เดี๋ยวก่อนครับ”
“กรี๊ดด ไอ้โรคจิต อย่ามาจับฉันนะ”
ปึก
โมนาพูดขึ้นด้วยความตกใจแล้วเตะไปที่กลางหว่างขาของเอสอย่างแรงจนเอสถึงกับรีบปล่อยมือแล้วงอตัวจับเป้าตัวเองทันทีเพราะโมนาเตะโดนลูกชายเขาเต็มๆ ทำเอาจุกไม่น้อย เมื่อเอสปล่อยมือแล้วโมนาก็รีบวิ่งขึ้นบันไดหนีไปทันที
“ซี๊ดด ตีนโคตรหนัก หล่อขนาดนี้เห็นเป็นโรคจิตได้ไงวะ”
เอสพูดขึ้นขณะที่รู้สึกจุกหน่วงที่ลูกชายอยู่ ได้แต่เงยหน้ามองโมนาวิ่งหนีเขาไปโดยไม่ยอมหันกลับมามองเขาเลยสักนิด เมื่อยืนงอตัวสักพักความจุกก็เริ่มทุเลาลงเอสจึงยืดตัวขึ้นเดินขึ้นไปบันไดไปชั้นสี่ที่เป็นห้องเรียนของตัวเอง แล้วไปนั่งข้างอคินที่นั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“มึงไม่สบาย”
อคินถามเอสสั้นๆ เมื่อเห็นเอสสวมแมสอยู่
“อืม เป็นหวัดนิดหน่อย”
เอสตอบอคินไปตามตรง เพราะเมื่อคืนเขาไปนั่งวาดภาพตากหมอกที่ระเบียงนานไปหน่อยเช้ามาจึงเป็นหวัดแต่ก็ไม่ได้หนักมาก
“กินยายัง”
อคินถามเอสเสียงแข็งตามประสานิสัยคนพูดน้อย แต่เอสก็รู้ว่าอคินนั้นเป็นห่วงเขาอยู่แต่แค่ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนเท่านั้น
“เป็นแค่นี้ไม่ต้องกินยาหรอกเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องห่วงครับเพื่อนแค่นี้ไม่ทำให้กูตายหรอก กูยังอยู่เป็นเพื่อนคุยกับมึงอีกนาน ฮ่าๆ”
เอสพูดขึ้นอย่างกวนๆ เพราะไม่อยากให้อคินเป็นห่วง
“ไอ้สัส”
อคินด่าเอสสั้นๆ เมื่อโดนเพื่อนพูดกวนใส่ เอสนั่งคุยกับอคินสักพักอาจารย์ก็เข้ามาทั้งสองจึงหันไปสนใจอาจารย์แทน
“สวัสดีนักศึกษาทุกคนนะคะ ก่อนที่อาจารย์จะเริ่มเข้าบทเรียน อาจารย์ขอแจ้งเรื่องการทำโปรเจ็กงานที่ปีสองต้องทำทุกปีในเทอมแรกก็คือการศึกษาการบริหารงานของบริษัทจริง โดยนักศึกษาต้องจับคู่ทำงานกับน้องรหัสตัวเองซึ่งจะมีการจับสายรหัสอาทิตย์หน้า งานนี้กำหนดส่งงานก่อนสอบไฟนอล เพราะฉะนั้นนักศึกษาได้น้องรหัสของตัวเองเมื่อไหร่ก็คุยกับน้องรหัสเรื่องโปรเจ็กงานแล้วปรึกษากันว่าจะไปศึกษางานกับบริษัทอะไรแล้วมาแจ้งชื่อบริษัทกับอาจารย์ นักศึกษาคนไหนสงสัยเรื่องอะไรถามส่วนตัวอาจารย์ได้ตลอดนะคะ เอาล่ะค่ะเรามาเริ่มเรียนกันเลยเนาะ”
นักศึกษาทุกคนต่างก็เงียบฟังอาจารย์พูดอย่างตั้งใจเพราะเป็นโปรเ**กใหญ่ของปีสอง หลังจากอาจารย์แจ้งเรื่องงานเสร็จก็สอนต่อทันที
“ทำงานกับรุ่นน้องกูจะรอดมั้ยวะเนี่ย จะได้ช่วยน้องเค้าทำหรือจะไปเป็นภาระน้องเค้าก็ไม่รู้”
เอสบ่นขึ้นเบาๆ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดงานแบบนี้ จึงกลัวไปเป็นภาระน้องรหัสมากกว่าเป็นที่พึ่งให้กับรุ่นน้อง
“กูเชื่อว่ามึงทำได้ ถ้ามึงเจอคนที่เข้ากับมึงได้นะ”
อคินพูดเชิงปลอบใจเอส แต่ประโยคหลังทำเอาเอสถึงกับมองค้อนใส่อคิน เพราะเหมือนโดนพูดใส่ยังไงยังงั้น
“สัส เกือบดีแล้วมึง”
เอสด่าอคินกลับทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอคิน ส่วนอคินก็ยักไหล่ตอบกลับเอสอย่างกวนๆ ตามประสาเพื่อนจากนั้นทั้งสองก็หันไปสนใจอาจารย์สอนต่อ ทางด้านโมนาที่วิ่งหนีเอสมาจนถึงห้องเรียนก็เล่นเอาซะหอบเหนื่อยเพราะเธอวิ่งมาเร็วแบบไม่คิดจะหยุดเพราะกลัวเอสจะตามมา
“เฮ้ออ! เหนื่อยแต่เช้าเลย มาเรียนไม่กี่วันดันโชคร้ายมาเจอโรคจิตตามติดชีวิตซะงั้น งืออ ทำไงดียัยโม เมื่อไหร่ยัยแพรจะมาเนี่ย”
โมนาพูดบ่นพึมพำอยู่คนเดียวเพราะเธอดันคิดว่าเอสเป็นโรคจิตคอยตามเธอไปแล้ว โมนานั่งสักพักแพรวาก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ
“แก เมื่อกี๊ฉันไปเจอผู้ชายโรคจิตมาอะ”
“ห๊ะ!”
แพรวาร้องตกใจเสียงดังเมื่อได้ยินคำพูดของโมนา
“ชู่วว เบาๆ หน่อยสิ คนอื่นเค้าตกใจกันหมดแล้ว”
โมนารีบพูดห้ามแพรวาให้เบาเสียงทันทีเมื่อเพื่อนเธอนั้นเผลอพูดเสียงดัง
“เรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่ามาซิ”
แพรวาเอ่ยถามโมนาเบาๆ ด้วยความอยากรู้ เมื่อได้ยินแพรวาถามโมนาก็เล่าเหตุการณ์ที่เธอเจอให้แพรวาฟังทันที ทำเอาแพรวาถึงกับคิ้วขมวดเมื่อได้ฟังโมนาเล่าแล้ว
“เดี๋ยวนะยัยโม แกเอาอะไรไปตัดสินว่าเค้าเป็นโรคจิตอะ”
แพรวาเอ่ยถามโมนาด้วยความสงสัย
“หนึ่งคือเค้ากอดฉันไว้ไม่ยอมปล่อยไง”
โมนาพูดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินแพรวาเอ่ยถาม
“ก็แกลื่นตกบันไดเค้าก็รับแกไว้ นั่นคือเค้าช่วยแกอยู่นะนั่น”
แพรวาพูดขึ้นตามความคิดของเธอ
“ก็ใช่ แต่ก็ไม่ควรกอดนานมั้ย ถ้าฉันไม่ผละตัวออกคิดว่าเค้าจะปล่อยฉันมั้ยล่ะ สองคือเค้ารู้ว่าฉันเรียนอยู่ปีอะไร เรียนคณะไหนด้วย ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยรู้จักเค้า แถมยังไม่คุ้นหน้าว่าจะเป็นรุ่นพี่ด้วย”
โมนาพูดประเด็นที่สองขึ้น
“เค้าอาจจะเป็นรุ่นพี่เราที่ไม่ได้เป็นสตาฟก็ได้นิแก”
“แล้วข้อสุดท้าย ตอนที่ฉันกำลังจะเดินหนีเค้า เค้าก็มาจับฉันไว้อะ แบบนี้เค้าเรียกโรคจิตมั้ยอยู่ๆ ก็มาจับมือกันไว้แบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้”
โมนาพูดข้อสงสัยสุดท้ายให้แพรวาฟัง
“ถ้าเป็นฉันมาโดนกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตแล้วคนที่กล่าวหามาเดินหนีแบบนี้ เป็นฉันก็ดึงไว้เพื่อจะอธิบายความจริงให้ฟังนะ ฉันว่าเค้าก็คงจะทำเหมือนฉันคิด”
“โอ๊ยย! ยัยแพร นี่แกมองโลกในแง่ดีมากไปมั้ยเนี่ย เพลียกับแกจริงๆ พอเลิกพูดเรื่องนี้ จะใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างมันเถอะ ขออย่าให้ได้เจอกันอีกก็พอ”
โมนาพูดบ่นให้แพรวาทันทีเมื่อเพื่อนตัวเองนั้นไม่เข้าข้างตัวเองสักอย่าง ทำเอาแพรวาถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นโมนาทำหน้ายู่ใส่เธอ
“โอ๋ๆ งอนหรอจ้ะคนสวย ฮ่าๆ”
แพรวาพูดแซวโมนาอย่างกวนๆ ทำเอาโมนาได้แต่หันไปมองค้อนใส่เพื่อนตัวเอง แต่ก็ต้องละความสนใจหันไปมองหน้าห้องเมื่ออาจารย์เข้ามาสอนแล้ว ทั้งสองจึงหยุดคุยกันแล้วหันมาตั้งใจฟังอาจารย์สอนแทน หลังจากเอสและอคินเรียนเสร็จในช่วงเช้าก็เดินมากินข้าวยังร้านอาหารตามสั่งหน้ามหาลัยเพราะอคินไม่ชอบคนเยอะ ส่วนเอสก็เข้าใจและรู้นิสัยอคินเป็นอย่างดีจึงไม่ขัดอะไรเพื่อน ขณะที่เอสกำลังนั่งกินข้าวอยู่เสียงโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น เอสจึงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาดูว่าใครโทรหาเขา เมื่อเห็นเบอร์ปลายสายเอสก็เปลี่ยนสีหน้ามานิ่งขรึมพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเพราะคนที่โทรมาคือพ่อของเขานั้นเอง เมื่อรู้ว่าเป็นเบอร์ใครมือหนาจึงกดรับสาย
“ครับ”
(พรุ่งนี้ไปดูงานที่ภูเก็ตกับฉันเตรียมเสื้อผ้าไปนอนค้างด้วยเพราะจะอยู่ค้างสามวัน)
“แต่ผมมีเรียน”
(แค่สามวันแกก็ลาเรียนสิ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้บอก งานนี้สำคัญแกต้องไปดูลูกชายของเพื่อนฉันว่าเค้าบริหารงานยังไงถึงได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยี่สิบสาม ดูแล้วก็เอากลับมาทำ เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย)
“ครับ”
เมื่อเอสพูดจบพ่อของเขาก็วางสายไปทันที เอสจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้งสายตาเรียบนิ่งไม่มีแววร่าเริงเหมือนตอนแรก
“ถ้าไม่ไหวก็ถอยออกมา มึงอย่าลืมว่าครอบครัวกูต้อนรับมึงเสมอ”
อคินพูดขึ้นทันทีเพราะรู้ว่าเอสกำลังรู้สึกอะไร ตั้งแต่อคินรู้จักเอสและเริ่มสนิทกันถึงได้รู้ว่าเอสนั้นถูกผู้เป็นพ่อบงการชีวิตมาตั้งแต่เด็ก อคินเคยชวนเอสให้หนีมาอยู่ที่บ้านเขาแต่เอสก็ยังยืนยันที่จะอยู่แบบนี้ เพราะยังไงท่านก็เป็นพ่อของเขา อคินจึงไม่ขัดอะไรเอส
“หึ ตอนนี้กูเลยจุดคำว่าไม่ไหวมาแล้วว่ะ ถ้าพ่อต้องการให้กูเป็นผู้บริหารต่อจากเค้ากูก็จะเป็น แต่จะทำได้ดีตามที่พ่อกูหวังมั้ยมันก็อีกเรื่อง เฮ้ออ! จะว่าไปเป็นประธานบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไรนิ สามวันนี้กูลานะไปภูเก็ตกับพ่อ”
เอสพูดขึ้นเชิงเล่นๆ เพราะไม่อยากให้อคินเครียดตาม
“ตามใจมึง มีอะไรก็บอก”
อคินพูดขึ้นเสียงเรียบแล้วหันไปสนใจจานข้าวตัวเองต่อ
“อืม ขอบใจเพื่อน”
เอสตอบอคินด้วยรอยยิ้มแล้วหันมากินข้าวต่อ เมื่อกินข้าวเสร็จทั้งสองก็ไปเรียนช่วงบ่ายหลังเรียนเสร็จเอสกับอคินก็กลับคอนโดทันทีเพราะพวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นสตาฟรับน้อง วันต่อมาเอสก็เดินทางไปภูเก็ตกับผู้เป็นพ่อเพื่อไปดูงาน เวลาอยู่กับคนอื่นเอสจะเป็นคนร่าเริงขี้เล่น แต่เวลาอยู่กับพ่อหรือมาอยู่ในแวดวงสังคมของพ่อตัวเองเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน นิ่งขรึม พูดน้อย แถมสายตายังดูเย็นชาไม่เป็นมิตรกับใครจนโดนผู้เป็นพ่อบ่นให้หลายครั้งเพราะเอสไม่คุยกับใครเลยสักคน