เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเธอเฝ้ามารดาที่โรงพยาบาลตลอดเพราะแพทย์เจ้าของไข้ยังไม่ให้กลับบ้าน จึงได้พักผ่อนเต็มที่
เมื่อคืนนั้นเธอแอบเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยได้โดยที่พยาบาลไม่ว่าเพราะต่างก็ง่วนอยู่กับการวัดไข้วัดความดันโลหิตให้ผู้ป่วยห้องอื่นๆ อยู่ โล่งอกไม่น้อยที่รอดจากไทธัญมาได้ และคิดว่าจะไม่คุยอะไรกับทางนั้นอีกแล้ว เธอกลัว
ไทธัญก็ไม่ได้ติดต่อหาเธอหลังจากเหตุการณ์คืนนั้น
บางทีเงียบหายกันไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
และตอนนี้ปราณปริยากำลังกังวลว่าตนเองคิดมากไปหรือเปล่า เมื่อเดินเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วพบว่าคนอื่นพากันมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ดู...แปลกไป
ก่อนสะบัดความคิดไม่ได้เรื่องเหล่านั้นทิ้งไป เมื่อเสียงของสุริวิภาดังแทรกเข้ามาเสียก่อน
“ไงจ๊ะ พี่ธัญไม่มาส่งหรือไงวันนี้”
“เปล่านี่ ไม่มา ทำไมหรือ”
“อ้อ...ปกติเห็นเช้าถึงเย็นถึงนี่เนอะ”
น้ำเสียงของเพื่อนที่มีเพียงคนเดียวของปราณปริยานั้นฟังดูชอบกลจนอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจอะไรเธอหรือไม่ เดี๋ยวจะลองออกปากถามดูเพราะตรงนี้นอกจากเธอกับสุริวิภา ยังมีเพื่อนผู้หญิงในคณะอีกสามคนนั่งอยู่ด้วย เพื่อนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ถามสุริวิภาขึ้น
“ที่พี่ปรายให้ช่วย แล้วก็จัดแสดงของน้องปีหนึ่งเรียบร้อยแล้วหรือภา”
“ยัง” สุริวิภาบอกออกมาคำหนึ่งแล้วว่าต่อ “ฉันจะเอาเวลาไหนไปเตรียมถามหน่อย แค่งานที่รับนี่ก็เบียดเวลาเรียนจนอาจารย์ว่าแล้วว่าอีกอยู่นั่น บ้านรวยจะเรียนไปทำงานไปแบบนี้ทำไม อาจารย์ก็ไม่เข้าใจกันบ้างเลย”
“อ้าว แล้วนี่พี่ปรายรู้ไหมว่ายังไม่ได้เตรียมน่ะ”
“โอ๊ย! งานบายเนียร์อ่ะแก ทำยังไงก็ได้ไหมวะ ไม่ต้องอลังการอะไรมาก ฉันก็เห็นพี่ๆ แกกินๆๆๆ ไม่สนใจการแสดงของน้องสักเท่าไร อย่างปีที่แล้วไงจำได้ไหม”
สาวพริตตี้ว่าอย่างไม่นึกสน
“แต่แกก็รู้พี่ปรายลงมาเตรียมงานเองแบบนี้ ทุกอย่างต้องเป๊ะนะเว้ย” เพื่อนคนเดิมเตือนเสียงเบา
“ก็อย่าไปบอกสิว่าฉันยังไม่เตรียม ไม่ใช่เด็กอนุบาลนะยะ ซ้อมชั่วโมงเดียวยังได้เลย เพลงง่ายๆ ยกแขนยกขาสะบัดไปมาสองสามนาทีก็จบละ”
“มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือไงยะยัยภา”
“ง่ายมาก บอกเลย”
สิ้นเสียงสุริวิภา พี่ที่อยู่ในหัวข้อสนทนาก็เดินมาจากไหนไม่รู้ทิศทางได้ หยุดยืนคุยที่โต๊ะของพวกเธอ
“น้องภา งานที่พี่ฝาก เตรียมเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหมคะ”
“อุ๊ย! ภาทำให้แล้วค่ะ เรียบร้อยทุกอย่างที่พี่ปรายสั่งมาเลย หมดห่วงได้เลยนะคะ”
“ดีมากจ้ะ แล้วยังไงพี่คุยกับเราอีกทีเรื่องเตรียมงาน ช่วยพี่หน่อยนะ”
สุริวิภายิ้ม ก่อนรับหน้าชื่น “ยินดีค่ะพี่ปราย”
คล้อยหลังพี่ปรายและเพื่อนๆ ไปแล้ว คนหนึ่งในกลุ่มก็ว่า
“อ้าว อะไรยัยภา ไหนว่ายังไม่ได้ทำอะไร นี่อำพวกเราหรือยะ”
“คนเราก็ต้องเฟคบ้างอะไรบ้างไหมแก เพื่อความอยู่รอดไง...ใช่ไหมนิ่ม”
สุริวิภาบอกอย่างมีนัย พร้อมจ้องหน้าเธอนิ่งนาน พอเข้าใจที่อีกฝ่ายว่ามา แต่ไม่คิดว่าสุริวิภาจะกระทบเข้าหาตัวเพราะเธอไม่ได้ทำแบบนั้นกับใครสักคนแม้แต่สุริวิภาเองก็ตาม พอดีกับที่ไทธัญเดินผ่านมา แต่แล้วกลับไม่เข้ามาทักแบบทุกที
“แปลกจัง ทำไมพี่ธัญไม่มาทักพวกเรา” สุริวิภามองชายที่เธอหมายมาดสลับกับมองปราณปริยาก่อนตั้งข้อสงสัย
ปราณปริยาทำเฉยเสีย เพราะพอรู้ว่าเหตุใดไทธัญจึงไม่เข้ามาทักแบบทุกที คุยกันไปได้อีกครู่ สุริวิภาเอ่ยชวน
“งั้นพรุ่งนี้ นัดกันทำงานให้พี่ปรายดีกว่า นิ่มไปได้ใช่ไหม พรุ่งนี้บ่ายอาจารย์งดนี่นา”
“ดีเลย งั้นเราหาที่เตรียมงานกัน”
สุริวิภาสรุปยิ้มๆ จวบจนถึงบ่ายวันถัดมาเพื่อนที่เหลือไม่มีใครตามมาด้วย จึงมีแค่สองคนที่ไปด้วยกัน สุริวิภานำปราณปริยาไปยังรถยนต์คันใหม่ที่โอ่ว่าตนเก็บเงินจนซื้อเองได้ แล้วไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นบ้านหลังใหญ่ย่านชานเมือง
“นึกว่าไปห้องภา” บอกเมื่ออีกฝ่ายจอดรถลงแล้ว
“ห้องภาเล็กจะตาย”
“แล้วพวกนั้นไม่มาหรือ” ปราณปริยาถามอย่างนึกสงสัย
“เดี๋ยวคงตามมามั้ง” บอกจบเดินลงมาเปิดประตูแล้วดันให้ปราณปริยาเข้าไปข้างใน พร้อมกับล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายของตนที่แผดเสียงดังลั่น ว่าก่อนกดรับ
“นิ่มเข้าไปก่อนนะ ภาขอคุยสายกับพี่เอ๊ะเรื่องงานแป๊บเดียว”
ปราณปริยาพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในบ้าน สภาพในบ้านไม่เหมือนมีการเตรียมงานใดๆ ทั้งนั้น ถ้าจะให้คิดมันคล้ายเป็นงานชุมนุมของหนุ่มสาวมากกว่า
“อ้าว น้องนิ่มมาด้วยหรือเนี่ย”
เสียงทักมาจากชายคนหนึ่งที่เธอไม่คุ้นหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วเลยถามอีกฝ่ายไป
“เอ่อ คือ นี่ใช่เตรียมงานบายเนียร์กันไหมคะ”
“งานบายเนียร์ไหนจ๊ะ”
ก่อนที่จะได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น สุริวิภาก็เข้ามาคล้องแขนแล้วพาไปอีกทางทันที “นิ่ม มาทางนี้ดีกว่ามา”
สุริวิภาพาเธอไปยังทางหลังบ้านที่เป็นสระว่ายน้ำ พร้อมกดไหล่เธอให้นั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆ นั่น
“นั่งรอตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักกับเจ้าของบ้านก่อน”
สุริวิภาเอียงหน้ามาคุยด้วย บอกยิ้มๆ แต่รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ดูเปลี่ยนแปลงไป
“รอตรงนี้ก่อนนะ ภาไปดูอะไรมาให้กิน”
ปราณปริยามองตามหลังสุริวิภาที่เดินหายไปในบ้านแล้ว ก่อนจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ในวงล้อมที่มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ผู้ชายแปลกหน้าต่างมองเธอด้วยสายตาหื่นกระหาย และแล้วความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลง เมื่อมีใครคนหนึ่งลุกมานั่งใกล้ๆ บนที่พักแขนพร้อมพาดแขนลงบนบ่าของเธอ
“ได้ข่าวว่าขายหรือครับน้องนิ่ม”
เธอดันตัวยืนขยับหนีอย่างรังเกียจ ถามเสียงเขียว
“ขายอะไรคะ”
“ถ้าพี่เหมาคืนนี้ทั้งคืน เท่าไรจ๊ะ”
หญิงสาวไม่อยู่รอให้คำตอบใครอีกแล้ว เพราะรู้ว่าที่พวกนี้รุมถามมันคืออะไรกัน เธอลุกแล้วสาวเท้าตั้งใจจะออกไปจากบ้านหลังนั้น แต่แล้วก็เดินย้อนกลับเข้าไปใหม่
สอดส่ายสายตาหาใครบางคนจนพบ แล้วดิ่งเข้าไปหา
“ภา ทำแบบนี้กับนิ่มทำไม”
สุริวิภาที่เพิ่งวางสายสนทนาเล่นโทรศัพท์ในมือก่อนยิ้มใสซื่อถามกลับทันที “ทำอะไรหรือจ๊ะนิ่ม”
“ก็ที่พานิ่มมานี่ มันไม่ใช่เตรียมงานคณะสักหน่อย นี่มันงานเลี้ยงมั่วยามั่วเซ็กซ์กัน”
“อ้าว เหรอ ภาก็นึกว่านิ่มน่าจะสนใจ ที่นี่ลูกค้ากระเป๋าหนักๆ เยอะเชียวนะ”
“พูดอะไรของภา”
“เห็นเข้าโรงแรมไปกับพี่ธัญ ก็นึกว่าอยากได้ลูกค้าอีกนี่นา ได้ข่าวว่าพี่ธัญเขาไม่เอาแล้วไม่ใช่หรือ”
“ภาเห็น?”
“ใช่ เห็น และก็รู้เอาไว้ด้วยว่าฉันกับพี่ธัญน่ะมีอะไรกันแล้วก่อนที่เธอจะหน้าด้านเข้าโรงแรมไปเขาเสียอีก มาทีหลังอย่าคิดจะแย่งเขาไปจากฉัน”
“นิ่มไม่เคยคิดทำอะไรอย่างที่ภาว่ามาเลยนะ”
“อย่ามาตีหน้าซื่ออยู่เลย นี่ไงถึงพามาหาแขกในนี้ จับพลัดจับผลูได้ของดี ใครเขาก็อิจฉากันทั้งนั้น”
“พอเถอะ ถ้าภาเข้าใจแบบนั้นแล้ว นิ่มพูดอะไรไปภาก็คงไม่เชื่อ”
“จ้ะ ไม่เชื่อ”
“งั้นระหว่างเราก็ให้มันจบลงที่นี่”
“นึกว่าอยากง้อนักหรือไงนังงูพิษ”
ปราณปริยาว่าจบเดินจากไปในทันทีด้วยความรู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่งยวด สุริวิภาจะตั้งใจหรือไม่เธอไม่สนใจอีกแล้ว แต่การพาเธอมายังที่นี่แล้วหลอกว่ามาทำงานให้คณะมันบั่นทอนความรู้สึกดีๆ ของเธอไปจนเกือบหมด นึกเสียดายความเป็นเพื่อนระหว่างกันไม่น้อย แต่หากมีเพื่อนที่ไม่คิดหวังดีต่อกันเช่นนี้ สู้ไม่มีเลยเสียดีกว่า
“หน้าตาเอย หุ่นเอย แบบนี้ยังไงก็ขายตัว”
“แถมอยู่แก๊งเดียวกับยัยภาด้วย”
“แหงล่ะ ยัยนั่นตั้งตัวเป็นแม่เล้าแล้ว มีใครในมอไม่รู้”
“แต่หน้าตาใสซื่อออกนะแก”
“ใสซื่อตายล่ะ”
“ชื่ออะไรนะ”
“นุ่มนิ่มอะไรนี่แหละ เด็กปีสอง เด็กเก่าพี่ธัญไง”
“เออใช่ๆ เห็นเมื่อก่อนพี่ธัญตามออกบ่อย”
“พี่แกคงกินจนเบื่อแล้วไงเลยเขี่ยทิ้ง”
“นี่นังบีมมันเล่านะ ว่าพี่ธัญบอกมันอีกที ว่ายัยนิ่มอะไรเนี่ย ขายแพงกว่าทุกคนเลย”
“แพงแต่ก็เห็นซื้อนะยะ”
“ดูหุ่นยัยนั่นสิล่ะ อวบอั๋นเต็มมือ พวกหื่นๆ ชอบกันทั้งนั้นแหละ”
“ฉันจะเก็บเงินไปทำนมบ้าง แต่ไม่ขายนะยะ เอาไว้ให้บอยเฟรนด์ดูคนเดียว”
“โอ๊ย...หมั่นไส้”
บทสนทนานั่นดังก้องในห้องน้ำ ขณะที่ปราณปริยากำลังเข้ามาเปลี่ยนผ้าอนามัยที่ห้องด้านในริมสุด
คนที่พวกนั้นพูดถึงคือเธออย่างนั้นหรือ
เธอกลายเป็นสาวแสร้งทำว่าใสซื่อ แถมยังขายบริการได้อย่างไร
เมื่อครู่ได้ยินคนพูดบอกว่าไทธัญเอาไปโพนทะนาว่าเธอขายแพงกว่าคนอื่นด้วย
ไทธัญกล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองเป็นคนพาเธอเข้าโรงแรม แต่มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างเดียว เธอไม่ได้ขายตัว
ปากคนหนอ ยื่นยาวตามแต่ใจจะอยากให้เป็นแท้ๆ
คิดแล้วเจ็บใจจนอยากร้องไห้ออกมานัก แต่แล้วก็ร้องไม่ออก กล้ำกลืนนิ่งสงบจิตใจอยู่อย่างนั้น แล้วก็ปลงได้ในเวลาต่อมา
ปราณปริยาเข้ามาที่โรงพยาบาลอีกครั้งในตอนเย็นแล้วก็ดีใจแทบกระโดดเมื่อรู้ว่าแพทย์อนุญาตให้มารดาของเธอกลับบ้านได้แล้ววันนี้ ขณะรับใบรายการค่าใช้จ่ายมาถือไว้ก็ให้คิดหนัก เมื่อมีส่วนต่างของค่ายาอยู่เกือบๆ ห้าพันบาท
“คือ...ค่ายาส่วนต่างนี่คืออะไรคะ”
หญิงสาวยืนถามกับพนักงานการเงินของโรงพยาบาลด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ไหนว่าใช้บัตรประกันสังคมได้ไงคะ”
“คนไข้ใช้บัตรประกันสังคมค่ะ แต่ยาที่คุณหมอให้รักษาอยู่นอกระบบบัญชีเลยมีส่วนต่างตามที่ส่งรายการให้ดูค่ะ”
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น แต่ใจของปราณปริยาเย็นจนเยือกเมื่อนึกถึงว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายให้โรงพยาบาล เงินเธอมีติดตัวอยู่ไม่กี่ร้อย ในบัญชีมีที่เก็บไว้ก็ตั้งใจจะจ่ายตอนหาบ้านอยู่ใหม่กับมารดาสองคน หากว่าเอาเงินจำนวนนี้ออกมา แล้วที่จะหาบ้านอยู่ใหม่คงเป็นอันต้องพับไปเสียอย่างนั้นหรือ
“ยืมพี่ก่อนได้นะ”
เสียงนั่นดังมาจากทางด้านหลังของเธอเอง
ปราณปริยาหันไปมองแล้วก็ค่อยยิ้มออก ม่านตาขยายอย่างดีใจ เมื่อชายที่เสนอตัวนั้นเป็นคนๆ เดียวกับที่เธอตามหาไปทั่วร้านของซ้อเสียง เขาว่าพร้อมยื่นเงินให้ไปชำระค่ายาในส่วนต่างที่เป็นปัญหานั่น
“ขอบคุณมากค่ะพี่...เอ่อ...คุณ” เธอเว้นชื่อไว้อย่างกระดากนิดๆ ชายคนนั้นยิ้มมุมปาก แล้วถึงเอ่ยชื่อของตนเองกึ่งแนะนำกลายๆ
“พี่ชื่อตง”
แล้วก็นึกได้ว่าเธอจะรับเงินจากชายที่เห็นหน้าเพียงสองครั้งได้อย่างไร ตงเหมือนจะอ่านความคิดคนตรงหน้าออก เขาว่าขัดขึ้น
“สวัสดิการของร้านเรา”
สีหน้าของปราณปริยาค่อยดีขึ้นหน่อย แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ด้วยสถานการณ์บีบบังคับทำให้ต้องรับธนบัตรที่อีกฝ่ายหยิบยื่นส่งให้พนักงานการเงินหลังกระจกใสนั่นอีกทอด จัดแจงเรียบร้อยแล้วตงถามต่ออีก
“แม่หายดีแล้วหรือ”
นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องของเธอ แต่พอนึกได้ว่าบอกพี่ดรีมไปวันก่อนว่าแม่ไม่สบายนอนโรงพยาบาล ทางนั้นคงเอาไปคุยกับคนอื่นอีกที และผู้จัดการร้านอย่างพี่ตงคงรู้มาอีกทอด จึงหายสงสัยในส่วนนั้น
“ค่ะ หมอให้กลับบ้านวันนี้แล้ว นี่หนูยังงงอยู่เลยว่าทำไมมีส่วนต่างค่ายา”
“โรงบาลเอกชนก็แบบนี้แหละ”
“วันนั้นแม่ป่วยมาก หนูไม่ได้สนใจว่าโรงบาลอะไรค่ะ ถึงแล้วก็รีบพาแม่ส่งเข้าไปเลย แม่รู้เข้าต้องบ่นแน่ๆ เลย”
บ่นเบาๆ คล้ายคุยกับตนเองมากกว่า ตงมองแล้วตัดสินใจบอก
“เอาจริงๆ เงินนั่นไม่ใช่สวัสดิการของร้านหรอก ไม่ใช่เงินของพี่ด้วย”
“อ้าว” คนที่ยังกังวลอยู่กับเรื่องเงินร้องตกใจ
“มันก็ไม่เชิงนะ จริงๆ แล้วเป็นเงินคุณปรานต์ แกจะออกเงินให้ลูกน้องแบบนี้ตลอด อยากให้ทุกคนทำงานในร้านอย่างสบายใจ มีอะไรไม่สบายใจบอกพี่ได้นะ หรือจะไปบอกกับคุณปรานต์เลยก็ได้” ตงเหน็บนายลับหลัง ปราณปริยายิ้มแห้งๆ
“ไม่ดีกว่าค่ะ”
“แล้วนี่จะกลับบ้านกันยังไง”
“เอ่อ”
“พี่ไปส่งแล้วกัน” ตงยังเสนอตัวอย่างต่อเนื่อง
เธอชักหวาดๆ เสียแล้ว เงินก็เอาของเขามา ยังจะให้เขาไปส่งที่บ้านอีก
“ทางผ่านไปรับนายพอดี แล้วเดี๋ยววันหลังพี่พาเราไปขอบคุณคุณปรานต์ด้วย”
ปราณปริยากลับมาที่ห้องผู้ป่วยก็พบว่ามารดานั่งรออยู่แล้ว จึงแนะนำให้รู้จักกับตง ค่อยจัดแจงเก็บข้าวของ พาท่านเปลี่ยนชุดแล้วจึงตามตงไปยังรถยนต์ขนาดใหญ่ที่จอดอยู่หน้าโรงพยาบาล
ตงพามาส่งยังที่บ้านแล้วช่วยขนของลงก่อนร่ำลาสองแม่ลูกขับออกไปในเวลาต่อมา ตงจอดรถลงที่ใต้ตึกแล้วอ้อมมาเปิดประตูรับนายที่ลงจากอาคารมาพอดี ทันทีที่ขึ้นมานั่งด้านใน ปรานต์ถามเสียงเรียบ
“ทำไมช้า”
“ไปส่งน้องนิ่มกับแม่ที่บ้านมาครับนาย”
ปรานต์นิ่งไป แล้วถาม “หายดีแล้วหรือ”
“ครับ เงินส่วนต่างผมจัดการแล้วนะครับ”
“อือม์” ปรานต์รับคำสั้นๆ ไม่ว่าอะไรจากนั้นก่อนออกเดินทาง หลายวันมานี้เขาให้ความสนใจกับสตรีเพศมากจนเกินสมดุลจากเรื่องงานเกินไปแล้วหรือเปล่า พร้อมปัดเรื่องของปราณปริยาทิ้งไปในทันที
“นิ่ม”
ตอบรับตงที่เข้ามาเรียกเธอที่หลังร้านในตอนสามทุ่มกว่าแล้ว ตงสั่งเสียงขรึมๆ
“เดี๋ยวพี่วานเราทีนะ ยกถาดเครื่องดื่มขึ้นไปข้างบนให้หน่อย แล้วรอว่าพวกท่านๆ เขาจะรับอะไรอีกไหม เราก็จัดการไปเลยนะ พอดีแสวงลาน่ะ วันนี้ยุ่งวุ่นวายจัง”
ปกติงานบริการนายที่ห้องจะเป็นหน้าที่ของแม่บ้านที่ชื่อแสวง และปราณปริยาก็ทำงานแทบทุกอย่างในร้าน แล้วแต่ใครจะเรียกใช้เธอ เรื่องนี้เธอไม่เกี่ยงงาน เพราะตนเองอยู่ในตำแหน่งเล็กสุดรวมกับอุปนิสัยไม่ใช่คนหยิบโหย่ง ชอบช่วยเหลือคน แค่ออกปากเรียกใช้ ก็มักจะทำให้ด้วยความเต็มใจเสมอ
ตงบอกว่าวันนี้มีประชุมหุ้นส่วนร้านที่ห้องด้านบน พร้อมกำชับให้เธออยู่ดูแลเรื่องเครื่องดื่มบนนั้นเลย
ห้องที่ตงบอกเป็นห้องในชั้นบนที่กรุกระจกวันเวย์ไว้ตลอดทั้งชั้น หญิงสาวยกมือขึ้นเคาะประตูสามสี่ครั้งก็ยังไม่ได้ยินเสียงจากด้านใน ขณะมองหาที่วางของในมือ พลันประตูก็ถูกเปิดออกมาพอดี
ชั่วจังหวะนั้นเองที่ได้สบตากับชายที่หลังประตู ทำเอาปราณปริยานิ่งไปเหมือนถูกสะกดด้วยนัยน์ตาอ่อนแสงแต่แฝงอำนาจอย่างลึกล้ำของอีกฝ่าย
“มีอะไรหรือเปล่า”
เสียงถามอบอุ่นละมุนหูจนปราณปริยาเกิดอาการประหม่า
“เอ่อ ... คือ ยกเครื่องดื่มขึ้นมาให้ค่ะ”
เจ้าตงนี่มันเจ้ากี้เจ้าการจริง ปรานต์โคลงศีรษะไปมาอย่างเอือมๆ กับลูกน้องคนสนิท แล้วก็ว่า
“เอาไปวางข้างในได้เลย แต่...ระวังนะ!”
ช้าไปแล้ว เมื่อปราณปริยาเหยียบลงบนพื้นถัดไปไม่กี่ก้าวแล้วก็ลื่นจนของในถาดหกเกลี้ยงหมด ดีทว่ามันไม่แตกหักเสียหายอะไร ปรานต์เดินมานั่งยองๆ ใกล้ๆ ลอบพินิจใบหน้าของหญิงสาวในวินาทีนี้เอง
ใบหน้าเต็มรูปไข่ คิ้วตามีสัดส่วนรับกันได้รูปเหมาะเจาะ จมูกมีเนื้อเต็มพอดีปลายจมูกกลมมนมิดชิดอย่างนี้ถือว่ามีระบบระเบียบวินัยอยู่ไม่น้อยเรื่องใช้จ่าย ทั้งริมฝีปากที่อวบอิ่มนั่นเจ้าตัวคงมีน้ำใจกับผู้อื่นจนบางครั้งอาจถูกเอาเปรียบเอาได้ง่ายๆ โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
ปรานต์วิเคราะห์หญิงสาวตรงหน้าในใจเงียบๆ ชั่วครู่บอกยิ้มๆ
“ขอโทษที พอดีผมทำน้ำหกไว้ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ปราณปริยาเงยหน้าสบตากับเขาแล้วตอบอย่างเกรงๆ “ไม่ค่ะ” พร้อมลุกเก็บของใส่ถาดดังเดิม ปรานต์มองหญิงสาวที่ก้มหน้างุดๆ ผุดยิ้มมุมปากก่อนลุกยืนหันหลังให้เดินกลับไปที่โต๊ะประชุม สั่งเสียงเรียบแต่กระนั้นก็แฝงไปด้วยความสุภาพอ่อนโยนอยู่ไม่น้อย
“ถ้าไม่ยุ่งยากเกินไป ผมขอมะนาวโซดาสักแก้วนะ”
ปราณปริยารับคำเบาๆ กำลังจะหันหลังออกไป เสียงของเขาเอ่ยขึ้น
“แสวงใช่ไหม”
“คะ?” ปราณปริยารับคำอย่างงงงัน
“ชื่อของคุณไง ใช่แสวงไหม”
“นิ่มค่ะ นิ่มมาแทนพี่แสวง พี่แสวงลาน่ะค่ะ”
ปราณปริยาแนะนำตัวเองแล้วก็ยิ้มกว้างด้วยความประหม่าที่ลดน้อยลงเมื่อเห็นชายตรงหน้ามีสีหน้างงงันเล็กน้อย ก่อนยิ้มสุภาพแล้วแนะนำตัวเองบ้าง
“ผมชื่อปรานต์ ขอโทษทีนะ ผมไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี่ แล้วก็นึกว่ามีแต่แสวงเสียอีกที่ขึ้นมาดูแลเครื่องดื่มให้ที่ข้างบนนี้ เห็นเจ้าตงเรียกหาแต่แสวงเลยเข้าใจว่าคุณชื่อนั้น”
ปรานต์ ชื่อนี้เธอรู้จักดีเพราะได้ยินคนในร้านคุยกันว่าซ้อเสียงขายหุ้นเกินครึ่งรวมของตัวเองและเพื่อนให้คนนี้ไปแล้ว แต่ยังมีเหลือส่วนน้อยที่ถือเอาไว้ เธอไม่เคยเห็นเขา เพิ่งได้เห็นชัดๆ ก็วันนี้เอง
ปรานต์ หล่อเหลาแลดูสุภาพไม่ต่างจากคุณชายในละครหลังข่าวที่เธอดูพร้อมกับมารดาอยู่บ่อยครั้ง ใบหน้าของเขาติดจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอจนดูน่าพูดคุยมากกว่าจะเดินหลีกหนีไป
และความสุภาพอ่อนโยนที่ได้รับนั่นก็ทำให้ปราณปริยาทำตัวไม่ถูก ใบหน้าจึงดูประดักประเดิด จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จึงก้มหน้ารับคำเบาๆ กำลังจะก้าวขาออกไปเอาเครื่องดื่มมาบริการตามสั่งก็นึกอะไรได้
“เอ่อ...คุณปรานต์คะ”
ชายเจ้าของชื่อยิ้มอย่างคนใจดี ยืนมองเธออยู่ก่อนแล้วยิ่งทำให้ปราณปริยากลับมาประหม่าอีกครั้ง แล้วตัดสินใจบอกออกไปในที่สุด
“ขอบคุณคุณปรานต์มากนะคะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ที่คุณปรานต์ช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลของแม่นิ่มค่ะ”
“อ้อ” ปรานต์ลากเสียงรับรู้ ทอดเสียงถามห่วงใยอ่อนโยน จนคนฟังรู้สึกถึงความใส่ใจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนาย “แล้วแม่ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
พยักหน้าก่อนว่า “มีอะไรบอกผมได้ทุกเรื่องนะ ผมอยากให้ทุกคนทำงานที่นี่ด้วยความสบายใจ มีเรื่องอะไรอึดอัดใจยังไงก็มาบอกผมได้…ทุกเรื่อง” ย้ำในตอนท้ายอีกครั้ง แม้แววตาจะอ่อนแสงแต่เต็มไปด้วยอำนาจบารมีที่น่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย
คนอ่อนต่อโลกเคยนึกว่าซ้อเสียงใจดีมากแล้ว แต่ปรานต์ ชายตรงหน้าสุภาพ อ่อนโยนและใจดีไม่แพ้กันเลยสักนิด ไม่ลืมยกมือไหว้ขอบคุณเขาอีกครั้ง แล้วออกมาจากห้องนั้นมาด้วยความรู้สึกสุดแสนโล่งอกสบายใจ
ทันทีที่ปราณปริยาหันหลัง สายตาคมกริบของนักล่าอย่างปรานต์ก็มองตามจนเธอลับหาย เขายอมถอยแม้มีจังหวะ ปราณปริยากับเขาเพิ่งพบหน้าและได้พูดคุยกันตัวต่อตัววันนี้เอง และจริงอย่างที่ตงเคยว่าเอาไว้ เจ้าหล่อนดูระวังตัวจนเกินไป ผู้หญิงแบบนี้ผลีผลามเข้าหามีแต่จะเสียจังหวะเปล่าๆ
และการแสร้งทำตัวเปิ่น ผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการแกล้งทักชื่อเธอผิดเป็นแสวงก็ทลายกำแพงความแปลกหน้าระหว่างกันได้ดีทีเดียวข้อนี้ปรานต์รู้ และมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าต้องได้ครอบครองปราณปริยาในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน สัญชาติของนักล่ามันบอกมาแบบนั้น