ยุทธนานั่งรินเหล้าที่กลางบ้านตอนที่นางปรียาเตรียมกับแกล้มและอาหารเย็นไว้ให้ที่ในครัว สามีวัยเด็กมองตามทุกท่วงท่าของอีกฝ่ายที่กลับจากโรงพยาบาลมาได้สองวันด้วยสีหน้าครุ่นคิด เพราะทางนี้เอาแต่เงียบไม่พูดจาพาทีจ๋าจ๊ะกับตนแบบทุกทีที่อยู่กันตามลำพัง หรือจะรู้จะเห็นว่าตนปลุกปล้ำปราณปริยาเมื่อวันนั้น แล้วเลยตัดสินใจเอ่ยปากออกไป
“นิ่ม ลูกสาวพี่น่ะ”
“ทำไม”
“ผมขอเอาทำเมียได้ไหมพี่ยา”
นางปรียาตาเบิกกว้างอย่างตกใจ หันหน้ามาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง “หมายความว่าไงยุทธ”
“ผมชอบลูกสาวพี่ ยังไงมันก็ต้องมีผัว ให้ผมเป็นผัวมันไม่ได้หรือไง”
“พูดจาหมาๆ นะไอ้ยุทธ”
“งั้นก็ออกไปจากบ้านกู มึงสองแม่ลูกออกไปหาที่อยู่ใหม่กันเลย ไปเลยนะอียา!”
ยุทธนาตวาดอย่างหยาบคายใส่ปรียา
“ยุทธ ทำไมพูดกับพี่แบบนี้”
“กูจะพูด มึงจะทำไม ถ้ามึงไม่สะเหล่อเสนอหน้าออกมาป่านนี้กูได้อีนิ่มเป็นเมียแล้วรู้เอาไว้ด้วย ลูกมึงก็ยั่วกูอยู่นั่น ไม่อย่างนั้นกูไม่อยากได้มันเป็นเมียหรอก”
นางปรียาค้านเสียงแข็ง “นิ่มไม่ได้เป็นแบบนั้น”
“รู้จักลูกมึงน้อยไปแล้วกูจะบอกให้”
ปรียาหน้าซีดเสียงอ่อนลง นางรักสามีเด็กมากจนไม่อาจตัดใจไปจากบ้านของเขาได้ บวกกับไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนในเมืองหลวงเลย ให้ไปจากที่นี่ก็เหมือนลอยคอคว้างอยู่กลางมหาสมุทรเท่านั้นเอง แม้จะพอระแคะระคายเรื่องที่ยุทธนาพยายามปลุกปล้ำบุตรสาวของตนเองก็ตาม ยุทธนานั่งกินเหล้าต่ออย่างไม่นึกสนใจเมียแก่อีกต่อไป ในเมื่อขอดีๆ ไม่ให้ มันก็ต้องใช้กำลังหน่อยล่ะวะ คิดอย่างหมายมาดเงียบๆ คนเดียว
กว่าหนึ่งเดือนที่ทุกอย่างดูสงบราบรื่น แต่มรสุมมักแฝงตัวมากับความเงียบแบบนี้ไม่ใช่หรือ ปราณปริยาเรียนไปพร้อมกับทำงานที่ร้านของซ้อเสียงไปด้วย
และเธอกลายเป็นแม่บ้านที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยในชั้นบนไปเรียบร้อยแล้ว ขณะยกเครื่องดื่มขึ้นมาบริการ ก็พบว่าปรานต์กำลังง่วนอยู่กับกองหนังสือบนโต๊ะ
“นิ่มมาพอดี”
ปรานต์เรียกลูกน้องในร้านด้วยชื่อเล่นเช่นนี้ทุกคน ทั้งยังใช้ระยะห่างได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่ได้สนิทจนเล่นหัวกันได้ หรือห่างเหินจนไม่กล้าพูดคุยกัน
รวมถึงปราณปริยาด้วย
“คุณปรานต์มีอะไรจะใช้นิ่มหรือคะ”
“พอดีผมมีปัญหากับหนังสือเก่าในตู้ เลยขนออกมาวางข้างนอก” ปรานต์ว่าจบพเยิดหน้าไปทางของล่อที่สืบรู้มาว่าเจ้าหล่อนเป็นหนอนหนังสือตัวยงคนหนึ่ง
“นิ่มช่วยผมทีได้ไหม”
ปราณปริยาเข้ามาหยิบออกจากกองทีละเล่มก็ให้ตาโตเมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับสาขาวิชาที่เธอเรียน รวมทั้งนิยายแปลอีกจำนวนหนึ่งด้วย
“คุณปรานต์จะทิ้งหรือคะ”
ปรานต์ยักไหล่ ก่อนว่า “เสียดายเหมือนกันนะ แต่ผมต้องเคลียร์มันออก ผมฝากจัดการทิ้งให้ผมทีได้ไหม”
หญิงสาวยิ้มจืดเจื่อน อึกอักครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก
“ถ้านิ่ม เอ่อ...นิ่มขอยืมอ่านได้ไหมคะ”
“เอาสิ ได้เลย” ปรานต์บอกอย่างใจดี มองตอบมาด้วยสายตาที่เหมือนคุณครูเวลาเจอเด็กหัวดีในชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กเกกมะเหรกเกเรทั้งชั้น แล้วถามอย่างให้ความสนใจ
“นิ่มชอบอ่านหนังสือหรือ”
“ชอบค่ะ แต่ไม่ค่อยได้อ่าน”
“ทำไมล่ะ” เขาถามต่อด้วยสีหน้าอยากรู้ ชวนคุยจนปราณปริยาคลายความประหม่าลง บอกไปตามจริงว่า
“คือ หนังสือมันราคาค่อนขางแพงค่ะ ถ้าจังหวะดีเจอหนังสือที่ชอบก็จะยืมมาจากห้องสมุดของมหาลัยค่ะ”
“โอ...ดีจัง ผมเจอคนชอบอ่านหนังสือเหมือนกันแล้ว นี่ผมมีหนังสืออีกเยอะเลยนะที่ห้อง เอาไว้จะให้ตงช่วยหอบมาให้”
ปราณปริยายิ้มอายๆ ก่อนตอบรับเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ”
ปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของชายผู้กุมบังเ**ยนของร้านต่อคนตรงหน้า และปรานต์รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าปราณปริยาไม่ได้เสแสร้งทำแบบสาวๆ คนอื่นที่เขาเคยพบเห็น
แล้วบอกตัวเองว่าให้ใจเย็น
เขาไม่ได้อยากได้แค่คำขอบคุณ ปรานต์ต้องการมากกว่านั้น อดสำรวจร่างเต็มอิ่มแสนยั่วยวนที่จัดการกับกองหนังสืออย่างใจเย็นไม่ได้ อีกไม่นานนี้เขาคงได้จัดการกับเธอให้สมกับที่อดใจรอคอยมาเนิ่นนานเสียที
ขณะลงจากรถสองแถวของลุงที่ขับรับส่งผู้คนยามดึกดื่นได้ เจ้าตัวเดินดุ่มเข้าบ้าน ผ่านกลุ่มชายที่เคยช่วยมารดาเอาไว้ ทางนั้นก็ทักทายตามประสา
“น้องนิ่มกลับมาแล้วเว้ย”
“ยังไม่เลิกดื่มอีกหรือคะพวกพี่”
หยุดทักทายเพราะรู้ว่าพวกเขาต่างพูดจากับเธอดี ความรู้สึกก็เต็มไปด้วยมิตรไมตรีแม้หน้าตาจะดูน่ากลัวก็ตาม
“รอให้น้องนิ่มตกลงเป็นแฟนพี่ก่อน ถึงจะเลิกจ้ะ” เสียงชายคนตัวเล็กสุดในวงเอ่ยออกมาจากนั้น ปราณปริยายิ้มก่อนว่ากลับไป
“งั้นดื่มต่อเถอะค่ะ”
คนที่เหลือพากันหัวเราะครืนใหญ่ที่เพื่อนตัวแสบถูกเธอย้อนคืนแบบนั้น ก่อนที่อีกคนจะถามถึงอาการของมารดา
“แม่หายดีแล้วหรือยังนิ่ม”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณพวกพี่ๆ มากนะคะ”
“มีอะไรมาตะโกนเรียกพวกพี่ได้ พี่นั่งกินเหล้าอยู่นี่แหละ”
หญิงสาวยกมือไหว้ในน้ำใจที่พวกเขาหยิบยื่นให้พร้อมขอบคุณอีกครั้ง เข้ามาในบ้านแล้วก็พบว่ามารดายังไม่เข้านอน
“แม่ ยังไม่นอนอีกหรือจ๊ะ”
“แม่รอหนูอยู่”
“เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอกแม่”
“หายแล้วล่ะน่า” นางปรียาว่ายิ้มๆ เห็นบุตรสาวยิ้มได้ นางก็พลอยมีความสุข รู้ว่าลูกเหนื่อยจากการทำงานกลางคืนเช่นนี้อยากให้เลิกใจจะขาดแต่บุตรสาวดื้อเงียบ ไม่ค้านแต่ก็ไม่ทำตามที่นางร้องขอ
วันก่อนตัดสินใจบอกให้เลิกทำงานอีกที ปราณปริยาก็ยังรั้นไม่ยอม แถมยังพูดเรื่องจะพาเธอย้ายออกไปหาบ้านเช่าหลังใหม่อยู่ด้วยกัน จึงต้องทนลำบากและตั้งใจทำงานเก็บเงิน เพื่อว่าจะได้เอาไว้เลี้ยงดูตนเองและแม่ได้ นางจึงเงียบไปเหมือนคนไม่มีปาก ไม่อยากบอกว่านางจะไม่ไปไหนทั้งนั้น
“อ้อ แม่ ที่ร้านเขาจะพาไปทะเลด้วยแหละ”
ปรียาหน้าม่อยลง นางเป็นแม่ที่แย่เหลือเกิน ตั้งแต่คลอดปราณปริยาออกมานางไม่เคยพาลูกไปเที่ยวที่ไหนเลย เพราะต้องจำกัดจำเขี่ยเรื่องเงินจึงใช้จ่ายที่นอกเหนือจากเรื่องยังชีพไม่ได้ มีแต่ที่บุตรสาวได้ไปทัศนศึกษากับทางโรงเรียนเท่านั้น ชาตินี้ปราณปริยาคงไม่มีทางรู้จักทะเลเป็นแน่
คนเป็นแม่เข้ามาลูบศีรษะ บอก “ไปสิลูก”
“แม่ไม่ถามหรือจ๊ะว่าเขาไปทำไม ไปกี่วัน”
“เดี๋ยวนิ่มก็บอกแม่เอง”
ปราณปริยากอดเอวมารดาก่อนมุ่ยหน้าให้ท่านแล้วถึงรายงานเป็นชุดเป็นฉาก
“เขาจัดให้พนักงานได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาอะไรทำนองนั้นแหละแม่ ไปชะอำเลยนะ สองวันหนึ่งคืน ทีแรกนิ่มนึกว่าเขาให้แต่พนักงานประจำไป ที่ไหนได้คุณปรานต์นะแม่ บอกให้ปิดร้านไปกันหมดเลย”
นางปรียามีสีหน้าสงสัยทันทีที่บุตรสาวเอ่ยชื่อคนที่นางไม่รู้จักขึ้นมาพร้อมกับเล่าด้วยน้ำเสียงเทิดทูนบูชาอย่างไม่รู้ตัว
“คุณปรานต์นี่ใครกันนิ่ม”
“คุณปรานต์เป็นเจ้าของร้านน่ะแม่ ใจดี คุยสนุกแล้วก็ตลกมากๆ ด้วย” ปราณปริยาเล่าให้มารดาฟังต่อด้วยแววตาเป็นประกาย “คุณปรานต์จัดการพนักงานที่มีปัญหาชกต่อยกันด้วยการจับมาอยู่แผนกเดียวกัน แล้วพี่สองคนนี้เขาอยู่หอที่ร้านเช่าไว้ให้พนักงาน แกก็จับพี่สองคนนี้มาอยู่ห้องเดียวกันด้วยนะแม่ จากที่เคยมีเรื่องกัน ชกต่อยกัน ตอนนี้กลายเป็นสนิทกันไปแล้วล่ะแม่”
“คุณปรานต์ยังพูดแซวพี่สองคนนี้ด้วยนะว่าเป็นที่มาของการได้ไปทะเลคราวนี้น่ะ”
นางปรียาฟังบุตรสาวเล่าแล้วก็ให้ยิ้มตามไปด้วย
“ดีแล้ว ไปเที่ยวจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง แล้วนี่หนูปิดเทอมแล้วหรือ”
“ปิดแล้วจ้ะ”
“เขาพาไปเที่ยววันไหนกันล่ะ”
“วันศุกร์นี้น่ะสิแม่”
นางปรียาพยักหน้าเป็นทำนองว่ารับรู้แล้วไม่ว่าอะไรอีก
“แต่นิ่มไม่อยากทิ้งให้แม่อยู่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน ยุทธก็อยู่”
พอมารดาเอ่ยชื่อสามีเด็กของนาง ปราณปริยาเลยได้แต่ลอบถอนหายใจ หากว่าบ้านนี้มีแค่เธอกับแม่แค่สองคนก็คงดี
สองแม่ลูกอยู่คุยอีกครู่เดียวจึงแยกย้ายกันไปนอน ปราณปริยาได้ยินมารดาบ่นว่ายุทธนายังไม่กลับเข้าบ้านเลยต้องนั่งรอ จึงโล่งใจที่ได้อยู่ในบ้านที่ไม่มีชายโฉดคนนั้นร่วมชายคาด้วย ค่อยตรงไปอาบน้ำแล้วเข้านอนต่อจากนั้น
“แม่จ๋า นิ่มทำน้ำพริกอ่องแล้วก็ทอดกากหมูไม่มีมันไว้ให้ในตู้กับข้าวแล้วนะจ๊ะ”
บอกมารดาขณะสะพายเป้ใบใหญ่ใส่เสื้อผ้าอันเดียวที่มีเข้ามาหาท่าน
“จะไปแล้วหรือลูก”
“จ้ะ เดี๋ยวนิ่มซื้อขนมมาฝากนะ แม่ต้องกินให้เยอะๆ หมอบอกว่าไงจำได้ไหม กินน้อยระวังล้มป่วยอีกนะ” คนเป็นลูกแกล้งทำเสียงขรึมบอกมารดา
นางปริยายิ้มแล้วไล่ให้เดินทาง ด้วยกลัวว่าจะถ่วงเวลาคนอื่น
รถตู้หลายสิบคันจอดรอที่ด้านหน้าร้าน และหากใครมีรถส่วนตัวที่อยากเอาไปเองก็สามารถขับตามไปได้เลย ส่วนปราณปริยาได้ขึ้นรถตู้คันเดียวกับซ้อเสียง ทันทีที่ได้เจอหน้าหญิงเจ้าของร้านที่รับเธอเข้าทำงาน ก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม จะว่าไปตั้งแต่วันที่เธอไปคุยกับท่านวันแรกจนวันนี้ ได้พบซ้อเสียงไม่ถึงสามครั้งดีเลยด้วยซ้ำ
“ไง เด็กน้อยทำงานที่นี่พอไหวนะ”
หญิงเจ้าของร้านไต่ถามตามธรรมเนียม คนถูกถามยิ้มรับตอบอย่างแข็งขัน
“ไหวค่ะ”
“ดีแล้ว” ว่าจบจ้องหน้าตรงๆ เอ่ยขึ้น “ฉันอยากเตือนหนูไว้สักเรื่อง”
ปราณปริยารับคำพยักหน้าตั้งใจฟัง “ค่ะ”
“อย่าไว้ใจใครง่ายๆ” ซ้อเสียงพูดเบาแต่จริงจัง ส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร นางไม่ชอบยุ่งกับใครด้วยซ้ำ อยู่แบบตัวใครตัวมันนั่นคือตัวนางเอง แต่เห็นพฤติกรรมของใครบางคนแล้วอดปากไม่ได้อธิบายต่อ
“ยิ่งพวกพูดจากับเราดีๆ หน้าตาดูดียิ่งน่ากลัวนักล่ะ จำคำฉันเอาไว้นะ”
“ค่ะ”
แม้ยังไม่เข้าใจความนัยที่อีกฝ่ายบอกมาเท่าไรนัก แต่ก็รู้สึกดีไม่น้อยที่มีผู้ใหญ่ออกปากตักเตือน ขณะนั่งเงียบอยู่ด้วยกันนั่นเอง ประตูรถตู้ถูกเปิดออก
“อ้าว...ซ้อนั่งคันนี้หรือครับ”
“อือม์ มีอะไรหรือนายตง”
“มีที่เหลือไหมครับเนี่ย” ตงไม่ตอบ ถามกลับ ตามองที่นั่งข้างประตูที่ว่างอยู่ยิ้มๆ
“ใครจะขึ้นมาอีกล่ะ ที่นั่งอยู่นี่ก็แน่นรถไปหมดแล้วนะยะ”
ซ้อเสียงพูดเกินจริงไปเสียไกล เพราะรถตู้คันนี้ มีเพียงคนขับรถที่นั่งข้างหน้าคนเดียว ตัวคนพูดเอง และปราณปริยาเท่านั้น
ตงดันประตูเปิดอ้าออกพร้อมกับว่า
“ผมฝากนายผมไปด้วยคนได้ไหมครับ”
ซ้อเสียงยิ้มมุมปาก ถามหมิ่นๆ
“แล้วรถนายเราไปไหน”
“พอดีว่ามันเสียครับซ้อ”
ปรานต์มองคนสนิทด้วยสีหน้าระอาปนเอือมนิดๆ เพราะที่เขายอมเดินมายังรถตู้เพราะตงบ่นเวียนศีรษะ ขับรถไม่ไหว พอเขาจะขับเอง ก็ว่าจะขับตามไปให้ หากได้พักสักครู่แล้วเสนอให้นั่งรถตู้แทน เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แต่เหตุใดตอนนี้กลายเป็นว่ารถของเขาเสียกันเล่า
ตงนี่มีความตอแหลไม่น้อยทีเดียว ปรานต์ลอบกรอกตานึกในใจ ซ้อเสียงยิ้มก่อนเอ่ยทักชายผู้มากเล่ห์ไม่ต่างจากตน
“สวัสดีค่ะคุณปรานต์ แหม...ไม่น่าเชื่อนะคะว่าจะยอมลดตัวมานั่งกับพวกเราได้”
“พูดอะไรแบบนั้นเหล่าครับซ้อ นายผมออกจะเฟรนด์ลี่”
ตงว่ายิ้มๆ แล้วทำท่าปัดเบาะอย่างแข็งขัน พร้อมปรับองศาให้อยู่ในระดับที่นั่งสบายกับนายของตน
“เจอกันที่ชะอำนะครับนาย”
ปราณปริยาประหม่าไม่น้อย เมื่อต้องขึ้นมานั่งในรถคันเดียวกับเจ้าของร้านทั้งซ้อเสียงและคุณปรานต์
ด้วยความเป็นคนไม่เรื่องมาก ใครใช้งานอะไร ให้อยู่ตรงจุดไหนไม่เคยมีปากเสียง เธอจึงถูกส่งมาขึ้นรถคันนี้ คันที่ใครๆ ต่างพากันเรียกว่า รถวีไอพี
เนื่องจากเธอเป็นส่วนเกินของคันอื่น พี่คนหนึ่งในร้านที่ดูจะเป็นลูกน้องคนสนิทของซ้อเสียงจึงจับเธอมานั่งในรถคันนี้ ซ้อเสียงไม่ใช่คนถือตัวอะไรจึงตอบรับให้คนมานั่งด้วยกัน
ใครๆ ก็อยากนั่งรถแบบสบายๆ พูดคุยเล่นหัวสนุกสนานได้ทุกเรื่องแม้แต่เรื่องของร้านและนาย มากกว่าจะมานั่งสงบเสงี่ยมในรถแบบนี้ แม้ทั้งสองจะเป็นผู้ใหญ่ใจดี ไม่ถือตัวกับลูกน้องก็ตามทีเถอะ แต่ก็อดที่จะอึดอัดใจไม่น้อยทีเดียว
“ตาเศร้าๆ นะเรา มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
เสียงทักดังมาพร้อมเสียงคลื่นทะเลที่สาดซัดเข้าฝั่ง ปราณปริยาถึงจุดหมายได้สองชั่วโมงกว่าแล้ว และตอนนี้ทุกคนก็พักผ่อนตามอัธยาศัย บางคนลงน้ำตั้งแต่มาถึง ชุดไม่เปลี่ยนก็มี บางคนตั้งวงดื่มตั้งแต่ล้อหมุนจนถึงปลายทาง บางคนเข้าห้องนอนพัก บางคนนั่งเล่นเดินเล่น ส่วนเธอยืนมองคนอื่นๆ ก็สนุกไปอีกแบบ
แล้วก็สะดุ้งตกใจเมื่อมีคนมายืนพูดอยู่ข้างหลัง พอเห็นว่าเป็นปรานต์เลยออกอาการประหม่าเล็กน้อย ตอบรับอย่างไม่ทันตั้งตัว
“คะ? อะไรนะคะ”
ปรานต์ใช้สายตาเมื่อครู่สำรวจทั่วใบหน้าไม่ใช่แค่แววตาของเธอ พื้นฐานผิวดูดีแต่ขาดการบำรุง และเพราะว่ายังอายุไม่มากจึงดูไม่น่าเกลียด แต่ก็ใช่ว่าสวยจนไร้ที่ติ ก่อนบอกในสิ่งที่ตนเอ่ยออกไปก่อนหน้าเป็นการเปิดประเด็นคุยกับหญิงสาวที่ดูระแวงระวังตัวอย่างปราณปริยา
“ผมว่า ตาเราดูเศร้าๆ มีอะไรที่ร้านทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า”
“อ้อ เปล่าค่ะ ไม่มี”
ปราณปริยารีบบอก อดประหม่าทุกทีที่ต้องคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ได้ ปรานต์เองเธอก็ถือว่าเขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งเช่นกัน แม้จะคอยรับใช้เขาอยู่บ่อย แต่พอสบตาคมแฝงอำนาจแล้วให้ประหม่าอยู่ดี
ที่ประหม่าขนาดนี้เพราะความน่าเกรงขามของปรานต์ด้วยละมัง รังสีความเป็นผู้นำผลิพุ่งจากตัว แววตาเขาบางทีดูดุดันเด็ดขาด คล้ายซ้อเสียงในบางคราว
หรือคนเป็นใหญ่มักต้องมีแววตาเช่นนี้กันทุกคน
คิดอย่างไม่ใคร่เข้าใจอะไรนัก
“จริงๆ ผมไม่อยากรับเด็กที่ยังเรียนมาทำงานในร้านเลยนะ”
ปรานต์ชวนคุย พอได้ยินเขาเอ่ยมาแบบนี้ก็ให้หน้าเสียไปถนัด กลัวเขามาพูดเพื่อจะให้เธอออกจากงาน
“พอรู้ว่านิ่มได้นอนไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ต้องตื่นไปเรียน ยิ่งเป็นห่วง”
ฟังผู้เป็นนายว่ามาแบบนั้นค่อยโล่งใจ บอกกลับไปทันที
“นิ่มทำไหวค่ะ”
“ผมรู้ว่านิ่มเก่ง แล้วทำไมต้องทำงานหนักขนาดนี้ ผมถามได้ไหมว่าพ่อแม่นิ่มทำงานอะไร ท่านว่าไหมที่ต้องทำงานดึกๆ น่ะ”
“พ่อของนิ่มเป็นใครนิ่มยังไม่รู้เลยค่ะ” ปราณปริยามองออกไปยังทะเลเบื้องหน้า เมื่อนึกถึงบิดาคนที่ให้กำเนิดตัวเอง จำได้ว่าเคยถามถึงตอนเด็กๆ แล้วก็ไม่เคยได้คำตอบกลับมาเลย
“ขอโทษนะแล้วแม่นิ่มล่ะ”
“แม่ทำงานหนักค่ะ เลี้ยงนิ่มมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้นิ่มอยากดูแลท่านบ้างค่ะ” เธอเลี่ยงจะเอ่ยถึงสามีใหม่ของมารดา ไม่อยากให้ใครมองท่านไม่ดี
“แต่นิ่มยังต้องเรียนหนังสือนะ”
ปรานต์ค้านอย่างไม่เห็นด้วยนัก
“สบายมากค่ะ เรียนด้วยทำงานไปด้วยสนุกดีค่ะ”
ปราณปริยาตอบอย่างที่ใจของเธอคิด ไม่ได้พูดเสแสร้งยกระดับตัวเองแต่อย่างใด คนที่เอาแต่ถามยิ้มแล้วให้กำลังใจ
“ตั้งใจทำงานนะ มีอะไรไม่สบายใจบอกผมได้”
“นิ่มไม่กล้ารบกวนคุณปรานต์ค่ะ” บอกอย่างสำรวม ปรานต์มองแล้วนึกหมั่นไส้ลูกน้องตัวเอง จริงแท้ทีเดียว ขนาดวันก่อนมาชะอำ ปราณปริยามีปัญหาเรื่องเข้างาน ทั้งๆ ที่เธอทำงานใกล้เขาแท้ๆ แต่กลับไปบอกตง ไม่ยอมเอ่ยปากกับเขา
แล้วเลยพูดออกไปอย่านึกชังลูกน้องตัวเอง
“อย่าไปคุยอะไรกับนายตงมากนัก”
ปราณปริยาผงะ หน้าเสีย ถามตื่นๆ
“ทำไมหรือคะ”
“แฟนนายตงดุยังกับอะไรดีน่ะสิ”
พอรู้คำตอบค่อยคลายใจ ถามกลับยิ้มๆ “จริงหรือคะ”
“เห็นผมเป็นคนพูดเพ้อเจ้อไปได้”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ คือ...” ปราณปริยาจะแก้ความเข้าใจผิดของเขา แต่แล้วปรานต์กลับเล่าไปถึงเรื่องลูกน้องอีกว่า
“เวลามีงานแล้วต้องกลับดึกหน่อย แฟนนายตงเคยโทรมาวีนกับผมด้วย ตงสารภาพว่าแฟนเขาน่ะนึกว่าผมเป็นเกย์”
ปราณปริยามองผู้เป็นนายขณะเล่าจบด้วยสายตาสำรวจอย่างไม่รู้ตัว บอกอย่างใสซื่อ
“คุณปรานต์ไม่เหมือนเกย์สักนิดเดียวค่ะ”
คนถูกสำรวจละสายตาของตนเองไปที่อื่นด้วยการข่มกลั้นอารมณ์ ก่อนว่า
“ผมก็ว่าแบบนั้นเหมือนกัน”
และเขาพร้อมจะพิสูจน์แทบแย่ว่าเขานั้นเป็นชายแท้มากขนาดไหน หากตงอยู่แถบนั้นด้วยคงได้ค่อนขอดผู้เป็นนายไปแล้ว ว่าปรานต์เองตอแหลเก่งไม่น้อยไปกว่าลูกน้องเช่นกัน ตงไม่ได้คบใครถึงขั้นเรียกว่าแฟนเลยสักคน แล้วปรานต์เอาที่ไหนมาเล่า นอกจากจะกุเรื่องขึ้นเพื่อหลอกล่อใครเท่านั้น
ภาพของปรานต์กับสาววัยละอ่อนที่ยืนคุยกันที่ชายทะเลอยู่ในสายตาของซ้อเสียงโดยตลอด และนางพอดูออกกับท่าทีผ่อนคลายของบุรุษเพศว่าพึงใจต่อเด็กสาวคนนั้นมากขนาดไหน
อันที่จริงทั้งสองก็ดูเหมาะสมกันดีอยู่ในเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา ถ้าปรานต์จะไม่ใช่ชายผู้กุมบังเ**ยนธุรกิจหลายต่อหลายอย่างเช่นนี้ และสาวข้างกายจะไม่ใช่เด็กที่เป็นเพียงลูกจ้างรายวันของร้านอาหารกึ่งผับ ถอนใจเฮือกอย่างหนักอก แล้วก็พบว่ามีคนเดินมาที่บริเวณของตนเองยืนอยู่ เมื่อเห็นว่าใครจึงเอ่ยปากแค่พอให้ได้ยินกันสองคน แม้ตรงบริเวณนั้นจะไม่มีใครเดินไปมายุ่มย่ามก็ตามที
“บอกนายเรานะ ว่าอย่าไปหลอกเด็กมันเลย เด็กคนนี้มันซื่อ”
ตงมองตามไปยังนายของตน ควงกุญแจในมือก่อนว่า
“ซ้อก็...นายผมไม่ใช่คนแบบนั้นนะ”
“อย่าให้ฉันต้องพูดเองนะนายตง”
ผู้เป็นลูกน้องว่ายิ้มๆ “งั้นซ้อไปพูดเองเถอะครับ”
ปรานต์วางสายจากคู่สนทนา ทั้งยังอดเสียดายอยู่หน่อยๆ ที่ได้คุยเพื่อสร้างความสนิทสนมกับปราณปริยาน้อยเกินไป เมื่อครู่ขณะคุยกันอยู่ ก็มีสายเรียกเข้ามาพอดี จึงต้องแยกตัวมารับ แต่โดยรวมเขาพอใจกับการพูดคุยเมื่อครู่ไม่น้อย ปราณปริยาก็เหมือนเด็กๆ ได้พูดคุยกันบ่อยๆ กำแพงระหว่างคำว่าเจ้าของร้าน กับ เด็กในร้านก็ค่อยๆ บางลงเรื่อยอย่างที่คิดเอาไว้ไม่ผิด
“ดูลงทุนดีนะคะ”
เสียงเหน็บแนมนั่น ปรานต์คุ้นเคยทีเดียว เจ้าตัวไม่ได้หันไปมองแต่อย่างใด แล้วถามยิ้มๆ ทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกระทบอะไรตนเองอยู่
“อะไรหรือครับซ้อ”
“ปิดร้านพาเด็กๆ มาเที่ยวนี่น่ะสิคะ”
“อ้อ” ปรานต์ยิ้มก่อนกระซิบบอก “สวัสดิการเล็กๆ น้อยๆ ให้พนักงานไงครับ”
หญิงวัยห้าสิบที่ยังดูสวยหน้าขรึมลงแล้วเอ่ยปากจริงจัง “เด็กนิ่มนั่น ถ้าอยากจะขอให้คุณปรานต์ปล่อยแกไป”
“ดูซ้อลงทุนเหมือนกันนี่ครับ ปกติไม่เห็นเอ่ยปากขออะไรใคร”
“ถือว่าคนนี้...ขอได้ไหมคะ”
ปรานต์เบือนหน้ามายิ้มให้ซ้อเสียง เป็นยิ้มที่แฝงคำตอบว่า ‘ไม่’ หญิงวัยห้าสิบได้แต่ถอนใจยาว หาได้โล่งอกโล่งใจ ความรู้สึกดิ่งวูบตรงข้ามกันลิบลับ นางแค่นึกถึงมนุษยธรรมเท่านั้น ไม่อยากให้เด็กดีคนหนึ่งต้องมาเสียเพราะคนมากเล่ห์เช่นปรานต์แบบนี้ก็เท่านั้น แต่แล้วขึ้นชื่อว่าปรานต์ ใครจะกล้าไปงัดข้อกับเขา นางเองอยากรู้คำตอบเช่นกัน