“เหนื่อยไหม” ปรานต์ถามเมื่อกลับมายังจุดที่ใช้เป็นที่พัก ขณะกลับจากเดินเลียบหาดด้วยกัน
“ไม่เลยค่ะ สนุกมาก”
“เดี๋ยวจะพามาอีก”
“คะ?”
“ผมจะพาทุกคนมาเที่ยวแบบนี้อีก” ปรานต์แจงให้ละเอียดขึ้นอีกนิด มั่นใจว่าครั้งหน้าเขาจะพาคนตรงหน้ามาเตร่ได้ตามลำพังอย่างแน่นอน
“คุณปรานต์ใจดี”
ปรานต์สะอึกไปนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวคำชม เพราะแท้ที่จริงเขาห่างจากคำว่า ‘ใจดี’ ไปไกลโข อดใจไม่ไหวยกมือขึ้นแตะผมที่รู้ในวินาทีนั้นเองว่าคิดไม่ผิดว่ามันต้องนิ่มอย่างชื่อของเธอ
“อะไรปลิวมาติด” ว่าเก้อๆ เมื่อเห็นสายตาเหมือนกวางดูตื่นๆ ขณะเขายกมือขึ้นแตะตรงผมของเธอ ปราณปริยายิ้มฝืนๆ หน้าร้อนวาบขึ้นมาทันทีแล้วขยับตัวออกห่างจากเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“กลับห้องเถอะ สายมากแล้วเดี๋ยวไม่ทันมื้อเช้า”
เขาสั่งแบบเจ้านายแล้วตัดใจเดินหลบฉากไปก่อน พลอยให้ปราณปริยาคลายอาการเกร็งลง แล้วเดินเข้าห้องพักที่อยู่กับพี่ดรีม เก็บของลงกระเป๋า เตรียมขนย้ายไปยังล็อบบี้
สองวันหนึ่งคืนช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปราณปริยาลงจากรถตู้ในตอนเย็นแล้วเดินเข้าบ้าน นึกโล่งใจที่ไม่ต้องนั่งรถกลับมาพร้อมกับปรานต์อย่างตอนขาไป
แอบได้ยินว่าเขาต้องกลับก่อน เพราะมีธุระสำคัญ แน่นอนว่าตงก็ต้องกลับมาพร้อมด้วย
บ้านเงียบ แต่ไฟเปิดทิ้งเอาไว้ ปราณปริยาเดินเข้ามาในนี้เป็นเวลาเกือบๆ หกโมงเย็นเข้าไปแล้ว เธอลงจากรถตู้ที่ทางร้านเช่าเหมาพาไปเที่ยวแล้วก็ให้เหนื่อยอยู่ไม่น้อย แล้วเลยเรียกหามารดาไปพลาง
“แม่ แม่จ๋า”
วางกระเป๋าสะพายลงบนพื้นกำลังจะเดินไปดูที่ในครัว ก็พอดีถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง เสียงถามพร้อมกลิ่นเหล้าฉุนจัดที่ข้างหู จนเจ้าตัวขนลุกด้วยความรังเกียจ
“กลับมาแล้วหรือจ๊ะน้องนิ่ม”
“เอ๊ะ อะไรเนี่ย แม่! แม่จ๋าช่วยนิ่มด้วย!”
ตกใจ ร้องตะโกนดังลั่นบ้าน ทั้งสะบัดตัวออกจากการคุกคามของนายยุทธนาไปพลาง
“แม่เราน่ะเขาออกไปเยี่ยมใครก็ไม่รู้ เห็นว่าวันนี้ไม่กลับ”
ปราณปริยาฮึดสู้ออกแรงดิ้นแต่แล้วกลับถูกชายโฉดหมุนตัวให้มาประจันหน้ากัน ดันเธอจนชิดฝาบ้าน ตรึงมือทั้งสองข้างกับผนัง ใช้ขาตัวเองตรึงกายท่อนล่างของเธอเอาไว้อีกด้วย
“ปล่อยนะ ไอ้คนเลว”
ยุทธนาหัวเราะย่ามใจ คึกคักขึ้นไม่น้อยเมื่อร่างในอ้อมกอดต่อต้านตน พร้อมกับก้มลงสูดดมพวงแก้มของบุตรสาวนางปรียา แต่เจ้าตัวหลบได้ทัน ยกขาจะถีบแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ เรียกเสียงหัวเราะหื่นห่ามย่ามใจจากชายที่อารมณ์พลุ่งพล่านได้ดียิ่งนัก
แล้วก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นตรงประตูหน้าบ้าน
“ทำอะไรกัน”
นางปรียามองนิ่งที่คนทั้งคู่ ใบหน้าแดงจัด แววตาดุดัน วาจาเกรี้ยวกราดเหมือนจะฆ่าคนได้ ปราดเข้ามากระชากบุตรสาวออกจากยุทธนา แล้วเงื้อมือตบหน้าบุตรสาวของตนเองฉาดหนึ่งจนปราณปริยาล้มลงไปกองที่พื้น นางกัดผนังปากตนเองไม่ให้สั่น พร้อมชี้หน้าด่าเลือดเนื้อของตนเอง ข่มกลั้นอารมณ์ชนิดหนึ่งไว้ในใจ
“แกได้นิสัยร่านแบบนี้มาจากที่ไหนนังนิ่ม”
“แม่!”
ปราณปริยาตกใจสุดขีด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เธอไม่เคยถูกมารดาตบตีทำร้ายมาก่อนเลยสักครั้งเดียว นับได้ว่านี่เป็นครั้งแรกของเธอด้วยซ้ำ
ตกใจที่มาพร้อมกับความเสียใจอย่างหนัก
“ไป! ออกไปเลย กูไม่เอาลูกอย่างมึง”
“แม่! นิ่มไม่ได้ทำ” ปราณปริยาน้ำตาไหลพราก ใบหน้าที่เคยหวานซึ้งบัดนี้เจ็บปวดอย่างสาหัสที่มารดาเข้าใจเธอผิดเพี้ยนไป
แต่ตรงที่แม่ตบนั้นไม่ได้เจ็บเท่ากับหัวใจเธอในตอนนี้เลยสักนิดเดียว
“นิ่มไม่ได้ทำนะแม่...นิ่มไม่ได้ทำอย่างที่แม่ว่านะ”
บอกมารดาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาราวทำนบกั้นเขื่อนพังทลายที่ไม่ได้ต่างไปจากหัวใจของเธอเลย หัวใจอันแสนบอบบางถูกมารดาผู้ให้กำเนิดเข้าใจผิดว่าแย่งสามีของท่าน ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิดเรื่องบ้าๆ อย่างนั้นเลยในหัว
นางปรียาเดินตึงๆ เข้าไปในห้องของบุตรสาวกวาดเอาของใส่ลวกๆ ล้วงหยิบเงินจำนวนหนึ่งที่แอบซุกซ่อนไว้พร้อมแหวนทองสองสลึงเก่าๆ สองวงยัดลงในกระเป๋าใบนั้น เดินกลับมาขว้างลงที่เบื้องหน้าของบุตรสาว
“เอาของของแกออกไป แล้วต่อจากนี้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไป”
“แม่จ๋า นิ่มไม่ไป”
“มึงจะออกไปดีๆ หรือจะให้กูลากไปตบหน้าบ้านประจานให้คนอื่นเขารู้ว่าแม่ลูกได้ผัวคนเดียวกัน”
ปราณปริยาน้ำตาไหลพราก เมื่อมารดาหอบเอากระเป๋าของเธอเหวี่ยงจนพ้นประตูออกไปแล้ว จึงจำใจต้องเดินตามออกมาด้วยน้ำตานองหน้า นางปรียาเองก็พยายามสกัดกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ตรงคอ มองตามแผ่นหลังของบุตรสาวจนลับสายตาไป แล้วตวัดตามองยังยุทธนา รายนั้นเมาหนักเห็นนั่งเหยียดขาอยู่ที่พื้นยังไม่ไปไหน จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในครัว คว้ามีดออกมาจัดการกับตัวปัญหา
หากนางไม่ไล่แบบนี้ ปราณปริยาไม่มีทางไปแน่นอน นางรู้นิสัยบุตรสาวดี และนางกำลังจะลงมือเอาคืนคนที่คิดย่ำยีลูกสาวครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยการตัดอวัยวะเพศของมันทิ้งเสียให้หมดปัญหาไป จะได้เลิกพล่าน
ให้ติดคุกก็ยอมเมื่อถูกหยามกันถึงขนาดนี้ แม่อย่างนางไม่อาจทนต่อไปได้อีก แล้วที่แกล้งทำดีพูดดีกับอีกฝ่ายก็เพื่อรอดูท่าทีให้แน่ใจ หลอกว่าจะไปข้างนอก เพื่อจะได้เห็นคาตาว่าทำอะไรกับบุตรสาวของนางบ้าง
ยอมให้ลูกออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ ดีกว่าต้องมาเสี่ยงติดคุกติดตะรางหมดอนาคตกับเรื่องที่นางกำลังลงมือทำ
ไม่กี่นาทีจากนั้น แว่วเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดพร้อมกับที่ชายคนหนึ่งวิ่งออกจากบ้านหลังเก่า เลือดแดงฉานตรงกลางลำตัวไหลอาบมาถึงหน้าขาทั้งสองข้างย้อยลงไปยังข้อเท้าแล้วด้วย ส่วนนางปรียาไม่หนี นั่งรอมอบตัวด้วยใบหน้าที่เอ่อนองไปด้วยน้ำตาที่ตรงนั้นเอง
ฝนตกลงเม็ดมาไม่ขาดสายพร้อมหยาดน้ำตาของคนไร้ซึ่งที่พักพิง ไหลอาบลงสองข้างแก้มไม่ทิ้งช่วงเช่นเดียวกับสายพิรุณ ปราณปริยาเดินมาถึงป้ายรถประจำทางด้วยเนื้อตัวเปียกปอน ฝนตกเช่นนี้ในตอนค่ำของวันอาทิตย์แต่ปราศจากผู้คนพลุกพล่าน มีเพียงเด็กวัยรุ่นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังหยอกล้อพลอดรักกันไม่ไกลจากที่นั่งของเธอ
ในหัวตอนนี้ตื้อไปหมด นึกไม่ออกว่าคืนนี้เธอจะไปพักที่ไหน และแล้วน้ำตาก็ไหลพรากออกมาอีกครั้งเมื่อคิดไปถึงมารดา เสียใจเหลือเกินที่ท่านเข้าใจเธอผิด พลันรถประจำทางวิ่งผ่านหน้าไปโดยไม่หยุดรับคนเพิ่ม ก่อนจะตามมาด้วยรถยนต์คันใหญ่ที่จอดขนาบข้างตรงทางเท้า
และเพราะเอาแต่นั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ จึงไม่เห็นว่ามีคนมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วในตอนนี้
“จะไปไหน ทำไมไม่กลับบ้านอีก”
ปราณปริยาเงยหน้ามองคนพูด แล้วก็รีบก้มหน้าทันทีเมื่อเสียงถามนั้นแฝงมาพร้อมความห่วงใย นั่นยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งอย่างหนักหน่วง
“ขึ้นรถก่อน เดี๋ยวให้ตงไปส่ง”
เสียงทรงอำนาจบอกขึ้นอีกครั้ง ไม่เชิงสั่งแต่ก็ฟังไม่ผิดเพี้ยนไปจากนั้นเท่าไรนัก
“นิ่ม...นิ่มไม่มีที่จะไปแล้วค่ะ”
เธอส่ายหน้าพร้อมสะอื้นฮึกฮักเหมือนเด็ก ปรานต์จึงถือวิสาสะเอากระเป๋าของเธอมาถือแล้วแตะแขนพาไปยังรถที่จอดรออยู่
“งั้นขึ้นมาคุยกันก่อน”
ตงนำรถออกสู่ถนนเบื้องหน้าในทันที ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง คงความเร็วสม่ำเสมอ บวกกับอุณหภูมิเย็นนิดๆ ทำให้หญิงสาวที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันหลับตาลงได้ในที่สุด
ชายผู้เชี่ยวกรากในสังคมที่ต้องต่อสู้แก่งแย่งชิงดีมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาประเมินอย่างละเอียดเมื่อมีโอกาส เธอหลับได้แม้กระทั่งอยู่กับคนไม่คุ้นเคยเช่นเขา หากไม่อ่อนล้าจนไร้สิ้นเรี่ยวแรงมีหรือจะกล้าปิดตาลง แม้ใบหน้าดูเย้ายวน แต่กระนั้นก็ยังเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความแร้นแค้น ขณะหลับคิ้วของเธอยังขมวดมุ่นอยู่ แสดงถึงสภาวะทางใจที่เพิ่งเจอมา ก่อนแว่วเสียงสะอื้นคล้ายละเมอร้องไห้
นั่นเธอฝันเรื่องอะไรอยู่
ปรานต์ผละจากการสำรวจหญิงสาวเสีย เมื่อใจอีกด้านเอนเอียงอยากปกป้องมากกว่าต้องการแค่เอามาครอบครองรองรับความสุขทางกายเพียงอย่างเดียว ถอนใจเฮือกยาวๆ เมินมองออกไปอีกทาง บอกตงให้มุ่งสู่ที่พักของตนในใจกลางมหานคร
ปราณปริยารู้สึกตัวอีกครั้ง พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแทนที่จะเป็นรถยนต์คันใหญ่ของผู้เป็นนาย
“ตื่นแล้วหรือ” เสียงถามนั้นทอความอาทรมากล้นจนต้องพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีก อ้อมแอ้มเสียงแหบเพราะร้องไห้อย่างหนัก ทั้งยังตากฝนจนเปียกชื้นไปทั้งตัว
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่รบกวนคุณปรานต์”
“ไม่เป็นไร นี่ตงมันบ่นอุบเชียวว่าจะโดนแม่ของนิ่มแจ้งความข้อหาพรากผู้เยาว์หรือเปล่า ที่เอาลูกสาวท่านมาแบบนี้ กินอะไรก่อนไหม เดี๋ยวจะได้กลับบ้าน”
ไม่มีอีกแล้ว เธอไม่มีบ้านที่ไหนให้กลับอีกแล้ว
แล้วแม่หรือจะมาสนใจอะไรเธอ ในเมื่อท่านเพิ่งไล่ให้ออกจากบ้านมา
คิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลพรากลงมาอีก จนชายเจ้าของห้องต้องเดินเข้ามาหา พร้อมยกมือลูบศีรษะอย่างปลอบประโลม ยิ่งถูกปลอบก็ยิ่งร้องหนักกว่าเดิม ปรานต์โอบร่างเต็มตึงเข้าหาตัวเบาๆ ส่งผ่านความอบอุ่นและสุภาพผ่านสัมผัสของตนเอง อยากช่วยบรรเทาความเศร้าหมองให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
ไม่เคยสักครั้งที่ปรานต์ต้องมาคอยปลอบประโลมใคร
ผู้หญิงที่เคยผ่านมานั้นต่างกระโดดเข้าใส่เมื่อรู้ว่าเขาสนใจพวกเธอ แล้วทุกอย่างก็มุ่งตรงสู่สังเวียนรัก จบลงบนเตียงบ้าง หรือตรงอื่นบ้างแล้วแต่อารมณ์ปรารถนาจะนำพา
แต่ปราณปริยา ปรานต์ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ฉับพลันที่คำพูดนุ่มนวลหลุดออกจากปากของเขาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ความต้องการอยากปกป้องคุ้มครองแผ่ซ่านออกทั่วทั้งตัว
“ร้องออกมาเถอะ ให้หายอัดอั้น แล้วถ้าอยากเล่าอะไรก็ค่อยเล่ามา ผมพร้อมจะรับฟังนิ่มนะ”
ปราณปริยาเหมือนถูกมนต์สะกดจากน้ำเสียงแสนอบอุ่นและแววตาอ่อนโยน ไหนจะกิริยาเอื้ออารีสุภาพจากเขานั่นอีกยิ่งทำให้รู้สึกสบายใจ ปลอดภัยเหมือนลูกแมวน้อยที่พลัดหลงมาแล้วได้มือเทวดาคอยโอบอุ้ม
แต่หารู้ไม่ว่ามือเทวดานั้นคือภาพลวงของซาตานตัวร้ายดีๆ นี่เอง
ไม่นานหลังจากได้ร้องไห้ออกมาจนสุด เรื่องราวทั้งหลายก็พรั่งพรูออกจากปากเต็มอิ่มที่ซีดเผือดไร้สีเลือด เธอเล่าไปร้องไห้ต่ออีก จนต้องหยุดเล่าเพราะร้องจนเล่าต่อไม่ไหว
“ถ้านิ่มไม่รังเกียจ พักที่นี่ไปก่อนจะได้ไหม”
ปรานต์เอ่ยออกมาแล้วก็ให้แปลกใจในตัวเองไม่น้อย เขาไม่เคยให้หญิงสาวคนใดย่างกรายมาบนนี้ด้วยซ้ำ แต่แล้วก็ปัดเรื่องนั้นทิ้งไป
“นิ่ม...นิ่ม ไม่กล้ารบกวนคุณปรานต์ค่ะ” คนไร้ที่พึ่งบอกอย่างเกรงๆ
“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ถือว่าผมเป็นที่พึ่งของนิ่มก็ได้นี่”
“แต่นิ่ม...ไม่กล้า”
ปราณปริยาอึกอัก พยายามใช้สมองคิดว่าเธอมีญาติหรือเพื่อนที่ไหนที่พอจะพึ่งพาได้บ้าง แต่แล้วก็ว่างเปล่า เธอไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากแม่แล้ว ก็ไม่มีใคร
“ถือว่าเป็นสวัสดิการของคนในร้านก็แล้วกันนะ”
เสียงอบอุ่นของเขาบอกอย่างใจดี กำชับอีกครั้งอย่างต้องการให้เธอคลายใจ “เถอะน่า...ถือว่าผมขอร้อง ผมไม่อยากให้นิ่มออกไปเจออะไรร้ายๆแบบนั้นอีกแล้ว…ไว้ใจผมไหม”
ปรานต์ยิ้มให้ ไม่มีสายตาจาบจ้วง ทุกอย่างที่เป็นเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ปราณปริยารู้สึกได้ถึงความปลอดภัย อบอุ่นและสบายใจ
เหมือนพี่ชายห่วงน้อง
ปรานต์มองนิ่งๆ แล้วสรุปมัดมือชกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นดังเดิม
“ตกลงนะ นิ่มพักที่นี่ไปก่อน”
ตงลอบกรอกตาเมื่อเห็นว่านายของตนแปลงกายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว ไม่อยากเชื่อว่านายของเขาจะใจเย็นกับเหยื่อชิ้นสดตรงหน้าได้นานถึงขนาดนี้ แล้วจะตั้งตาคอยว่าเมื่อไรที่นายของตงจะขย้ำทึ้งเนื้อของเหยื่อกินให้สมอยาก เต็มคราบ หรือไม่แน่อาจไม่พ้นสัปดาห์นี้ก็เป็นได้
แล้วแยกตัวออกไปรับสายจากคนในละแวกบ้านของนายยุทธนา ที่เคยจ้างวานให้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางรู้ว่าปราณปริยาระเห็จออกจากบ้านมาแล้ว และกำลังอ้างว้างเดียวดายที่ป้ายรถประจำทางอยู่เป็นแน่
ที่พักแห่งใหม่กว้างขวาง หรูหรา สะอาด แลดูปลอดภัยแต่เหงาจับใจไม่น้อย แม้ปรานต์จะมีเครื่องใช้สอยให้ความบันเทิงหลากหลายก็ตาม
ในเมื่อตอนนี้เธอไม่มีแม่คอยอยู่ข้างๆ อีกต่อไปแล้ว ใจก็มีแต่ความหดหู่ และเมื่อเห็นเงินจำนวนหนึ่งและแหวนทองในกระเป๋า ออกจะงงอยู่บ้างว่าของมีค่าพวกนั้นมาได้อย่างไร
แต่พอนึกถึงเหตุการณ์นั่นพลันเสียใจไม่หายที่มารดากล่าวหาว่าเธอให้ท่ายุทธนา สามีเด็กของท่าน พร้อมกับด่าว่าเธออีกด้วย
เสียงดังกุกกักจากประตูทำให้ต้องเลิกคิดเรื่องของตนเอง เมื่อเห็นว่าเป็นแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้ที่ในนี้
ด้วยความเกรงใจ เธอขออนุญาตทำความสะอาดห้องให้เขา
ปรานต์บอกว่าที่นี่มีคนทำแล้ว
เธอจึงขอทำอาหารให้เขารับประทานเมื่อเห็นว่าปรานต์มักอุ่นอาหารแช่แข็งกินเอง ทีแรกเธอเห็นเขาอ้าปากจะค้าน แต่แล้วก็ยิ้มอ่อนโยนพยักหน้ายินยอมให้ตามที่เธอขอ
ยังจำได้แม่นยำว่าเมื่อวานหลังจากตักอาหารฝีมือของเธอชิมไปได้คำหนึ่ง ก็ชมไม่ขาดปากแล้วตักกินจนหมดจาน
“ปกติผมไม่ค่อยได้กินอาหาร ‘สดๆ’ แบบนี้” เขาบอกแล้วมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
“นิ่มจะทำให้คุณปรานต์ทุกมื้อเลยค่ะ”
“ขอบคุณมาก แต่กลัวนิ่มจะลำบาก ผมให้มาพักด้วยไม่ได้อยากให้นิ่มทำอะไรตอบแทนแบบนี้นะ” ปรานต์ว่าด้วยถ้อยคำแปร่งๆ แต่เพราะไม่ได้คิดอะไรจึงถามเขากลับ
“นิ่มไม่ลำบากอะไรเลยค่ะ มีอะไรที่อยากให้นิ่มทำเพื่อตอบแทนบุญคุณของคุณปรานต์บอกนิ่มนะคะ นิ่มเกรงใจคุณปรานต์มากกว่า อยากย้ายไปอยู่ที่หอของมหาลัย จะได้ไม่รบกวนคุณปรานต์”
ปรานต์เบือนหน้าหลบสายตาจากเธอก่อนว่า
“อย่าไปเลย บอกตรงๆ ว่าผมเป็นห่วง”
คำว่าเป็นห่วงจากเขา ทำให้ปราณปริยาอบอุ่นขึ้นในหัวใจ แทบจะเรียกได้ว่าเขาเป็นคนอื่น แต่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงเธอ แล้วแม่เล่า แม่เคยนึกห่วงเธอบ้างไหม
คิดมาถึงตรงนี้ทีไร อดน้ำตาซึมไม่ได้ทุกที แล้วบอกตัวเองว่าให้เข็มแข็ง บางทีเธออาจเจอคนดีๆ บ้างแล้วก็เป็นได้
“ผมต้องรับผิดชอบนิ่มเพราะพามาอยู่แบบนี้แล้ว เลิกคิดเลยที่จะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เข้าใจไหม”
ว่าจบเขาส่งยิ้มให้เธอ ปราณปริยายิ้มตอบรับกลับไปเช่นกัน
ชนเดือนแล้วที่เธอพักอาศัยอยู่ที่นี่ ห้องชุดขนาดใหญ่และหรูหราย่านกลางเมืองของปรานต์ ทั้งยังไปทำงานที่ร้านอยู่ทุกวันไม่ได้ขาด ตอนนี้เธอได้เป็นพนักงานประจำของร้านแล้ว มีวันหยุดให้สัปดาห์ละวัน เงินได้รับเป็นเดือนทั้งยังได้ปรับขึ้นอีกด้วย
ส่วนปรานต์ เธอเพิ่งรู้ว่าเขาบริหารงานอยู่หลายแห่ง และต้องเข้าประชุมเกือบทุกวัน ไม่รู้ว่าเขาได้พักบ้างหรือเปล่า และวันหยุดที่จะถึงนี้เป็นวันหยุดแรกของเธอตั้งแต่ทำงานมา ไม่รู้ว่าปรานต์รู้ได้อย่างไร เขาเอ่ยชวนขึ้นในตอนเช้าหลังจากที่เดินพ้นห้องนอนของเขาที่อีกฟาก
“วันนี้ไปทำบุญกันไหม”
ปราณปริยากำลังจัดอาหารเช้าเป็นข้าวต้มปลากะพงทะเลวางไว้รอ เงยหน้าสบตาปรานต์ที่มองมาอยู่แล้วก็ให้สงสัยเล็กน้อยก่อนถามกลับ
“ทำบุญหรือคะ”
“ใช่ ไปทำบุญกัน วันนี้ผมหยุด”
“วันนี้นิ่มก็ได้หยุดค่ะ”
เธอบอกเสียงเบา เพราะตั้งใจว่าจะไปดูมารดาเสียหน่อย ท่าทางจึงดูลังเลไม่กระตือรือร้นอยากไปตามคำชวนของปรานต์ ตั้งแต่วันที่ท่านตวาดไล่เธอออกมา ก็ไม่ได้ย่างกรายไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลย อารมณ์เสียใจ ผิดหวังยังคงอยู่ แต่ความคิดถึงที่มีให้มารดานั้นมากจนเธอทนไม่ไหว
ปรานต์กอดอกมองก่อนถามด้วยสีหน้าที่ชักไม่สบอารมณ์ เพราะท่าทางของเธอไม่ได้ตอบรับว่าอยากไปด้วยเลยแม้แต่นิด
“มีนัดที่ไหนหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ” ว่าแล้วส่งยิ้ม ก่อนบอกเขาไป “แต่นิ่มว่าจะแวะไปดู...แม่”
“ไปสิ”
ปรานต์ลอบระบายลมหายใจออกอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าที่เธอไม่มีท่าทีอยากไปด้วยนั่นเพราะอยากไปหามารดาของตนนั่นเอง และวันนี้เขาขับรถด้วยตัวเอง ปกติตงจะเป็นสารถีให้เสมอ แต่วันนี้เขาบอกว่าเป็นวันหยุดของตงเช่นกัน วันที่ปรานต์ได้หยุด ตงก็จะได้หยุดพักผ่อนเหมือนกับเขา
พาปราณปริยาแวะที่บ้านเช่าหลังที่มารดาพักอยู่กับนายยุทธนา แต่เมื่อเห็นว่าบ้านปิดเงียบ รออยู่ครู่หนึ่งนึกเกรงใจปรานต์ จึงบอกว่าไว้วันหลังเธอค่อยมาอีกที
ปรานต์ถึงได้พาขับไปยังวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งติดคลองสายสำคัญในมหานคร ที่ซึ่งเรียกได้ว่าหายากเต็มทีในเมืองใหญ่เช่นนี้ หลังจากได้ทำบุญ สนทนาธรรมกับพระภิกษุรูปหนึ่งแล้ว ก็ให้ตกใจที่เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน
“หิวหรือยัง”
เมื่อได้อยู่ด้วยกันเกือบเดือน กำแพงแห่งความแปลกหน้าก็ค่อยๆ ทลายลง ปราณปริยาสามารถพูดคุยบอกความต้องการกับเขาได้อย่างตรงไปตรงมา แม้ไม่ทุกเรื่องแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อแรกเจอมากนัก
“เริ่มหิวแล้วค่ะ”
แล้วนึกขึ้นได้บอกเขา
“เราหาอะไรง่ายๆ กินในห้างได้ไหมคะ พอดีว่าของในห้องหมดแล้วค่ะ จะได้แวะที่เดียวเลยไม่ต้องเสียเวลาด้วย”
“ได้”
ปรานต์เป็นคนที่กินอยู่ง่ายจนผิดวิสัยของคนมีอันจะกินในอุดมคติของปราณปริยา เธอเสนอให้กินอาหารฟาสต์ฟู้ดด้วยกันเขาก็ไม่ว่าอะไร แถมยังเป็นคนต่อแถวซื้อให้อีกด้วย พออิ่มหนำดีแล้วถึงลงไปยังชั้นล่างที่เป็นซุปเปอร์มาร์ตเพื่อเดินซื้อของใช้ในห้องที่พร่องไปจนครบถ้วนดี ปรานต์หยุดมองเธอทั้งตัวก่อนถาม
“ซื้ออะไรอีกไหม”
“ไม่ค่ะ ครบหมดแล้ว” เธอหมายถึงของใช้ที่จำเป็นในห้องพักของเขา ส่วนของใช้ส่วนตัวของตัวเอง ปราณปริยาไม่ได้ซื้อหามาด้วย อาศัยวันที่ไปมหาวิทยาลัยแล้วแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ จัดแจงซื้อกลับมาที่ห้องด้วยเงินตัวเอง ไม่เคยปริปากเรื่องนี้กับปรานต์ เท่านี้เธอก็รบกวนเขามากจนเกินไปแล้ว
“หาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่หน่อยดีไหม”
ปรานต์แนะด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยออกนักว่าเขารู้สึกเช่นไร แต่แล้วปราณปริยาก็ยังยืนกรานความตั้งใจของตนเอง
“เสื้อผ้านิ่มเยอะเลยค่ะ ที่มีนั่นก็ใส่แทบไม่ทันแล้วนะคะ”
คนใจป๋ามองหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนด้วยสายตาเกือบเย็นชานิดๆ เขาไม่ใคร่ชอบใจนัก ทั้งยังเสียดายอยู่ไม่น้อยที่หุ่นอย่างปราณปริยาจะใช้อาภรณ์ปิดมิดชิดแบบนี้ อดจินตนาการถึงเสื้อผ้าในแบบที่อยากให้เธอใส่ไปพลางไม่ได้
แต่แล้วก็แต่ถอนใจ ถึงเวลาที่เขาจัดการเธอได้เมื่อไรก่อนเถอะ จะจับให้ใส่แต่ชุดที่เขาเห็นว่าสวยเท่านั้นเลยเชียว พวกเสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนมอซอแบบนี้เขาจะกวาดทิ้งไม่ให้เหลือสักชุด
เมื่อไม่คิดจะซื้ออะไรอีก จึงพากันกลับยังที่พักในเวลาต่อมาทันที ปรานต์บอกเมื่อวางสารพัดข้าวของที่หาซื้อกลับห้องในมือลงบนโต๊ะแล้ว
“ผมจะออกไปข้างนอก”
“ค่ะ” รับคำแล้วหันกลับมาเก็บของเข้าในตู้ดังเดิม ไม่ทันได้เห็นสายตาของปรานต์ที่มองมายังตนเองด้วยท่าทีครุ่นคิด พอนึกอะไรได้ค่อยหันมาถามพร้อมรอคำตอบจากเขา
“คุณปรานต์จะรับมื้อเย็นเป็นอะไรดีคะ”
“ไม่ต้องเตรียมมื้อเย็นให้ผม ผมอาจกลับดึกหน่อย ถ้าหิวก็จัดการได้เลยไม่ต้องรอ”
ปรานต์รู้ว่าตนเองกำลังงุ่นง่าน เขาเหมือนแมวที่อยู่ใกล้ปลาย่างแต่กินไม่ได้ มันผิดวิสัยของเขาเกินไป แล้วเลยออกให้ห่างจากห้องของตนเองที่มีปลาย่างชิ้นนั้น ตัดสินใจตรงดิ่งไปที่ร้านของเพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือกันในสายธุรกิจ สนิทชิดเชื้ออยู่มากพอควร
“ไงครับคุณปรานต์น้องรัก วันนี้แวะมาได้นะ”
“สวัสดีครับพี่ภพ”
ปรานต์ยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนถูกสวมกอดจาก ‘ภพ’ ชายที่อายุมากกว่าตนเองเกินรอบอย่างอบอุ่นเป็นมิตร
‘ภพ’ อยู่ในตระกูลนักการเมืองมีชื่อเสียง ปู่ และ พ่อ ของอีกฝ่ายอยู่ในเส้นทางสายนั้น แต่ภพไม่ดำเนินรอยตามใคร กระนั้นก็ค่อนข้างกว้างขวางมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย
อีกคนที่นั่งอยู่กับภพด้วยนั้นเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจของชายแก่วัยกว่าที่ปรานต์ไม่สนิทด้วยเท่าไร ชื่อภูดิท ภูดิทมีธุรกิจสีเทาและดำมืดหลายอย่างที่เคยออกปากบอกภพให้ห่างเอาไว้ ดีกว่าจะเข้าไปสนิทคบหาด้วย แต่ภพก็ทำเฉยเสีย ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำเตือนของเขาแต่อย่างใด
ส่วนปรานต์ และ ภพ ทำธุรกิจร่วมที่ต่างพึ่งพากันอยู่สามถึงสี่บริษัท ระดับความสัมพันธ์ค่อนข้างแน่นแฟ้นพอควร ทันทีที่ได้เพ่งพิศเพื่อนรุ่นน้อง ภพที่ข้างกายมีสาวร่างอิ่มเต็มมือคอยคลอเคลียไม่ห่างเอ่ยปากทักอย่างเป็นห่วง
“ทำไมหน้าตาดูเครียด”
หญิงงามแม้อยู่ในอ้อมกอดของภพ แต่ปรายตามองให้ท่าปรานต์เห็นได้ชัดเจนไม่สงวนท่าที ชายหนุ่มทำเฉยอย่างไม่นึกสนใจให้ราคาใดๆ เพราะปกติแล้วผู้หญิงของใครของคนนั้น ไม่เคยมีที่ปรานต์และภพจะยุ่งเกี่ยวผู้หญิงคนเดียวกัน
ภพเองก็รู้ว่าหญิงสาวที่เขายกขึ้นมาใช้บริการมีท่าทีสนใจปรานต์ แต่ก็เฉยเสีย แค่ให้ความสุขบนเตียงไม่ได้เอามาทำเมีย ไม่ต้องซื่อสัตย์ต่อกันก็ได้
“ก็แค่...เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ”
ปรานต์ว่าเท่านั้น แต่ภพพอดูออกว่าชายรุ่นน้องที่เขายกย่องว่าเก่งฉกาจเรื่องบริหารงานมีเรื่องรบกวนจิตใจ จนดูไม่ค่อยปกติสุขอย่างทุกทีที่พบเจอ และค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าไม่น่าใช่เรื่องงาน จึงเลือกย้ายมานั่งใกล้ๆ เมื่อดื่มเข้าไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ปรานต์ถึงได้เริ่มระบายสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาให้อีกฝ่ายฟัง
“ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันตีกันมั่วไปหมดแล้ว ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสงสารใครได้แบบนี้เลยครับพี่ภพ”
“ทั้งๆ ที่คุณปรานต์ไม่ใช่คนขี้สงสารแบบนั้น พี่เข้าใจถูกไหม”
ไม่วายสัพยอกกลับด้วยนิสัยเป็นคนช่างเย้า ปรานต์หัวเราะหึออกมา เขาเองยังนึกขำถึงข้อนี้อยู่เหมือนกัน ภพหัวเราะก้องร้านเอ่ยปลอบ
“อย่างนี้แหละ เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ก็ต้องทำใจ”
“ผมไม่ได้อยากเลี้ยงแบบนั้นหรอกน่าพี่ภพ”
“พี่เข้าใจ แล้วนี่คุณปรานต์จะทำยังไงต่อครับ” ภพถามยิ้มๆ ปรานต์ถอนใจตอบออกไปตามตรง
“ผมแค่อยากได้เด็กคนนั้นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนผู้หญิงคนอื่น แต่...” บอกอย่างเปิดอก สับสนไม่น้อย ภพออกปากขัดขึ้นเมื่อพอรับรู้ถึงสภาวะจิตใจของอีกฝ่าย นึกอยากเห็นผู้หญิงที่ทำให้นักล่ากลายร่างเป็นนักบุญขึ้นมาตงิดๆ
“อย่าลืมนะว่ายังมีคุณจ๋าที่ผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้แต่งงานด้วยน่ะ”
ปรานต์ส่ายหน้าอย่างเอือมๆ นี่ก็อีกเรื่องที่ทำให้ปรานต์เหนื่อยหน่ายใจ “ผมจัดการได้น่าพี่ภพ ผมจะเลี้ยงเขาไว้เงียบๆ ต่างคนต่างอยู่กับจ๋า ไม่มีปัญหาหรอกครับ”
“พูดยังกับว่าเด็กนั่นจะยอมง่ายๆ ฟังจากที่เล่านี่ พี่ว่าคุณปรานต์เจองานยากแล้วล่ะ”
“ผมทำให้ง่ายได้ก็แล้วกัน”
“ครับ พ่อคนเก่ง งั้นคืนนี้ไม่ต้องเอาสาวๆ ของพี่ไว้แก้เหงาแล้วสิใช่ไหม”
“เอามาหน่อยก็ดีครับ”
“โธ่...ราคาคุยนี่นา”
“มันยังไม่ใช่วันนี้ไงพี่ แต่ไม่นานนี้หรอกครับ ผมคงไม่แวะมาใช้บริการที่นี่แล้ว”
“โอเคเดี๋ยวพี่จัดการให้”
ภพเอนหลังจนพิงกับเบาะ พร้อมส่งสายตาถามปรานต์ ว่าจะเอาหญิงสาวที่นั่งปรายตาให้นี่ไหม ปรานต์ส่ายหน้าน้อยๆ ส่งสายตาเป็นคำตอบที่ต่างก็รู้ใจกันดี บอกให้รู้ว่าไม่
เขาและภพเคารพต่อกัน ไม่ก้าวก่าย ไม่ใช้ของร่วมกัน แม้แต่ผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน แม้จะชอบมากอยากได้แค่ไหน ปรานต์และภพไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้แม้เพียงครั้งเดียว
ชายแก่อาวุโสกว่าหัวเราะเบาๆ เกลี่ยนิ้วรอบไหล่มนของสาวในอ้อมกอดอย่างปลุกเร้าอารมณ์ด้วยส่วนหนึ่ง กระซิบสั่งงาน
“ไปบอกศิวาให้ป๋าที เตรียมห้องให้คุณปรานต์หน่อย”
หญิงสาวในอ้อมกอดผละออกอย่างเชื่องช้า ตอบรับยั่วยวน
“ค่ะป๋า”
“แล้วรอป๋าที่ห้องเลย ไม่ต้องลงมาแล้ว”
ใบหน้าสวยจัดของเจ้าหล่อนออกบึ้งนิดเดียว แล้วรีบปรับสีหน้าใหม่ ผละจากไปด้วยความเสียดายไม่น้อย ภพก็เงินหนาดีอยู่หรอก แต่หากมีที่ดีกว่านั้นเช่นปรานต์ หล่อนก็อยากทอดสะพานยาวๆ ให้เขาก้าวขาข้ามมา แต่สมองอันน้อยนิดไม่มีทางตามทันว่าชายแบบนั้นหรือจะคว้าผู้หญิงอย่างเธอมากินต่อจากคนอื่น
หลังได้ปลดปล่อยความต้องการทางเพศไปแล้วปรานต์ค่อยสงบลง เขากลับมาที่ห้องของตนเองในตอนล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว