นางปีศาจ! ข้าอยากจะจับเจ้ามาถลกหนังเสียให้สมกับความแค้นของข้านัก!
ไม่เพียงแต่จ้าวเยว่ถิงหรอกที่ขุ่นแค้น หยางซือโฉวเองก็แค้นนางไม่แพ้กัน ตั้งแต่ที่ร่วมหลับนอนกับนางโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะต้องพิษว่านเสน่หา เขาก็ไม่อาจออกไปข้างนอกได้เฉกเช่นปกติ สำหรับสตรีแล้ว อาการกำหนดอาจเกิดขึ้นเพียงยามราตรี ทว่าสำหรับบุรุษเพศ เรียกได้ว่าแทบจะทุกๆ ชั่วยาม เขาพยายามบรรเทาอาการครั่นเนื้อครั่นตัวทุกวิถีทางแล้ว ทั้งเดินลมปราณ ทั้งสกัดจุด และอีกสารพัดวิธี เรียกได้ว่าหากนักพรตปราบมารช่วยเขาได้ เขาก็คงไม่รอช้าที่จะเรียกมาแล้ว นี่ก็เพิ่งจะไปหาท่านหมอที่ได้ชื่อว่าปราดเปรื่องที่สุดในแคว้นอิ้งมา ไปเปลื้องผ้าให้ท่านหมอได้ตรวจทวารทั้งห้าให้เป็นที่น่าอับอายแต่ก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ผ่านมาร่วมสัปดาห์ อาการก็ยังไม่ดีขึ้น หนทางเดียวที่ช่วยบรรเทาอาการได้ในตอนนี้คือการปลดปล่อยตามวิธีธรรมชาติเพียงเท่านั้น
หยางซือโฉวไม่ต้องการให้ลำบากหญิงคณิกา หรือพูดก็พูด เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมารับรู้ว่าตนต้องพิษจากฝีมือของฮูหยินฮุ่ย ทว่าการปลดปล่อยด้วยตนเองคงไม่มากพอจะทำให้เขาสงบอาการกำหนัดได้กระมัง ร่างกายถึงได้เรียกร้องไม่หยุดหย่อน เขาเสียน้ำในร่างกายจนลำคอของเขาแห้งผากราวกับขาดน้ำมาแรมปีจนจะแห้งตายอยู่แล้ว
สุดท้ายก็ไม่อาจทนไหว จำต้องเรียกหญิงคณิกามาช่วย เมื่อหญิงคณิกาในโรงเตี๊ยมนางหนึ่งถูกเรียกตัว นางก็ยินดีปรีดา คิดเอาว่าตนมีโอกาสจะมัดใจเจ้าของโรงเตี๊ยมหนุ่มและอาจจะได้เชิดหน้าชูคอเป็นฮูหยิน ไม่ต้องทำงานต่ำช้าเช่นนี้อีก แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อหยางซือโฉวหาได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อนางแม้แต่น้อย
ไม่มีใจปฏิพัทธ์ไม่ว่า ไม่มีอารมณ์จะร่วมเสพสุขสมกับนางด้วย แม้นางจะเปลื้องผ้า ร่างกายอวบอัดเย้ายวนตระการตาเพียงใด เขาก็เกิดตายด้านขึ้นมา ไม่ใคร่จะแตะต้องผิวกายของนางแม้แต่น้อย ในหัวของเขามีแต่ภาพใบหน้าของสตรีปีศาจผู้นั้นให้คะนึงถึง ยิ่งคิดถึงผิวกายเนียนละเอียดของนาง น้ำเสียงหวานเย้ายวน เรือนร่างชวนเสน่หา เขาก็หมดความปรารถนาในตัวหญิงคณิกาจนต้องไล่นางกลับออกไป
แม้แต่ในยามนี้ก็ตามอาฆาตเขาเช่นนั้นหรือ!?
หยางซือโฉวยกมือขึ้นทึ้งเส้นผม หมดปัญญาจะจัดการกับตนเอง ครั้นเหลือบมองเห็นกลางลำตัวมีปฏิกิริยา เขาก็หัวเสีย หากเขาใจกล้ากว่านี้อีกสักหน่อย คงจะพุ่งไปคว้ากระบี่มาตัด...ทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะเขายังอยากลิ้มรสความหฤหรรษ์เยี่ยงบุรุษอยู่จึงได้แต่ก่นด่าสตรีต้นเหตุพึมพำเท่านั้น
บ่นไปก็เดินวนไปมา หงุดหงิดงุ่นง่าน
“นางปีศาจจิ้งจอก หากข้าเจอเจ้าอีกครั้ง ข้าจะ...”
เอ่ยยังไม่ทันจบประโยค เสียงเรียกของเสี่ยวเอ้อก็ดังขึ้นจากทางด้านนอก หยางซือโฉวส่งเสียงถาม
“มีธุระอันใด!” บ่งบอกชัดเจนว่าหงุดหงิด
เสี่ยวเอ้อตอบกลับอย่างร้อนรน “มะ...มีแขกต้องการพบนายท่านขอรับ”
“วันนี้ข้าไม่รับแขก” หยางซือโฉวปฏิเสธแทบไม่ต้องหยุดคิด
เสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านนอกลำบากใจขึ้นมาทันควันด้วยเขาถูก ‘แขก’ ผู้นี้กดดันเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
“แต่ว่านางต้องการพบท่านให้ได้”
ได้ยินสรรพนามเช่นนั้น หยางซือโฉวก็เบิกตาโต
นาง... คำกล่าวเรียกสตรี
หรือว่าจะเป็น...?
ชายหนุ่มก้าวอาดๆ ไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว ครั้นบานประตูอ้าออก ก็เห็นนางปีศาจจิ้งจอกจำแลงกายมายืนอยู่ตรงหน้าดังคาด วันนี้นางยังคงดูงดงามไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้พบ หากแต่ความรู้สึกในการพบเจอต่างกันออกไป ครั้งแรกเห็นว่านางน่าเชยชม ครั้งนี้กลับเห็นว่านางน่า...ฆ่าทิ้งนัก!
กระนั้นก็แสร้งยกยิ้ม ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี
“มาหาข้าถึงที่เช่นนี้ คงมีธุระสำคัญ เชิญฮูหยินฮุ่ยข้างในก่อน”
จ้าวเยว่ถิงก้าวเข้ามา เมื่อบานประตูปิดลง นางก็ถูกเชื้อเชิญให้นั่งลงยังเบาะนุ่ม ขณะที่หยางซือโฉวทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้าม คว้าถ้วยมารินน้ำชาส่งให้นาง
“มีธุระอันใดกันหรือฮูหยิน” รินไปก็ถามไป
จ้าวเยว่ถิงยังคงสงบนิ่งอย่างเคย ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ หยางซือโฉวเหลือบมองแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่านางช่างเป็นสตรีที่จองหองนัก โดยหารู้ไม่ว่าที่นางนิ่งเงียบอย่างนี้เป็นเพราะการแต่งกายไม่เรียบร้อยของเขา
สาบเสื้อรุ่มร่ามแหวกออกเผยให้เห็นแผงอก แม้จะเคยสัมผัสด้วยฝ่ามือ แต่ครานั้นนางก็หาได้มีสติสมประดี ครั้นได้มาเห็นชัดๆ ก็ประจักษ์ได้ว่าหยางซือโฉวมีความเป็นบุรุษเพศมากล้นเสียเหลือเกิน กล้ามเนื้อเหล่านั้นช่างเย้ายวนใจให้นางไม่อาจละสายตาเสียด้วย
คงจะจ้องนานไปหน่อยกระมัง หยางซือโฉวถึงได้สังเกตเห็นจนต้องเอ่ยทัก
“เลิกกินเต้าหู้ข้าได้แล้ว จะจ้องทำไมนักหนา”
จ้าวเยว่ถิงสะดุ้งเล็กน้อย...เล็กน้อยเท่านั้น แทบไม่ออกอาการ ก่อนเชิดปลายคางขึ้น ว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ข้าก็แค่สำรวจว่าชายบำเรอของข้าสึกหรอตรงไหนบ้างหรือไม่”
เสียงหัวเราะในลำคอของหยางซือโฉวดังมาให้ได้ยิน “เจ้าต่างหากที่สึกหรอ”
“ท่านเป็นผู้ถูกกระทำ หาใช่ข้า ไยข้าจึงต้องสึกหรอกัน”
เถียงทุกถ้อยคำ!
หยางซือโฉวอยากจะจับนางมาตีสั่งสอนให้ตายนัก ทว่าก็ทำได้แค่พ่นลมหายใจออกมา แล้วเข้าเรื่อง
“อย่าได้อ้อมค้อมเลยดีกว่า พูดมาเถิดว่ามาหาข้าด้วยการใด”
ในเมื่อเปิดทางมาเช่นนี้ จ้าวเยว่ถิงก็ไม่เล่นลิ้น นางว่าตามตรง
“ข้าต้องพิษว่านเสน่หาเช่นเดียวกับท่าน”
“แล้ว?”
“ข้าจำต้องรอยาถอนพิษในช่วงฤดูเหมันต์”
“เจ้ามาบอกข้าทำไม” หยางซือโฉวไม่เข้าใจนัก นางต้องพิษหรือรอยาถอนพิษ มันก็เรื่องของนาง เกี่ยวข้องอันใดกับเขา
“ระหว่างที่รอ อาการกำหนัดจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืน ท่านรู้ข้อเท็จจริงนี้หรือไม่”
หยางซือโฉวไม่ตอบ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบทีละน้อย จ้าวเยว่ถิงถือว่าเขารับรู้แล้ว พลันสายตาก็เหลือบมองไปยังร่างกายช่วงล่างของคนตรงหน้า แม้ไม่เห็นชัดเจนแต่นางก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้เขามีอาการเช่นไร
“ท่านเองก็คงจะชูชันตลอดเจ็ดราตรีที่ผ่านมา”
พรู่ด!
หยางซือโฉวสำลัก พ่นน้ำชาที่จิบเข้าไปออกมาทันควัน นางกล้าพูดออกมาโดยไม่รู้สึกรู้สาเช่นนี้ได้อย่างไร มองหน้าจ้าวเยว่ถิงที่ไร้อารมณ์ใดๆ แล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจนัก
สตรีผู้นี้...ช่างประหลาดโดยแท้
“หากเจ้าจะเอาเรื่องยาถอนพิษมาเป็นข้อต่อรองประการใดก็จงพูดมาเถิด ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องอ้อมค้อม”
ได้ ในเมื่อไม่ต้องการให้นางอ้อมค้อม นางก็จะว่าไปตามตรง
“ข้าเกิดกำหนัด”
หยางซือโฉวแทบจะสำลักน้ำชาอีกระลอก ดีที่เขาไม่ได้กำลังจิบอยู่
“เจ้าหมายถึง...”
“การที่ข้ามาเยือนท่านถึงที่ในยามวิกาล คงจะชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นไปเพื่อจุดประสงค์อันใด” เอื้อนเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบจนน่ากลัว
หยางซือโฉวไม่เข้าใจสตรีผู้นี้เลยว่าคิดสิ่งใดอยู่ ยิ่งปล่อยให้นางได้พูด กลายเป็นเขาเสียอีกที่ทั้งตะลึงงัน ทั้งตกใจ ทั้งที่จริงแล้ว ในใจของจ้าวเยว่ถิงเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ใบหน้า ลำคอ และหน้าอกก็ร้อนวูบวาบด้วยความอับอาย นางไม่ใคร่จะทำเช่นนี้หรอก แต่นางอับจนปัญญาแล้ว แท่งไม้หรรษารูปร่างพิลึกคล้ายคลึงแก่นกายของบุรุษเพศที่พ่อค้าอาวุโสให้มา นางก็หาได้กล้าใช้ ครั้นจะกระทำด้วยตนเองก็ใช่ว่าจะประสานัก แม้การกระทำนั้นมันจะพอทำให้กำหนัดทุเลาได้ ทว่าก็ไม่สามารถบรรเทาได้มากเฉกเช่นการร่วมหลับนอนกับบุรุษตรงหน้า
ความจริงแล้ว นางจะให้บุรุษใดในคฤหาสน์มาปรนเปรอก็ย่อมได้ พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สินและรูปโฉม เพียงกระดิกนิ้วก็มีบุรุษใต้หลายอมศิโรราบให้ แต่เพราะนางยังไม่ประสากับเรื่องนี้นัก และเคยร่วมเสพสมกับหยางซือโฉวเพียงคนเดียว ดังนั้นการใช้เขามาเป็นยาบรรเทาอาการจะเป็นการดีกว่า
“จงทำหน้าที่ชายบำเรอของท่านเสีย”
รู้สึกตัวอีกคราก็ได้ยินหญิงสาวเอ่ยออกมาแล้ว
ไม่เพียงเอ่ย นางลุกขึ้นมาหาเขาแล้วด้วย จัดการผลักเขาให้ล้มลงไปนอน แก้ปมผ้าคาดเอวของตนออก ปลดเปลื้องอาภรณ์ทิ้งลงข้างกาย เหลือเพียงเอี๊ยมตัวบางปิดบังทรวดทรงเท่านั้น
ประเดี๋ยวก่อน!
หยางซือโฉวพรึงเพริด เขาควรจะยินดีที่มีหญิงงามมาปรนเปรอถึงที่ แต่ไม่รู้เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเขาต่างหากที่เป็นแกะน้อย หาใช่จ้าวเยว่ถิงไม่ อะไรไม่ว่า นางไม่สนใจจะไต่ถามใดๆ ด้วย เมื่อเห็นเขาตกอยู่ในความอึ้งงัน นางก็โน้มใบหน้าลงมาจุมพิตลำคอของเขา
“หยุดก่อนฮูหยิน!” หยางซือโฉวรวบรวมสติในท้ายที่สุด ผลักร่างบางออก
จ้าวเยว่ถิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ ว่าเร็วๆ “มีสิ่งใดก็รีบพูดมา”
“เจ้าเป็นหญิงพรหมจรรย์มิใช่หรือ ไยถึงได้ไม่ละอายต่อการกระทำบ้างเล่า” นึกถึงคราบโลหิตที่นางฝากเอาไว้ให้เขาขึ้นมาได้
จ้าวเยว่ถิงหน้าชาวาบ บุรุษตรงหน้าพูดถูกต้อง คงรู้แล้วว่านางไม่ได้ตบแต่งกับฮุ่ยเหอเพราะต้องการเป็นอนุจริงๆ
“เล่าให้ข้าฟังว่าเป็นมาอย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นหญิงพรหมจรรย์ ไม่เคยร่วมหลับนอนกับบุรุษใด เหตุใดถึงได้ถูกเรียกขานว่าเป็นฮูหยินฮุ่ย”
ไม่มีเหตุผลใดๆ ต้องปิดบัง จ้าวเยว่ถิงบอกเรื่องราวของนางออกไป
“ข้าตบแต่งเข้าสกุลฮุ่ยเพราะสามีภรรยาฮุ่ยเอ็นดูข้าประดุจลูกหลานสืบสายโลหิต คราแรกตั้งใจจะรับข้าเป็นบุตรบุญธรรมด้วยบิดาได้ฝากฝังข้าเอาไว้ในฐานะหลานของสหายเก่าก่อนหายตัวไป หากแต่บุตรชายเขากลับคิดร้ายต่อข้า ทำให้ข้าต้องตบแต่งเข้าเป็นอนุแทนด้วยผู้มีพระคุณทั้งสองคิดว่าหากข้าเป็นอนุ บุตรชายพวกเขาคงไม่กล้าทำอันตรายใด เรื่องมีเพียงเท่านี้”
เล่ารวบรัดแต่ชัดเจน หยางซือโฉวไม่สงสัยอีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาตระหนักได้คือความสำนึกผิด
หากนางเป็นหญิงพรหมจรรย์ เช่นนั้นบุรุษคนแรกของนางก็คือ...
หยางซือโฉวเม้มริมฝีปากแน่น ด่าทอตัวเองว่าเป็นชายชั่วช้าที่กลั่นแกล้งได้แม้กระทั่งสตรีตัวเล็กๆ ใส่ร้ายนางต่างๆ นานาไม่พอ ยังพรากความบริสุทธิ์ของนางไปอีก แม้ว่าความเป็นจริง นางต่างหากที่เป็นผู้เริ่มก่อนก็ตาม
หากแต่จ้าวเยว่ถิงไม่สนใจใดๆ แม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดก็เอ่ยถาม
“หมดข้อสงสัยแล้วใช่หรือไม่”
จะบอกว่าใช่ แต่ยังไม่ทันได้ปริปาก นางก็ถลาเข้ามาประกบจูบเสียอย่างนั้น หยางซือโฉวเบิกตาโพลงเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่อาจนับได้ ก่อนจะต้องสติเตลิดเมื่อปลายลิ้นเล็กๆ รุกรานเข้ามาในโพรงปากของเขา เกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นเขาไม่ต่างจากที่เขาทำกับนางเมื่อวานเลยแม้แต่น้อย
มือเล็กลากลูบไปบนแผงอกในสาบเสื้อ ครั้นถอนจุมพิต นางก็ลากไล้ริมฝีปากและใช้ปลายจมูกดอมดมกลิ่นกายเขาไปทั่วจนเขาตกอยู่ในภวังค์มนตร์สะกดของนางอย่างจำนน รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกผลักลงไปนอนราบโดยมีนางนั่งคร่อม ไม่ต่างอะไรจากเมื่อวานแม้แต่น้อย
“หากหมดข้อสงสัยแล้วก็จงนอนเฉยๆ อย่าเอ่ยขัดใดๆ ข้าจะรีบจัดการแล้วรีบไป”
ดูนางพูดเข้า ราวกับว่าเป็นบุรุษมากรักอย่างไรอย่างนั้น มิหนำซ้ำยังกระทำการเหิมเกริมโดยไม่สนว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร
หรือเขาจะต้องกลายเป็นชายบำเรอของจ้าวเยว่ถิงจริงๆ เสียแล้ว?