รีบร้อนนึกถึงใบหน้าของหญิงงามที่เคยร่วมหลับนอนตั้งแต่มาเยือนแคว้นอิ้งเป็นพัลวัน ก่อนจะตระหนักได้ว่านอกจากสตรีจากหอคณิกาแล้ว เขาก็หาได้เคยสมสู่กับสตรีมีสกุลที่ไหน อย่าต้องพูดถึงเรื่องสัมพันธ์สวาท ขนาดรู้จักกันยังไม่มี
หรือนางจะได้ยินชื่อเสียงเรื่องความหล่อเหลาของข้า ถึงได้มาเยือนถึงที่?
คิดเข้าข้างด้วยความหลงตนเองไปก่อนแล้ว ก่อนที่หยางซือโฉวจะเดินลงบันไดมาหยุดที่หน้าโต๊ะของสตรีนางนั้น พลันเอ่ยทัก
“มีธุระกับหยางซือโฉวผู้นี้ ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นลูกหลานสกุลใดกัน”
จ้าวเยว่ถิงชำเลืองมอง เห็นบุรุษในอาภรณ์ขาวสะอาด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำให้นางชะงักไปครู่ นี่น่ะหรืออดีตจอมยุทธ์พเนจร ท่าทางสำอางไม่ต่างจากพวกคุณชายไม่เอาการเอางานบางสกุลเลยสักนิด นับได้ว่าหยางซือโฉวชำระล้างตนเป็นคนใหม่ได้ราวกับเกิดอีกครั้งโดยแท้จริง
หากนางเป็นเช่นสตรีทั่วไปและไม่มีความแค้นใดต่อหยางซือโฉว คงอดหลงใหลกับรูปลักษณ์คนตรงหน้าไม่ได้อย่างแน่นอน ทว่าจุดมุ่งหมายของนางหาใช่ต้องการเห็นรอยยิ้มบนรูปหน้าหล่อเหลา นางต้องการมายุติศึกต่างหาก
“ข้าคือเยว่ถิง เป็นฮูหยินสกุลฮุ่ย”
จ้าวเยว่ถิงกล่าวออกไป เท่านั้นเสียงฮือฮารอบข้างก็ดังขึ้นด้วยไม่คาดคิดว่าฮูหยินฮุ่ยจะมาปรากฏกายในที่แบบนี้
หยางซือโฉวตะลึงงันไปครู่ เขาเคยได้ยินว่าฮูหยินหม้ายสกุลฮุ่ยยังอายุน้อย หากแต่ไม่คิดว่าจะงามสะพรั่งเช่นนี้ งามเสียจนทำเขาแทบหยุดหายใจไปเลยทีเดียว แต่การที่นางมาหาเขาถึงที่เช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ พอจะเดาได้ว่าเป็นเพราะข่าวลือที่เขาสั่งการให้คนใต้อำนาจปล่อยออกไป เพื่อที่จะทำให้นางอับอายและไม่กล้ามาดูแลโรงเตี๊ยม จะได้หมดคู่แข่ง แต่ไฉนเล่านางถึงได้กล้ามาเผชิญหน้ากับเขาโดยลำพังอย่างนี้
“ฮูหยินฮุ่ยมาหาข้าด้วยตัวเอง คงมีธุระสำคัญเป็นแน่ เชิญด้านบนเถิด” เมื่อคิดอย่างนั้นจึงประสงค์จะพูดคุยเป็นการส่วนตัว
เห็นหยางซือโฉวผายมือ จ้าวเยว่ถิงก็ผุดลุกขึ้นยืน ก้าวไปตามทางที่เสี่ยวเอ้อนำไป ท่าทางนิ่งสงบของนางนั้นให้ความรู้สึกเหมือนมีไอคุกรุ่นบางอย่างเผยออกมาให้เห็น ทำเอาคนมองอย่างหยางซือโฉวลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย หากนางมีวรยุทธ์ล่ะก็ ราตรีนี้โรงเตี๊ยมบุรุษไร้ใจคงได้พังพินาศเป็นแน่
หากแต่นางไร้ซึ่งวรยุทธ์ จ้าวเยว่ถิงเป็นเพียงสตรีไร้พิษสง เพียงแต่ท่าทางของนางน่าเกรงขามเท่านั้น เมื่อนั่งลงบนเบาะนุ่มและรอให้หยางซือโฉวนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม นางก็ว่าออกมาอย่างไม่รอช้า
“ข้ามาเยือนโรงเตี๊ยมของท่านก็เพื่อจะพูดคุยเรื่องข่าวลือ”
“ข่าวลือเรื่องที่เจ้าเป็นหญิงหม้ายมากรักน่ะหรือ?” หยางซือโฉวเลิกคิ้วสูง แสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนทั้งที่ในใจรู้ดี ก่อนจะแสร้งทำท่าตกใจอีกเล็กน้อย “ข้าต้องขออภัยที่พูดตรงไป ข้าหมายถึงข่าวลือที่ทำให้เจ้าต้องเสื่อมเสีย แต่ข้าก็ไม่แปลกใจนักหรอกว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกมองเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเจ้ายังสาวและงามสะคราญขนาดนี้ ก็คงจะพวกบุรุษที่หมายปองเจ้ากระมังที่ปล่อยข่าวชั่วพวกนั้น”
ว่าพลาง ชำเลืองมองรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวอย่างพินิจ ...งามจริงๆ เสียด้วย
“หากผู้อื่นได้เห็นข้าตลอดหลังจากที่สามีผู้ล่วงลับจากไป ข้าจะไม่แปลกใจหากถูกเอ่ยถึงในทางนั้น แต่ข้าหาได้เคยออกจากคฤหาสน์ไม่ แล้วผู้ใดกันจะรู้ว่าข้างดงามสะคราญโฉมจนเป็นที่ต้องตาของบุรุษ” จ้าวเยว่ถิงย้อนถาม สายตาจ้องมองใบหน้าคร้ามนิ่ง
หยางซือโฉวรู้ตัวในตอนนี้ว่าเดินหมากพลาด เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของนางมาก่อน ด้วยเขาเพิ่งจะเข้ามาตั้งหลักปักฐานในแคว้นอิ้งเมื่อปลายปีก่อน พวกเสี่ยวเอ้อและข้ารับใช้ รวมถึงหญิงคณิกาที่มาใช้โรงเตี๊ยมของเขาในการหาแขกเหรื่อเองก็หาได้เคยเห็นนางเช่นเดียวกันแม้ว่าจะอาศัยอยู่ในแคว้นนี้
การถูกจับได้ทำให้ผู้ปล่อยข่าวลือเสื่อมเสียหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“เจ้าก็เลยคิดว่าเป็นฝีมือข้า?”
จ้าวเยว่ถิงไม่ตอบ เพียงเหยียดยิ้มขึ้นมาเป็นการตอบรับ
“เจ้าคงเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของเงินทอง ในเมื่อโรงเตี๊ยมของข้าเพิ่งเปิดใหม่และมีคู่แข่งอย่างโรงเตี๊ยมสกุลฮุ่ย มันก็ต้องใช่เล่ห์กลกันหน่อย” ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าปฏิเสธไปก็จะกลายเป็นว่าหาข้อแก้ต่างไปข้างๆ คูๆ เพราะดูจากท่าทางของหญิงสาวแล้ว นางคงไม่ใช่สตรีไร้ปัญญา รู้จักพูดเช่นนี้ ในใจนางคงมีแผนการอื่นๆ อีกมาก ดีไม่ดีนางอาจจะส่งคนไปสืบเสาะมาแล้วว่าต้นเหตุคือเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงที่อย่างนี้
“ถึงได้ใช้วิธีสกปรกเช่นนี้” จ้าวเยว่ถิงเปรยราวกับไม่ต้องการคำตอบใด ก่อนจะตวัดดวงตามองชายหนุ่มอย่างเหยียดหยัน “ช่างสมกับที่เป็นอดีตจอมยุทธ์ไร้หัวนอนปลายเท้า” เลี่ยงที่จะไม่พูดว่า ‘พเนจร’ อีกด้วย นั่นจะเป็นการให้เกียรติไป
หยางซือโฉวกลั้วหัวเราะ นางช่างปากคอเราะร้ายนัก นึกสนุกไม่น้อยที่ได้เจอสตรีประเภทนี้
“แต่ตอนนี้ข้าเป็นเถ้าแก่หยางแล้ว เจ้าจะเรียกข้าเหมือนกับที่คนอื่นๆ เรียก ข้าก็หาได้ถือสา” เขาว่า “แล้วเจ้ามาหาข้าด้วยธุระเรื่องอันใดกันแน่” จากนั้นก็เข้าเรื่อง
“ข้าต้องการมายุติศึก” จ้าวเยว่ถิงไม่อ้อมค้อม คำพูดของนางทำเอาอีกฝ่ายจ้องมองทันควัน “ท่านก็รู้ใช่หรือไม่ว่าโรงเตี๊ยมของเรามีปัญหากันบ่อยครั้ง คนของท่านกับข้าต่างมีเรื่องกระทบกระทั่งวิวาทกันอยู่เรื่อย ข้าไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกจึงมาเพื่อเจรจา”
วิถีสตรี... หยางซือโฉวรู้ดีว่าอิสตรีไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งสักเท่าไร เขาเองก็ไม่อยากจะมีปัญหากับนางหรอก หากนางเป็นบุรุษ เขาคงท้าประลองไปแล้ว แต่นี่นางเป็นสตรี ควรเก็บเอาไว้เชยชมจะดีกว่า โดยเฉพาะสตรีที่งามดุจบุปผาเซียนเช่นนี้
ใคร่คิดจะเด็ดบุปผางามมาดอมดม แม้จะรู้ว่าจ้าวเยว่ถิงคงไม่ยินยอมง่ายๆ หากทว่าก็หมายจะลองตามประสาบุรุษเจ้าสำราญ
“ถ้าเช่นนั้นเรามาร่ำสุราไป คุยกันไปเถิด” ว่าพลางรินสุราใส่จอกแล้วส่งให้หญิงสาว
จ้าวเยว่ถิงอยากจะปฏิเสธว่านางไม่พิสมัยการดื่มของมึนเมา หากแต่แสร้งทำเฉย ได้แต่มองหยางซือโฉวกระดกน้ำสีใสลงคอ
“เจ้าอยากพูดอันใดก็พูดเถิด” เมื่อกระดกดื่มสุราได้จอกหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
“ข้าอยากให้ท่านแก้ข่าวว่าแท้จริงแล้วโรงเตี๊ยมที่เป็นเสมือนหอคณิกาคือโรงเตี๊ยมของท่าน หาใช่โรงเตี๊ยมสกุลฮุ่ย” จ้าวเยว่ถิงว่าออกไปตามตรงอีกครั้ง
“เท่านี้หรือ?”
จ้าวเยว่ถิงพยักหน้า ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะร่วน
“นี่เจ้าขุ่นเคืองที่ข้ากล่าวหาโรงเตี๊ยมสกุลฮุ่ย หาได้ขุ่นเคืองเรื่องที่ข้ากล่าวหาว่าเจ้าเป็นหญิงหม้ายมากรักหรือ?”
จะปฏิเสธว่าไม่ก็คงจะเป็นการโกหก แต่มันหาได้สลักสำคัญไปกว่าการที่สกุลฮุ่ยถูกทำให้เสื่อมเสีย จ้าวเยว่ถิงจึงให้คำตอบเป็นความเงียบงัน ก่อนที่หยางซือโฉวจะรินสุราใส่จอกแล้วผุดลุกขึ้นยืน
“โรงเตี๊ยมของข้าเปิดขึ้นให้บรรดาบุรุษผู้เดียวดายได้เข้ามาหาความสุข เจ้าอาจจะเห็นว่ามันช่างคล้ายหอคณิกา หากทว่าความเป็นจริงแล้ว หญิงงามเหล่านั้นเป็นประหนึ่งเทพธิดาที่มีเมตตา ลงจากสวรรค์ชั้นฟ้ามาสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้คนเหล่านั้นด้วยความเต็มใจ หากจะเรียกขานพวกนางด้วยคำใด ก็ควรจะเรียกว่าเหล่าเทพธิดาหรือบุปผางาม มากกว่านางคณิกา”
เขาพูดไปเรื่อย คำพูดของบุรุษตรงหน้าหาได้เข้าหูจ้าวเยว่ถิงไม่ นางเหลือบมองร่างกำยำที่จับมือไขว้หลังแล้วเดินไปมาราวกับผู้มีปัญญา นางก็ทำได้แค่ลอบหมั่นไส้ในใจ
จะแก้ต่างหรือหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองอย่างไร แต่สิ่งที่นางเห็นก็หาได้ผิดไปจากหอคณิกา
นางอยากโต้เถียง แต่กลับไม่ทำด้วยเห็นว่าสบโอกาสทำตามแผน นางจึงใช้มือเรียวล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ คว้าห่อว่านเสน่หาออกมา เมื่อได้จังหวะ เห็นว่าหยางซือโฉวเผลอ ก็เทผงว่านลงในจอกสุราของเขา ใช้ปลายนิ้วก้อยคนให้เข้ากันด้วยเวลาเพียงหนึ่งช่วงหายใจ ในเมื่อเขาไม่ยอมรับง่ายๆ และสำนึกในการกระทำของตนก็ต้องใช้แผนนี้ นางได้ลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าไม่เขาก็นางที่จะต้องเห็นดีกัน
“แม้เจ้าจะงามงด เป็นถึงคุณหนูตระกูลคหบดีเก่าและเป็นฮูหยินสกุลฮุ่ย เจ้าก็หาได้มีสิทธิ์ดูถูกเหยียดหยามพวกนาง ความงามของเจ้าจะถูกลดทอนเมื่อเจ้าเอ่ยถึงผู้ใดก็ตามในเชิงดูถูก”
ประโยคนี้ก็ไม่ได้ฟังเช่นกัน ในหัวของจ้าวเยว่ถิงมีแต่แผนการที่วางไว้ พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอดีตจอมยุทธ์อย่างหยางซือโฉวต้องมีความระมัดระวังตัวสูงแน่ ยิ่งนางไม่ได้มาดี เขายิ่งต้องระแวง หากนางเชิญชวนให้ดื่มสุรา เขาจะต้องปฏิเสธโดยอ้อม หรือไม่ก็คงจะสลับจอกสุรากับนาง เพื่อจะได้ไม่พลาด นางจึงเทว่านเสน่หาลงในจอกสุราของตนมากกว่าในจอกสุราของหยางซือโฉวเป็นเท่าตัวด้วย ใช้ปลายนิ้วก้อยคน เสร็จสิ้นก็เทส่วนที่เหลือลงในจอกสุราของหยางซือโฉวอีกคราจนหมดด้วยเกรงว่าจะไม่ได้ผล
ครั้นหยางซือโฉวหันมา นางก็จัดการวางยาเสร็จสิ้น นั่งนิ่งเสมือนไร้สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อย
“เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เรียวปากสีสดสวยแย้มยิ้มทันควัน “ข้าเข้าใจดี”
ช่างเป็นการสวมหน้ากากที่รวดเร็วเสียเหลือเกิน
หยางซือโฉวตรงมานั่งทรุดตัวตรงหน้านางอีกครา
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็เบาใจ ข้าไม่ใคร่ให้ความงามของเจ้าต้องลดลงเพราะคำพูด”
“ข้าจะเป็นเช่นไรไยท่านต้องสน ตอนนี้ท่านมาร่ำสุรากับข้าให้สบายใจเถิด” เป็นอีกครั้งที่จ้าวเยว่ถิงไม่ได้ฟัง ชักชวนให้ดื่มสุราต่อเสียอย่างนั้น
หยางซือโฉวหรี่ตามอง แม้ท่าทางของหญิงสาวจะไม่ได้เป็นไปอย่างคะยั้นคะยอ ทว่าเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
นางช่าง... ยิ้มเก่งจนดูผิดปกติ
คราแรกที่ปรากฏกายในโรงเตี๊ยม ใบหน้าบูดบึ้งปั้นปึ่งประหนึ่งเขาไปฆ่าสุนัขในคฤหาสน์คหบดีตาย ทว่าตอนนี้กลับส่งยิ้มให้เขาไม่ต่างจากคนสติไม่สมประดี กิริยาเช่นนี้มันน่าสงสัย เขารู้ตัวว่าตนหล่อเหลากว่าบุรุษใดในหล้า การถูกหญิงงามยั่วยวนเช่นนี้เผชิญมานักต่อนักแล้ว ไยจะดูไม่ออกว่าการเชิญชวนของสตรีตรงหน้าหาได้เป็นการยั่วยวน หากแต่เป็นการคิดร้ายอะไรบางอย่าง
หยางซือโฉวเดาจุดประสงค์ไม่ออกจึงได้แต่นั่งนิ่งไปครู่ จ้าวเยว่ถิงเกรงแผนจะล่ม พลันก็ยกยิ้มมากกว่าเดิม ชม้ายดวงตาหวานฉ่ำว่าเย้า
“ท่านเกรงว่าข้าจะลอบวางยาพิษท่านหรือ? ข้าเพิ่งรู้ว่าบุรุษเช่นท่านกลัวสตรีตัวเล็กๆ อย่างข้าด้วย”
หยางซือโฉวหัวเราะในลำคอ นางช่างมีลูกเล่นในการพูดหลอกล่อนัก
“ข้าหาได้กลัวเจ้าไม่ เจ้าสิที่ต้องกลัวข้า เป็นเพียงลูกแกะ ริอ่านมาเผชิญหน้ากับหมาป่า ไม่ถูกกลัวจับกินหรือไร”
“หากท่านจะจับข้ากิน ข้าก็ยินดี ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นหญิงหม้ายชั่วช้า สมสู่กับบุรุษมากหน้าหลายตาอย่างที่ท่านกล่าวหาอยู่แล้ว” พูดประโยคนี้ทั้งที่ยังยิ้ม แต่ในใจแทบจะคว้าไหสุรามาฟาดศีรษะเจ้าคนปล่อยข่าวลือตรงหน้า
หยางซือโฉวแค่นหัวเราะ รับรู้ว่านางประชดประชัน รู้สึกผิดเช่นเดียวกัน หากแต่ยังรักษามาด ก่อนจะเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาด้วยการว่าขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นก็มาดื่มกันเถิด”
จ้าวเยว่ถิงยกจอกสุราตรงหน้าหยางซือโฉวส่งให้ทันที ชายหนุ่มเหลือบมอง พลันเห็นความไม่ชอบมาพากล ก่อนจะดันจอกสุราในมือนางกลับไป
“จอกนี้ข้ายกให้เจ้า ข้าจะดื่มในจอกของเจ้าเอง” สิ้นเสียงก็คว้าเอาจอกสุราของนางไป
เป็นอย่างที่จ้าวเยว่ถิงคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด นางเผยอยิ้มเมื่อเห็นเขาส่งสัญญาณให้เป็นเชิงยกขึ้นดื่ม นางจึงไม่รอช้า กระดกสุราลงคอ
ว่านเสน่หา... ผลของมัน... กับสตรีแล้ว คงไม่ร้ายแรงเท่ากับบุรุษหรอกกระมัง
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1] หยางซือโฉวก็เริ่มออกอาการกระสับกระส่าย ร่างกายร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหงื่อกาฬไหลตามกรอบหน้า ลำคอแห้งผาก ธาตุและลมปราณในกายไม่เสถียร มีอาการเท่านี้ เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าโดนวางยาเข้าแล้ว คราแรกเขานึกว่าตนต้องยาพิษ ทว่าช่วงกลางลำตัวที่ดุนดันอาภรณ์คล้ายว่าต้องการจะออกมาผงาดง้ำรับอากาศด้านนอก ทำให้เขาตัดเรื่องถูกวางยาพิษถึงขั้นทำให้ตายไป
ถ้าอย่างนั้น อย่าบอกจะว่ามันคือ...
“เจ้าวางยาพิษชนิดใดกับข้ากัน” เสียงแหบแห้งเอ่ยออกมาอย่างทรมาน เขารู้จักยาพิษประเภทนี้ มันมีผลกับ...
...กับความเป็นบุรุษเพศอย่างรุนแรง
จ้าวเยว่ถิงที่เห็นอาการของชายหนุ่มเหยียดยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“จะเป็นยาพิษชนิดใด แล้วมันหาสำคัญอันใดกับท่านกัน ในเมื่อท่านหาได้สำนึกในความชั่วช้าจากการกระทำของตนไม่ ข้าได้ให้โอกาสท่านสำนึกแล้ว หากแต่ท่านยังลอยหน้าลอยตา ไม่เอ่ยแม้กระทั่งคำขอโทษ ก็จงอับอายชาวบ้านทั่วทั้งแคว้นเช่นเดียวกับสกุลฮุ่ยที่ถูกท่านใส่ร้ายเถิด”
“เจ้ามัน...!” เดือดดาลขึ้นมาในบัดดล “นี่เจ้าคิดจะให้ข้าไปไหนมาไหนด้วยสภาพนี้หรือไร!”
จ้าวเยว่ถิงพยักหน้า นางสะใจไม่น้อยที่ผลออกมาเป็นตามคาด ยิ่งเห็นหยางซือโฉวควบคุมอาการไม่อยู่ ทรุดตัวลงไปหมอบบนพื้นอย่างทรมาน นางก็ถือว่าการเจรจาของตนสิ้นสุดแล้ว
“สิ่งนี้คือบทเรียนของท่าน ต่อไปอย่าได้มายุ่มย่ามกับสกุลฮุ่ยอีก” พูดจบก็ดันตัวลุกขึ้น หมายจะกลับออกไป
ทว่าเมื่อร่างบางยืนตัวตรง โลกของนางก็หมุนคว้างจนไม่อาจทรงตัว จ้าวเยว่ถิงยันตัวกับโต๊ะไว้แทบไม่ทัน มือข้างหนึ่งยกขึ้นคลึงขมับ ในหัวคิดวุ่นเป็นพัลวัน
เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของนางกัน?
หยางซือโฉวเห็นดังนั้นก็แค่นหัวเราะออกมาทั้งที่ตัวเองก็แทบจะทรงตัวไม่ไหว
“นึกหรือว่ามีเพียงเจ้าที่ตระเตรียมยาพิษ”
ได้ยินเช่นนั้น จ้าวเยว่ถิงก็ถลึงตามองผู้พูด “ท่าน!”
“แต่เจ้าไม่ต้องห่วง หาใช่ยาพิษอย่างที่เจ้าลอบวางข้า เป็นเพียงสุราชนิดรุนแรง สตรีเช่นเจ้าคงถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ยุงริ้นไม่ให้ไต่ตอม คงจะไม่เคยรู้จักคำว่าจอกเดียวลืมโลก”
เข้าใจแล้ว อาการเมานั่นเอง หากเป็นแค่นั้น จ้าวเยว่ถิงคงจะไม่กังวลใดๆ แต่กลับไม่ใช่เมื่อนางรู้สึกร้อนรุ่มไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทุกอณูผิวร้อนวูบวาบราวกับมีเปลวไฟมาอัง อาการนี้คงไม่ได้เกิดจากฤทธิ์สุรา ทว่าคงเป็น...
...ว่านเสน่หา!?
ตกใจเสียจนเบิกตาโพลง แม้นางจะไม่ได้มีอาการโด่เด่น่าอับอายเยี่ยงหยางซือโฉว แต่ก็ไม่ควรจะอยู่ในที่แห่งนี้นานนัก เพราะชั่วขณะหนึ่ง นางเห็นใบหน้าคร้ามคมของหยางซือโฉวก็พลันคิดไปว่าเขาช่างหล่อเหลาอะไรเสียขนาดนั้น หล่อเสียจนน่าปลุกปล้ำ ความคิดนั้นช่างน่าพรั่นพรึงนัก นางจึงพยายามที่จะลุกขึ้นอีกครั้งแต่ก็เซไปมา ไม่เป็นดังใจนึกสักเท่าไร และจบลงด้วยการล้มฮวบลงบนพื้นอีกระลอก
หยางซือโฉวเห็นก็หัวเราะร่วนทั้งที่ตนเองก็ไม่ไหว “เจ้าก็คงจะโดนยาพิษของตนเองด้วยสินะ”
จ้าวเยว่ถิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะโต้เถียง ตะเกียกตะกายคลานไปบนพื้น จะออกไปนอกห้อง หากแต่หยางซือโฉวไม่ยอมให้ไป ขยับตัวไปตะครุบข้อเท้าขาวนวลของนางเสียอย่างนั้น หันไปมองก็เห็นบุรุษผู้นั้นแสยะยิ้มร้าย
“จงรับโทษจากการกระทำของเจ้าเสีย”
เหตุใดถึงได้กลับตาลปัตรเช่นนี้!
จ้าวเยว่ถิงอยากจะทึ้งศีรษะตนเองนัก แต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดริมฝีปากจนซีดขาว ปลายนิ้วอุ่นร้อนและฝ่ามือหยาบกร้านของหยางซือโฉวที่กอบกุมรอบข้อเท้าของนางทำให้นางอยากจะทำอะไรสักอย่างกับเขานัก กระนั้นก็ทำได้แค่ออกคำสั่ง
“ปล่อยข้า”
“ข้าไม่ปล่อย”
“ข้าบอกให้ปล่อย!” เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย
หยางซือโฉวลอยหน้าลอยตา “ข้าไม่ปล่อย เจ้าจะทำไม”
“ข้าเตือนท่านแล้วนะ” จ้าวเยว่ถิงกล่าวอย่างหงุดหงิด ปกติแล้วนางจะเก็บอารมณ์ได้ดี ทว่าต้องไม่ใช่ในเวลาอย่างนี้
หยางซือโฉวอยากรู้นักว่าสตรีตรงหน้าจะทำอะไรเขาได้ จึงแกล้งยั่วเย้าด้วยการคลายฝ่ามือออกจากข้อเท้า ลากลูบขึ้นไปยังปลีน่องพลางว่าเสียงแผ่ว
“หากข้าไม่ฟัง เจ้าจะทำอันใดข้าเช่นนั้นหรือ?”
ข้าก็จะปล้ำท่านน่ะสิ!
ไม่ได้ตอบคำถามด้วยซ้ำ แค่คิดในใจก็ลงมือทำเลย จ้าวเยว่ถิงถลาเข้าหาชายหนุ่ม ขึ้นไปนั่งคร่อม ซุกใบหน้าลงไปยังซอกคอแกร่ง พรมจูบไปทั่วอย่างกระหายราวกับบุรุษกลัดมัน หยางซือโฉวเบิกตาโต เขาเพียงจะหยอกเย้านางเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดว่าจู่ๆ นางจะกระโจนเข้าใส่เขาเช่นนี้ อะไรไม่ว่า การถูกร่างอวบอิ่มรุกเร้า มันทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว อยากจะตะครุบนางแล้วทำเช่นเดียวกับที่ถูกนางกระทำเสียเหลือเกิน
ถึงเขาจะชั่วช้าสามานย์เพียงใด แต่เขาก็ไม่ทำสิ่งใดเลยเถิดในขณะที่หญิงสาวครองสติไม่อยู่เป็นแน่ มือทั้งสองข้างพยายามจะดันตัวของจ้าวเยว่ถิงออก นางจึ๊ปากขัดใจ มองหน้าเขาด้วยสายตาโกรธกรุ่น
“ข้าว่าเจ้าควรรีบกลับคฤหาสน์” หยางซือโฉวบอกเร็วๆ
จ้าวเยว่ถิงไม่ฟังแม้แต่น้อย โน้มใบหน้าลงมา หมายจะกินหูเขาอีก
ใช่... กินหู เมื่อกี้ก็ดอมดมซอกคอ แล้วเลื่อนไปงับหูเขาทีหนึ่ง ไรขนอ่อนๆ ของเขาลุกชันเป็นทิวแถวเลยทีเดียว
“หากเจ้าไม่กลับ เจ้าจะต้องเสียใจแน่ เจ้าของโรงเตี๊ยมมิอาจร่วมเตียงเดียวกัน เจ้าเข้าใจหรือไม่!?” พยายามจะเรียกสติและให้เหตุผลด้วยการพูดอ้อมๆ หวังว่านางจะเข้าใจ
จ้าวเยว่ถิงเข้าใจ แล้วอย่างไรล่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วคิดว่านางจะหยุดโดยง่ายหรือไร!
“เงียบเถิดน่า!” นางแหวเสียงดัง ก่อนจะประทับริมฝีปากอิ่มลงมาบนริมฝีปากของคนใต้ร่าง
หยางซือโฉวเบิกตาโพลงเมื่อตนถูกช่วงชิงจุมพิตไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่... เขาจะไม่เตลิดเปิดเปิงเพราะปีศาจจิ้งจอกแสนยั่วยวนเช่นนาง!
...แต่มือยื่นไปแตะบั้นท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร้ายกว่านั้นคือเขาหยุดคลึงเคล้นเนื้อหนั่นไม่ได้เสียอีก ในใจคร่ำครวญว่าไม่ ให้เขาหยุดการกระทำชั่วช้านี้เสีย ทว่าเขากลับตอบสนองการจุมพิตด้วยการแทรกปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดน้ำมธุรสในโพรงปากของหญิงสาว
จ้าวเยว่ถิงส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคออย่างพึงใจ ขณะที่หยางซือโฉวคิดว่าหลังจากนี้นางจะตกอยู่ใต้การควบคุมของเขาด้วยเห็นว่านางเริ่มอ่อนระทวยไปกับรสสัมผัส ถึงตอนนั้น เขาจะใช้โอกาสนั้นตั้งสติและวิ่งหนีโดยพลัน
หากแต่เขาคิดผิด มือคลึงเคล้นสะโพกหนั่นอย่างหยาบคายจาบจ้วงไม่พอ จ้าวเยว่ถิงยังจะทำให้เขาตบะแตกด้วยการดึงทึ้งอาภรณ์ของตนออก เนินอกอิ่มใต้เอี๊ยมตัวเล็กปรากฏสู่สายตา มือไม้ของหยางซือโฉวสั่นเทาเลยทีเดียว เขาผละมือข้างหนึ่งออกจากสะโพกของนาง หมายจะสัมผัสยังเนินเนื้อตรงหน้า ทว่าพอยื่นเข้าไปใกล้ เขาก็ใช้มืออีกข้างรั้งมือข้างนั้นไว้ ในใจท่องเป็นพัลวัน
ไม่...ไม่...
จากนั้นก็พ่ายแพ้ให้กับความกำหนัดของตัวเอง
จับสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร...
จวนเจียนจะได้สัมผัสอยู่แล้ว หากแต่จ้าวเยว่ถิงไม่ให้เขาได้ทำเช่นนั้น เพราะจู่ๆ นางก็ดันกายขึ้นเหยียดตรง ถลกชายชุดยาวขึ้นแล้วนั่งลงบนส่วนแข็งขืนกลางลำตัวของเขา
หยางซือโฉวพรึงเพริดกว่าเดิมเสียอีก เขาออกปากห้ามเป็นพัลวัน
“ประเดี๋ยวก่อนแม่นาง! นั่นมัน...”
“หุบปาก!”
จะบอกว่ามันเลยเถิดไปใหญ่แล้ว แต่กลับถูกนางแผดเสียงใส่ อะไรไม่ว่า นางจัดการเข้าครอบครองเขาด้วยเวลาเพียงไม่กี่ช่วงลมหายใจอีกต่างหาก
ปากที่หมายจะบอกนางให้ตั้งสติถึงกับไปต่อไม่ถูก ร่างกายของหยางซือโฉวตึงเครียดไปทุกอณูเมื่อความวาบหวามแล่นพล่านไปทั่ว ยิ่งหูได้ยินเสียงกระเส่าจากร่างเย้ายวนที่ค่อยๆ ขยับกายเคลื่อนไหวทีละน้อย เขาก็กลายเป็นเหยื่อที่ถูกนางปีศาจจิ้งจอกอย่างจ้าวเยว่ถิงครอบงำโดยสมบูรณ์
แต่สวรรค์! ใครเล่าจะคิดว่าเขาจะถูกนางจับกินเต้าหู้เสียจนหมดครัวเช่นนี้ ผู้ที่ต้องอยู่ตำแหน่งบนนั้นควรเป็นเขามิใช่หรือ!?
[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับ สิบห้านาที