บทที่ 8 ออกรบร่วมกัน

4272 คำ
บทที่ 8 ออกรบร่วมกัน ​ ”แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรรัชทายาท ฮ่องเต้ได้หันมาถามบุตรชายของตน” “ลูกจะขอนำทัพไปครั้งนี้เองขอรับท่านพ่อเพื่อให้ปวงประชาได้เห็นว่าลูกนั้นเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทขอรับ”รัชทายาทหลี่หยางเอ่ยเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “ดี ถ้าเช่นนั้นรัชทายาทจงนำทัพไปช่วยเหลือแม่ทัพบูรพาต้านทานศัตรูจงนำทหารไป 200,000 นายเพื่อร่วมรบในครั้งนี้” ฮ่องเต้ได้ประกาศออกมาเสียงดังทำให้ทุกคนก็รู้สึกมีกำลังใจไปด้วย “ฝ่าบาทเพคะพวกเราทั้งสองขอร่วมรบในครั้งนี้ด้วยเพคะ” เมื่อฮ่องเต้กล่าวจบชิงเหมยกับชิงอี้ก็ได้ลุกขึ้นมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพร้อมทั้งเอ่ยจุดประสงค์ของนางทันที “แม่นางน้อยทั้งสองนี่คือสนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่จะให้คนอย่างพวกเจ้าไปวิ่งเล่นได้” หานเฟยที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยตำหนิออกมาด้วยความหวาดกลัวเพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนไปเข้าร่วมรบเพราะว่าตนนั้นได้รับรู้มาจากสายของตนว่าทั้งสองคนนี้เก่งกาจเพียงใด “ขอบพระทัยหานเฟยที่ทรงเป็นห่วงพวกเราเพคะ แต่พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะพวกเราทั้งสองนั้นล้วนแล้วแต่เคยผ่านสงครามมาก่อนรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรในสงครามขนาดกองทัพของแคว้นอู่ตี้ที่มีมากกว่า 3 แสนนายพวกเราก็เอาชนะมาได้แล้วเพคะ” ชิงอี้ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าบุคคลที่เอ่ยขึ้นมานี้เป็นผู้ใดเขาก็ได้เอ่ยตอบกลับออกมาทันที และเมื่อหานเฟยได้ยินเช่นนั้นนางก็ยิ่งวิตกกังวลมากกว่าเดิมเพราะกลัวว่าบ้านเกิดของนางนั้นจะจบสิ้นถ้าหากปล่อยให้พวกนางทั้งสองไป “ไม่ทราบว่าที่หานเฟยเป็นห่วงนั้นคือผู้ใดแต่ข้าคิดว่าคงไม่ใช่แม่นางทั้งสองหรอก” ซานเฟยที่ได้เห็นจังหวะดีเช่นนี้เขาก็ได้เอ่ยออกมาเพื่อให้ทุกคนสงสัย แล้วก็เป็นไปตามที่นางต้องการเพราะทุกคนนั้นหันมามองที่หานเฟยด้วยสายตาที่น่ากลัว “เรื่องภายในค่อยจัดการทีหลังข้าคิดว่าควรรีบส่งกองทัพไปช่วยเหลือแม่ทัพบูรพาเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า” ก่อนที่ทุกอย่างจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ฮองเฮาก็ได้เอ่ยออกมา “แล้วพวกเจ้าทั้งสองเหตุใดถึงอยากตามรัชทายาทไปร่วมรบในครั้งนี้ด้วย” จางกุ้ยเฟยได้เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “นั่นก็เพราะว่าตัวของพวกเราทั้งสองคนนั้นกำลังจะเป็นชายาขององค์รัชทายาทพวกเราเลยอยากพิสูจน์ว่าพวกเรานั้นมีความสามารถที่จะเป็นชายาขององค์รัชทายาทได้ ไม่ใช่ได้ตำแหน่งนี้มาเพราะตระกูลยอมสละชีพปกป้องชาติผู้คนจะได้ไม่ต้องครหาว่าร้ายนินทาพวกเราได้เพคะ” “ดี เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดีข้าอนุญาต”เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังจบเขาก็ได้เอ่ยออกมา “ฝ่าบาทเพคะหม่อมฉันอยากจะเสนอความคิดอีกอย่างได้หรือไม่เพคะ” ชิงเหมยได้เอ่ยออกมานั่นทำให้ทุกคนสงสัยทันที “ข้าอนุญาต” “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะเสนอว่าให้รัชทายาทกับหม่อมฉันและน้องสาวพร้อมทั้งทหารที่ฝีมือดีอีก 5,000 นายเร่งเดินทางกันไปก่อนเพราะถ้าหากให้ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่นั้นหม่อมฉันเกรงว่ากว่าจะไปถึงมันคงไม่มีเวลาที่จะวางแผนเตรียมการรบแล้วเพคะ” “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น” “นั่นก็เพราะว่าตอนอยู่ที่เมืองชิงชิวหม่อมฉันได้เคยดูแผนที่ของแคว้นแล้วหม่อมฉันก็ลองคาดการณ์การเคลื่อนทัพดูถ้าหากทหาร 200,000 นายกว่าจะเดินทัพไปถึงชายแดนคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆถึง 14 วันกว่าจะไปถึงแต่ถ้าหากเดินทางไปเพียงแค่ 5,000 นายแล้วใช้ม้าทั้งหมดจะใช้เวลาเพียงแค่ 3 - 4 วันเท่านั้นเพคะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้รัชทายาทและพวกหม่อมชั้นทั้งสองก็จะมีเวลาในการวางแผนเตรียมรับมือเพคะ” และเมื่อฮ่องเต้กับเหล่าขุนนางแม่ทัพทั้งหลายได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยแย้งออกมาเลยแม้แต่ประโยคเดียว “ถ้าเช่นนั้นเอาเป็นตามที่เจ้าว่า แม่ทัพซุนรับคำสั่งเจ้าจงไปคัดเลือกทหารฝีมือดีมา 5,000 นาย พร้อมม้าพันธุ์ดีอีก 5,000 ตัว แม่ทัพเป่ยเจ้าจงเร่งไปเตรียมกองทัพอีก 195,000 นายให้พร้อมเดินทางให้เร็วที่สุด” “รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!!!!” เมื่อกล่าวจบแม่ทัพทั้งสองก็แยกย้ายไปทำสิ่งที่ตนได้รับมอบหมายทันที “องค์รัชทายาทเพคะของหม่อมฉันที่นำมาด้วยอยู่ที่ใดหรือเพคะ” ชิงอี้ได้หันไปถามกับคนที่อยู่ข้างๆตนด้วยความนอบน้อม “อยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาข้าได้ให้คนนำไปไว้ให้เจ้าที่นั่น” “ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอไปเตรียมของก่อนแล้วจะไปพบพวกท่านที่ประตูเมืองเพคะ” เมื่อกล่าวจบนางก็ลุกเดินออกไปทันที และเมื่อกลับมาถึงตำหนักฮองเฮานางก็ได้ไปที่ห้องของนางทันทีก็ได้พบว่าในตอนนี้ของทุกอย่างมาวางเรียงรายกันอยู่ในห้องทั้งหมดแล้ว นางได้ทำการค้นหาของไปสักพักก็ได้เจอในสิ่งที่นางต้องการ “เจิงลู่”ชิงอี้นางไม่เอ่ยขึ้นมาเบาๆทันใดนั้นข้างๆตัวนางก็ปรากฏร่างของสตรีที่งดงามนางหนึ่ง “มีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ”นางได้เอ่ยออกมาอย่างนอบน้อม “เจ้าจงไปเตรียมตัวให้พร้อมและให้อีก 2 ตนนั้นไปเตรียมตัวออกรบด้วยเช่นเดียวกัน และเมื่อพวกเจ้าเตรียมตัวเสร็จแล้วก็ยกของสิ่งนั้นไปหาข้าที่ประตูเมือง” “เจ้าค่ะนายท่าน” เมื่อกล่าวจบนางก็ได้ค่อยๆหายไปจากตรงนี้ ส่วนชิงอี้นั้นนางก็ถือง้าวซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวนางเดินไปที่หน้าประตูเมือง เมื่อมาถึงหน้าประตูเมืองนางก็ได้พบเข้ากับรัชทายาทที่กำลังยืนคุยอยู่กับพี่สาวของตน “อี้เอ๋อเจ้าเตรียมตัวเสร็จแล้วหรือ” ชิงเหมยได้หันมาถามน้องสาวของตน “ตัวของข้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงแค่รอพี่น้องตระกูลลู่ยกของมาก็เสร็จแล้ว” หลังจากสิ้นเสียงของนางสามพี่น้องตระกูลลู่ก็เดินยกหีบใบใหญ่เข้ามา “นั่นคืออะไร เหตุใดถึงขนไปเยอะนัก” รัชทายาทได้เอ่ยออกมาด้วยความสงสัย “ของในหีบใบนี้ก็คือชุดเกราะ 3 ชุดข้าได้เตรียมเอาไว้ให้ท่านท่านพี่และตัวของข้าเอง ตัวของชุดเกราะนี้ทำมาจากวัตถุชั้นดีที่หาได้จากเมืองชิงชิวเท่านั้นมีน้ำหนักที่เบาแต่ทนทานแล้วด้านในชั้นกลางนั้นเย็บด้วยขนของหนูไฟกันความร้อนได้อย่างดีส่วนชั้นในนั้นเย็บด้วยผ้าไหมน้ำแข็งไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไรตัวของพวกเราก็จะไม่เป็นอะไร” เมื่อกล่าวจบชิงอี้ก็ให้เจิงลู่ เปิดหีบแล้วนำชุดเกราะไปมอบให้กับทั้งสองคน “เดี๋ยวข้าจะให้ทั้ง 3 คนนี้ไปด้วยท่านเตรียมม้าเพิ่มให้ด้วย” ชิงอี้นางได้หันไปเอ่ยกับรัชทายาท และเมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สงสัยอะไรแล้วหันไปสั่งให้คนนำม้ามาเพิ่มอีก 3 ตัว “เอาล่ะพวกเจ้าทั้งหลายเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่ถ้าพร้อมแล้วออกเดินทางกันเลย!!!!!” รัชทายาทเอ่ยออกมาเสียงดังพร้อมควบม้านำหน้าแล้วมีสองพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปาควบตามหลังเป็นภาพที่ทุกคนได้เห็นนั้นช่างเหมาะสมราวกับทั้งสามคนนี้เกิดมาเพื่อดูแลกัน แล้วกองทัพของรัชทายาทนั้นใช้เวลาเดินทาง 4 วันเท่านั้นก็ถึงเมืองตงชางตามที่ชิงเหมยได้คาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่นิดเดียว “แม่ทัพเผิงเหตุการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมาถึงรัชทายาทก็ได้เอ่ยถามสถานการณ์รบทันที” “กราบทูนองค์รัชทายาทพะย่ะค่ะ ” “พูดกับข้าปกติเถอะเพราะถ้าหากพูดคำราชาศัพท์ข้าเกรงว่าวันนี้คงไม่เสร็จ” “ขอบพระคุณขอรับ สถานการณ์ในตอนนี้ทางด้านของศัตรูพึ่งเดินทัพออกมาได้ไม่นานขอรับ” “ข้าขอดูแผนที่หน่อยได้หรือไม่ว่ามันเป็นยังไงจะได้วางแผนจัดการถูก” “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้คือผู้ใด”แม่ทัพเผิงได้เอ่ยถามอย่างไม่ชอบใจนัก “พวกนางทั้งสองก็คือว่าที่พระชายาเอกและพระชายารองของข้า คนที่ใส่อาภรณ์สีชมพูคือท่านหญิงซีซวน ส่วนที่ใส่อาภรณ์สีน้ำเงินคือท่านหญิงซิ่วอิง”รัชทายาทได้เอ่ยออกมา “ผู้น้อยขออภัยที่เสียมารยาทท่านหญิงทั้งสอง” “ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าไม่ถือสารีบนำแผนที่มาดูจะได้รีบวางแผนรับมือศัตรู” เมื่อแม่ทัพเผิงได้ยินเช่นนั้นก็นำแผนที่มากลางให้ดูทันที ​ เมื่อทั้ง 3 ได้เห็นแผนที่ต่างคนต่างก็ยืนนิ่งเพื่อคิดว่าจะวางแผนอย่างไรดี “การที่ทั้งสองแคว้นนั้นจะยกทัพมาตีพวกเราได้มีทางไหนบ้าง” “ทางที่ง่ายที่สุดก็คือข้ามแม่น้ำฮวงฉีเพราะทางเขาไท่จงนั้นเป็นภูเขาหินและมีสัตว์มีพิษมากมายอยู่ทั่วทั้งเขา การที่จะยกทัพใหญ่มาทางเขาเป็นเรื่องที่ลำบากและอันตรายมากขอรับ” “แล้วแม่น้ำนี้มีความกว้างขนาดไหนแล้วลึกประมาณใดเจ้าพอจะทราบหรือไม่ '' “ความกว้างของแม่น้ำ 60*¹ จั้งส่วนความลึกอยู่ที่ 3 จั้งขอรับ” “ท่านพี่คิดว่าเราจะวางกับดักแบบใดดี”หลังจากที่ได้ฟังดังนั้นชิงอี้นางได้หันไปถามพี่สาวของนางทันที “ในแม่น้ำแห่งนี้การที่เราจะวางกับดักนั้นเป็นอะไรที่ยากเพราะชาวเมืองยังต้องกินต้องใช้น้ำในแม่น้ำแห่งนี้อยู่ ถ้าเราจะทำกับดักหรือวางแผนสิ่งใดจะต้องให้หลุดจากแม่น้ำนี้”ชิงเหมยหลังจากที่นางคิดไปได้สักพักนางก็ได้เอ่ยออกมา “ข้าเห็นด้วยกับท่านหญิงขอรับเพราะชาวเมืองนั้นมีน้ำกินน้ำใช้แค่จากแม่น้ำนี้แม่น้ำเดียว” “ข้าอยากไปดูพื้นที่ริมแม่น้ำพาข้าไปหน่อยได้หรือไม่” “ได้ขอรับท่านหญิง” “ท่านพี่เดี๋ยวท่านอยู่วางแผนกับรัชทายาทไปก่อนเดี๋ยวข้าจะไปดูพื้นที่ก่อนว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง”เมื่อกล่าวจบนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามแม่ทัพไปด้านนอกแล้วขึ้นม้าขี่ตามแม่ทัพไปทันที “ถึงแล้วขอรับท่านหญิง”หลังจากที่ขี่ม้ามาสักพักแม่ทัพก็ได้หยุดม้าแล้วหันไปบอกกับคนข้างๆ “ขึ้นจากแม่น้ำมาเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างอย่างนั้นหรือ” “เจ้าพอจะคำนวณกองทัพของศัตรูได้หรือไม่ว่ามีอยู่ประมาณเท่าใด” “จากที่ได้ให้คนไปสืบมามีอยู่ประมาณ 2-3 แสนนายขอรับ” “พื้นที่โล่งกว้างขนาดนี้การจะลอบโจมตีเป็นไปได้ยากและยิ่งจะทำกับดักยิ่งยากขึ้นไปอีก แล้วจะทำอย่างไรดี” “คงมีแต่วิธีนั้นวิธีเดียวสินะที่จะทำได้”หลังจากที่นางเงียบไปได้สักพักนางก็พรึมพำออกมา “แม่ทัพเผิงข้ารู้วิธีแล้วเรากลับไปเตรียมของที่เมืองกับคนอื่นกันเถอะ” เมื่อกล่าวจบนางก็ได้ควบม้ากับเมืองทันที “เป็นอย่างไรบ้างได้ความว่าอย่างไร”เมื่อมาถึงเมืองแล้วเข้าไปยังที่ที่ประชุงชิงเหมยก็ได้เอ่ยถามทันที “ข้ารู้วิธีแล้วว่าจะทำอย่างไรแต่มันอันตรายมากข้าไม่รู้ควรจะทำดีหรือไม่” “แล้ววิธีที่เจ้าคิดได้คือวิธีใด”รัชทายาทที่นั่งฟังเขาก็เอ่ยถามทันที “หมอกพิษ” เมื่อสิ้นเสียงนั้นของชิงอี้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ก็เงียบทันที “เหตุใดเจ้าถึงคิดวิธีนี้ได้ถ้าเจ้าควบคุมมันไม่ดีเมืองนี้ทั้งเมืองผู้คนอาจจะไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียว”รัชทายาทได้เอ่ยถามออกมา “ที่ข้าไปดูพื้นที่มานั้นมันเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างจะลอบโจมตีก็เป็นไปไม่ได้ยิ่งวางกับดักมันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ขึ้นไปอีก แต่ด้วยความที่มันเป็นพื้นที่โล่งกว้างวิธีเดียวที่จะจัดการทหาร 2-3 แสนนายได้นั้นคือหมอกพิษอย่างเดียววิธีอื่นถ้าคิดไม่ออก แล้วพวกท่านทั้งสองมีวิธีอื่นหรือไม่” เมื่อชิงอี้กล่าวจบทุกคนก็เงียบทันทีเพราะไม่มีใครคิดวิธีอื่นออกแล้ว “ถ้าหากว่าไม่มีผู้ใดมีวิธีอื่นแล้วละก็เอาวิธีนี้ของข้าแล้วกันเพราะข้ามีคนที่เก่งกาจด้านวิชาพิษมาด้วย” เมื่อกล่าวจบสตรีผู้งดงามที่อยู่ในชุดเกราะสีดำก็ค่อยๆเดินเข้ามา “นี่คือเจิงลู่ นางเชียวชาญด้านศาสตร์วิชาพิษมากที่สุดเพราะนางนั้นมีทั้งสูตรยาพิษและยาแก้พิษพวกท่านทั้งหลายไม่ต้องเป็นห่วงว่าถ้าหากชาวเมืองโดนพิษเข้าไปจะไม่มีทางรอด” “แล้วพวกเราจะมั่นใจได้ยังไงว่าวิธีนี้จะได้ผล” “แล้วพวกเจ้าทั้งหลายมีวิธีอื่นนอกจากวิธีนี้หรือไม่ กองทัพของเราในยามนี้มีเพียงแค่ 50,000 นายแต่กองทัพของอีกฝ่ายมีถึงเกือบ 300,000 นาย จำนวนต่างกันมากขนาดนี้ถ้าหากเข้าปะทะกันตรงๆพวกเจ้าคิดว่าฝ่ายใดมีโอกาสชนะมากกว่ากัน ถึงแม้ว่ากองทัพเสริมจะมาสมทบอีก 195,000 นายก็ยังห่างกันมากอยู่ดี แล้วพวกเจ้าที่อยู่ในที่นี้มีวิธีอื่นอีกหรือไม่เล่า”ชิงเหมยที่นั่งฟังมานานนางก็ได้เอ่ยออกมาอย่างช้าๆทีละประโยค “แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่เชื่อใจในฝีมือของผู้หญิงหรอก” แม่ทัพคนนึงได้เอ่ยออกมานั่งทำให้ผู้หญิงทั้ง 3 คนที่อยู่ในนี้นั้นรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก “ดีในเมื่อพวกเจ้าคิดอย่างนั้นก็แล้วแต่พวกเจ้าทั้งหลายจะทำเลยก็แล้วกันพวกข้าไม่ขอยุ่ง ไปท่านพี่เจิงลู่ กลับที่พักข้าจะรอดูว่าเหล่าบุรุษทั้งหลายจะมีความสามารถขนาดไหน” เมื่อกล่าวจบนางก็ได้ลุกขึ้นแล้วเดินจูงมือทั้งสองกลับไปยังห้องพักทันที ส่วนรัชทายาทนั้นเขาก็นั่งเงียบๆเพราะเขานั้นก็คิดเหมือนกันกับแม่ทัพผู้นั้นว่าผู้หญิงต่อให้มีความสามารถขนาดไหนก็สู้ผู้ชายไม่ได้ หลังจากที่ผู้หญิงทั้ง 3 ออกไปแล้วนั้นเหล่าบุรุษที่คิดว่าตนเก่งก็ได้ร่วมมือกันวางแผนรับมือฝ่ายศัตรูทันที “ชิงอี้น้องคิดจะทำอะไร” เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้วชิงเหมยก็ได้เอ่ยถามทันที “ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรทั้งนั้นท่านพี่ ในเมื่อเหล่าบุรุษเขามองว่าพวกเรานั้นไม่มีความสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องช่วย เพียงแค่รอดูอยู่เงียบๆตรงนี้แล้วรอให้พวกมันเหล่านั้นมาขอร้องอ้อนวอนให้พวกเราช่วย ท่านไม่คิดว่ามันน่าสนุกหรือ” เมื่อชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นก็ส่ายหัวอย่างช้าๆแต่ตนนั้นก็เห็นด้วยกับน้องสาวเลยไม่เอ่ยแย้งสิ่งใดทำเพียงแค่นั่งจิบชาสบายๆอยู่ในที่พักผ่อน แล้วหลังจากวันนั้นเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยไปถึง 10 วันกองทัพฝ่ายศัตรูนั้นได้สังหารกองทัพทั้งหมดของเมืองนี้แล้วบุกมาประชิดอยู่ที่หน้าเมืองได้ไม่ยากส่วนกองทัพเสริมจากเมืองหลวงนั้นก็เพิ่งจะมาถึงนั่นจึงทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ก็คือกองทัพฝ่ายศัตรูมีกองกำลังมากกว่า 250,000 นายส่วนกองทัพของแคว้นอู่ลู่นั้นมีเพียงแค่ 195,000 นาย นั่นทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ของแคว้นอู่ลู่นั้นตกเป็นรองอีกฝ่ายมาก “พวกเราจะทำยังไงกันดีตอนนี้กองทัพของศัตรูนั้นบุกมาอยู่ที่หน้าเมืองแล้ว”แม่ทัพคนที่เคยว่าผู้หญิงไร้ความสามารถเขาเอ่ยออกมา “พวกเราต้องเร่งวางแผนและวางกลยุทธ์ได้แล้วเพราะไม่อย่างนั้นล่ะก็คงไม่ทัน”แม่ทัพเผิงเอาที่เอ่ยบอกกับทุกคน “หรือว่าเราจะขอให้ว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทมาช่วย”รองแม่ทัพคนนึงได้เอ่ยออกมานั่นทำให้ที่ประชุมแห่งนี้เกิดความเงียบขึ้นมา “ไม่ได้หรอกยังไงพวกนางก็เป็นแค่ผู้หญิงจะมารู้เรื่องการศึกการรบได้ยังไง”แม่ทัพคนที่เขาได้เอ่ยดูถูกชิงอี้ได้เอ่ยออกมา “แล้วท่านมีวิธีที่ดีกว่านี้หรืออย่างไรท่านจงมองดูสถานการณ์ในตอนนี้เถิดว่ามันเป็นยังไง” รองแม่ทัพคนที่เขาได้เอ่ยเสนอเขาได้ตอบกลับนั่นทำให้นะครับคนดังกล่าวเงียบ “แล้วองค์รัชทายาทคิดเช่นไรขอรับ” แม่ทัพเผิงเขาไม่สนใจที่ลูกน้องของตนทะเลาะกันแล้วหันไปถามรัชทายาทแทน ส่วนรัชทายาทนั้นหลังจากที่สูญเสียกองทัพไปถึง 50,000 นายเขาก็นั่งเครียดว่าตนนั้นทำผิดพลาดครั้งใหญ่จนทำให้เกิดสูญเสียที่ไม่จำเป็นเลยในครั้งนี้ “อี้ซุนเจ้าจงไปเชิญท่านหญิงทั้งสองมา” รัชทายาทได้หันไปเอ่ยกับองครักษ์คนสนิท และเมื่อองครักษ์คนสนิทได้ยินเช่นนั้นเขาก็เร่งเดินทางไปยังที่พักของท่านหญิงทั้งสองทันที “นายท่านเจ้าคะองครักษ์อี้ซุนมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เจิงลู่ได้เดินเข้ามารายงาน “เชิญเขาเข้ามา” เมื่อเจิงลู่ได้ยินเช่นนั้นนางก็เปิดประตูให้องครักษ์หนุ่มเข้ามาทันที “คารวะท่านหญิงทั้งสองขอรับองค์รัชทายาทได้ให้กระหม่อมมาเชิญท่านทั้งสองไปร่วมประชุมขอรับ”องครักษ์คุกเข่าทำความคารวะแล้วเอ่ยจุดประสงค์ของตนทันที “ข้าไม่ไป ถ้าเกิดว่าอยากจะให้พวกข้าทั้งสองนั้นเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วยทุกคนที่อยู่ที่นั่นจะต้องเดินมาคุกเข่าโขกศีรษะขอโทษพวกข้าทั้งสองที่นี่”ชิงอี้นางได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งราวกับน้ำทะเลที่สงบแต่กำลังจะมีพายุเกิดขึ้น เมื่อองครักษ์อี้ซุนได้ยินเช่นนั้นเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าต่อให้พยายามพูดเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์เขาเลยขอตัวลาเพื่อที่จะไปบอกทุกคน “ทำแบบนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือชิงอี้ถึงอย่างไรพวกเขาก็อาวุโสกว่าเรา”ชิงเหมยพี่เป็นคนใจดีและที่สงสารได้เอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจ “ท่านพี่ใจดีเกินไปแล้วในเมื่อพวกมันดูถูกว่าผู้หญิงอย่างเรานั้นไม่มีความสามารถพวกเราก็จะต้องทำให้พวกมันรู้สึกไร้ค่ามากที่สุดจนต้องคลานเข่ามาขอร้องให้ผู้หญิงอย่างเรานั่นแหละถึงจะดี” เมื่อกล่าวจบนางก็ได้จิบน้ำชาอย่างสบายใจ ปึง!!!!!!! “เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงกล้าดียังไงถึงจะให้พวกข้าที่เป็นผู้อาวุโสไปโขกศรีษะขอโทษ” แม่ทัพที่ค่อนข้างมีอายุคนนึงได้เอ่ยออกมาด้วยความโมโห “นั่นสิขอรับองค์รัชทายาทพวกเราวางแผนรับมือกันเองก็ได้ไม่ต้องไปขอให้พวกนางมาช่วยหรอกถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นบุรุษย่อมมีความสามารถมากกว่าพวกนางอยู่แล้ว”แม่ทัพที่ไม่ชอบพวกชิงอี้อยู่แล้วได้เอ่ยสมทบออกมา “สั่งการลงไปให้พลธนูขึ้นไปประจำการอยู่ที่บนกำแพงเตรียมตัวให้พร้อมคืนนี้เราจะปล่อยฝนธนูให้กับพวกมัน”หลังจากที่เขานั่งคิดอยู่นานเขาก็คิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ “สมแล้วที่เป็นรัชทายาทข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องขอให้พวกผู้หญิงเหล่านั้นมาช่วยพวกเราก็หาทางรับมือได้” “แม่ทัพจงข้าว่าท่านไม่ควรกล่าวเช่นนั้นออกมาถ้าหากพวกเรายังไม่ชนะ” รองแม่ทัพฉางที่เอ่ยเสนอให้เชิญพวกชิงอี้มาร่วมรบด้วยเขาได้เอ่ยออกมา “รองแม่ทัพฉางเพราะเจ้ามีความคิดแบบนี้ยังไงล่ะเจ้าถึงเป็นไม่เพียงแค่รองแม่ทัพอยู่แบบนี้” แม่ทัพจงได้เอ่ยออกมาด้วยท่าทางเยาะเย้ย “พวกเจ้าเลิกทะเลาะกันได้แล้วแล้วรีบไปทำในสิ่งที่รัชทายาทรับสั่ง” แม่ทัพเผิงเขาได้เอ่ยออกมาแล้วไล่ให้ทุกคนไปทำตามหน้าที่ “ชิงอี้ทำเช่นนี้ดีแล้วแน่หรือ”ชิงเหมยนางได้เอ่ยออกมาด้วยความสงสารที่เหล่าทหารจะต้องตายเพราะทิฐิของผู้นำทัพ “ท่านพี่ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้พวกเราช่วยต่อให้พวกเราเสนอสิ่งใดไปพวกเขาก็ไม่เอาแล้วเราจะทำอย่างไรได้” ชิงอี้ที่รู้ดีว่าพี่สาวของตนเองนั้นเป็นยังไงนางก็ได้เอ่ยปลอบใจ แล้วก็เป็นไปตามที่ชิงเหมยเสียใจเพราะทหารที่รัชทายาทได้ให้ไปประจำการอยู่บนกำแพงเพื่อเตรียมตัวยิงธนูนั้นก็ถูกอีกฝ่ายซ้อนแผนกับโดยการยิงธนูไฟขึ้นมาจนทำให้ทหารที่อยู่บนกำแพงมากกว่าพันนายถูกไฟครอกตายจนหมด เพล้ง!!!!! รัชทายาทเขาได้กวาดของบนโต๊ะร่วงแตกกระจัดกระจายด้วยความโกรธเพราะทำอะไรนั้นก็ผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง “เจ้าพวกคนเก่งทั้งหลายในเมื่อพวกเจ้าไม่ให้เชิญท่านหญิงทั้งสองมาร่วมด้วย แล้วทีนี้พวกเจ้ามีใครอยากจะเสนอความคิดอะไรอีกหรือไม่!!!” รัชทายาทได้เอ่ยออกมาเสียงดังนั่นยิ่งทำให้เหล่าแม่ทัพทั้งหลายนั้นเงียบ “ในเมื่อไม่มีปัญญาไร้หัวคิดที่จะทำอะไรได้งั้นก็ไปคุกเข่าโขกหัวขอโทษท่านหญิงทั้งสองเดี๋ยวนี้!!!! ก่อนที่เมืองนี้จะตายก็ตายกันหมด!!!” “แต่รัชทายาทขอ....” “หุบปากแล้วไปขอโทษพวกนางซะท่าไม่อย่างนั้นล่ะก็ข้าจะจับพวกเจ้าโยนออกไปตายนอกเมือง!!!” รัชทายาทที่ในตอนนี้เขาโกรธจนถึงขีดสูงสุดเขาได้เอ่ยออกมา นั่นทำให้เหล่าแม่ทัพทั้งหลายนั้นไม่มีทางเลือกเลยพากันเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของพวกชิงอี้ “ท่านหญิงซิ่วอิงบอกว่าให้พวกท่านทั้งหลายเดินสิบก้าวแล้วคุกเข่าโขกศีรษะพร้อมเอยขอโทษออกมาทำแบบนี้จนกว่าจะถึงด้านใน” เจิงลู่ที่ยืนรออยู่หน้าประตูนางได้เอ่ยออกมาและนั่นก็ทำให้บุคคลที่มาทั้งหลายนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จึงต้องปฏิบัติตาม พวกเขาได้ทำเช่นนี้ไปสักพักก็เข้ามาถึงข้างใน “พวกเราขออภัยที่ลบหลู่ท่านหญิงขอรับ” เหล่าแม่ทัพทั้งหลายเมื่อเข้ามาถึงภายในก็ได้คุกเข่าโขกศรีษะขออภัยเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกนางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาแต่พวกนางลุกแล้วเดินออกไปจากที่นี่ทันทีโดยไม่สนใจเหล่าบุคคลทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่กับพื้น “เจิงลู่ เจ้ามาช่วยข้าแต่งตัวและจงไปตามเหล่าพี่น้องของเจ้ามาข้าจะพาพวกเจ้าไปรบ” “เจ้าค่ะนายท่าน” เมื่อกล่าวจบพวกนางก็เดินไปที่ห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนไปใส่ชุดเกราะ หลังจากเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สักพักนางก็ได้เดินออกมาพร้อมกับสวมชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มพร้อมในมือถือง้าวสีดำสนิทขนาดใหญ่เกินตัว “ท่านพี่ข้าพร้อมแล้วพวกเราไปกันเถอะ” นางได้หันไปเอ่ยชวนพี่สาวของนางที่ในตอนนี้ได้สวมชุดเกราะสีชมพูอ่อนพร้อมในมือถือกู่ฉินอยู่ ส่วนเหล่าบุรุษเมื่อได้เห็นภาพนั้นก็มองด้วยสายตาดูถูกดูแคลนว่าพวกนางจะทำอะไรได้ “นายท่านพวกเราพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” เจิงลู่และเหล่าน้องๆของนางนั้นที่ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปสวมชุดเกราะสีดำสนิทเดินมารอนายท่านทั้งสองคนที่หน้าประตู “ถ้าในเมื่อพร้อมแล้วงั้นพวกเราไปกันเถอะไปทำให้เหล่าบุรุษหน้าโง่ทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าสตรีนั้นก็มีความสามารถยิ่งกว่าบุรุษบางคนเสียอีก” เมื่อองครักษ์อี้ซุนได้เห็นเช่นนั้นเขาก็รีบไปรายงานรัชทายาททันที.......
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม