บทที่ 7 เรียนรู้วังหลวง
“เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ขอรับท่านพ่อเหตุใดท่านถึงดูดีใจขนาดนี้” หลังจากที่ขุนนางทั้งหลายออกไปทั้งหมดแล้วรัชทายาทหลี่หยางก็เอ่ยถามผู้เป็นบิดาทันที
“เดี๋ยวข้าจะเล่าประวัติศาสตร์ราชวงศ์ให้เจ้าฟัง ตอนเริ่มก่อสร้างราชวงศ์นี้มีคนร่วมก่อสร้างด้วยกันก็คือ 2 ตระกูลตระกูลแรกก็คือตระกูล อู่ลู่ซินหยาง ของพวกเราส่วนอีกตระกูลก็คือ อูลาเร่อปา ทั้งสองตระกูลนี้ล้วนผูกมิตรกันมาตั้งแต่อดีตกาลจนก่อตั้งเป็นราชวงศ์ขึ้นมาชื่อของราชวงศ์นั้นแต่เดิมคือ อู่ลู่อู ความสัมพันธ์ของ 2 ตระกูลนี้ก็ดีกันมาตลอดจนมาถึงสมัยของฮ่องเต้ที่เป็นปู่ของพ่อหรือเป็นทวดของเจ้านั้นเขาได้กลัวว่าอูลาเร่อปามีอำนาจมากกว่าตระกูลของตน เขาก็เลยหาเรื่องจนทำให้ตระกูลนี้ถูกกวาดล้างจนต้องระเห็จระเหิดหายไปไกล แล้วก็เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นราชวงศ์ อู่ลู่ แต่ฮองเฮาในสมัยนั้นก็เป็นคนจากตระกูลอูลาเร่อปาซึ่งฮ่องเต้ก็รักฮองเฮาเป็นอย่างมากตัดสินใจที่จะประหารไม่ได้เลยประหารองค์ชายองค์หญิงที่เกิดมาจากฮองเฮาทั้งหมดแต่ก็ปล่อยให้ฮองเฮามีชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียลูกทั้งหมดไปนั่นจึงทำให้พระนางรวบรวมขุนนางและสนับสนุนเสด็จพ่อของข้าที่ในตอนนั้นเป็นเพียงแค่ลูกของสนมไร้นามให้ขึ้นเป็นรัชทายาทแล้วหลังจากนั้นพระนางก็ลงมือสังหารอดีตฮ่องเต้ด้วยมือของพระนางเอง แล้วปกครองแผ่นดินอยู่หลังม่านกับเสด็จพ่อของข้าในตอนนั้นสืบมา แล้วการที่พ่อได้เป็นฮ่องเต้ในสมัยนี้นั่นก็เพราะพระนางได้ช่วยเหลือจนพ่อได้เป็นรัชทายาทและได้เป็นฮ่องเต้ในที่สุด แต่ก่อนที่พระนางจะสิ้นใจพระนางได้ขอให้พ่อช่วยเหลือคนจากตระกูลอูลาเร่อปาที่เหลือรอดตอบแทนพระนางที่ช่วยเหลือมาตลอด ส่วนที่ข้าถามเจ้าว่าเจ้ารู้จักจางชิงหรือไม่นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่สนับสนุนข้าจนได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยไร้ซึ่งผู้คนครหาดังปัจจุบัน และหลังจากที่ข้าได้เป็นฮ่องเต้เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
เมื่อฮ่องเต้กล่าวจบเด็กรุ่นหลังทั้ง 3 คนก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที ว่าเหตุการณ์มันเป็นมาอย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นขุนนางเหล่านี้ก็คงเป็นคนของอดีตฮองเฮาตระกูลอูลาเร่อปาใช่หรือไม่”ชิงอี้นางได้กล่าวสิ่งที่ติดอยู่ในใจนางออกมาทันที
แล้วเมื่อขุนนางเหล่านั้นได้ยินเช่นนั้นเขาก็พยักหน้าตอบรับทันที
“พวกเราเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วถ้าอย่างนั้นก็เรียกเราขุนนางเข้ามาประชุมหารือกันใหม่จะได้รีบแก้ปัญหา” ชิงอี้นางได้กล่าวออกมาอย่างลืมตัวว่าในยามนี้กำลังคุยอยู่กับฮ่องเต้อยู่ แต่ฮ่องเต้นั้นก็ไม่ได้สนใจหันไปบอกกงกงคนสนิทว่าไปเรียกเหล่าขุนนางกลับมาประชุม
เวลาผ่านไปสักพักเราขุนนางทั้งหลายก็กลับมาประจำที่ของตนเองทั้งหมดแล้วเริ่มเปิดประชุมเรื่องขององค์ชายแปดให้ไปปกครองแคว้นอู่ตี้
“เรื่องที่เจ้าบอกจะให้น้องเจ้าไปปกครองแคว้นอู่ตี้แล้วเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อแคว้นใหม่เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนั้นเพราะถ้าหากว่าเจ้ารวมทั้งสองแคว้นเข้าเป็นแคว้นเดียวมันก็ไม่ง่ายกว่าหรือ”ฮ่องเต้ได้เอ่ยเปิดเพื่อให้เหล่าขุนนางได้ฟังว่าถึงเหตุผลของรัชทายาท
“การที่รวมแคว้นเข้าด้วยกันนั้นมันง่ายอย่างที่ทุกคนคิดก็จริงแต่สมดุลของแผ่นดินก็จะหายไปเพราะแคว้นของเรากับแคว้นอู่ตี้ต่างก็เป็นแคว้นใหญ่ทั้งคู่ถ้าหากรวมเป็นหนึ่งเดียวอาจจะทำให้แคว้นอื่นอีกห้าแคว้นเกิดความระแวงแล้วอาจจะจับมือร่วมกันล้มล้างพวกเราได้ แล้วที่ลูกเสนอให้องค์ชายแปดไปปกครองนั้นก็เพราะว่าลูกกับองค์ชายแปดพ่อแม่คนเดียวกันนั่นก็ตัดปัญหาเรื่องที่องค์ชายแปดนั้นจะคิดแย่งชิงแผ่นดินของเราเพราะว่าลูกกับเขาเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแล้วเสด็จพ่อคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องที่ลูกเสนอขอรับ”
เมื่อขุนนางทั้งหลายได้รับรู้ว่าเหตุใดต้องทำเช่นนี้แม้อยากจะเถียงแต่ก็ไม่สามารถเถียงได้เพราะที่รัชทายาทพูดนั้นคือเรื่องจริงทั้งหมด
“แล้วพวกเจ้าทั้งหลายมีผู้ใดมีความเห็นต่างออกไปจากนี้หรือไม่”ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มราวกับจะบอกว่าห้ามมีผู้ใดเสนอความคิดของตนเด็ดขาด
“ดีถ้าไม่มีผู้ใดคัดค้านก็ไปตามองค์ชายแปด มา” เมื่อสิ้นเสียงของฮ่องเต้กงกงคนสนิทก็ไปตามองค์ชายแปดมาเข้าพบทันที เวลาผ่านไปสักพักองค์ชายแปดก็มาถึง
“ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อมาถึงเขาก็ได้คุกเข่าทำความคารวะทันที
“ลุกขึ้นเถอะที่พ่อเรียกเจ้ามาในครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะมอบหมายให้เจ้าไปทำนั่นก็คือ พ่อจะให้เจ้าไปปกครองแคว้นอู่ตี้แล้วให้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่เป็นราชวงศ์ อู่หลิน แต่ทุกคนในราชวงศ์จะต้องใช้แซ่อู่ลู่ซินหยางดังเดิม เจ้าจงไปเตรียมตัวให้พร้อมเพราะหลังจากเสร็จพิธีเลี้ยงฉลองชัยชนะพ่อจะให้เจ้าไปทันที”
เมื่อองค์ชายแปดได้ยินเช่นนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองบิดาของตนทันที อย่างไม่เชื่อหูของตนเองว่าบิดาของตนนั้นพูดเช่นนี้ออกมาจริงๆ
“องค์ชายแปดเกาลู่ ท่านยังไม่รีบขอบคุณฝ่าบาทอีก”อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้เอ่ยออกมานั่นทำให้องค์ชายแปดได้สติรีบคุกเข่าขอบคุณบิดาของตนทันที
“ขอบพระคุณเสด็จพ่อที่ไว้ใจในตัวลูกให้ลูกได้ทำงานใหญ่เช่นนี้”
“เจ้าควรขอบคุณพี่ชายของเจ้ากับแม่นางทั้งสองที่นั่งข้างๆเพราะพวกเขาเป็นคนเสนอให้ข้าส่งเจ้าไปทำงานใหญ่ในครั้งนี้”
“ขอบคุณเสด็จพี่และแม่นางทั้งสองที่ไว้ใจในตัวข้า” เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็หันไปคารวะขอบคุณคนทั้ง 3 ทันที
“ไม่เป็นไรน้องพี่ พี่เชื่อว่าเจ้าจะต้องทำได้” รัชทายาทได้เอ่ยออกมาพร้อมตบแขนของน้องชายเบาๆ ส่วนสองพี่น้องนั้นเพียงแค่นั่งยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
“เอาล่ะจัดแจงทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วทีนี้ถึงเวลามอบรางวัลให้กับคนที่มีคุณงามความดีในสงครามครั้งนี้”เมื่อฮ่องเต้กล่าวจบเขาก็ได้ลงมือเขียนราชโองการขึ้นมา 3 ฉบับแล้วมอบให้กับกงกงคนสนิทเพื่อที่จะให้อ่าน
“เชิญพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปารับราชการ” เมื่อทั้งคู่ได้ยินเช่นนั้นก็เดินมาคุกเข่าทำความคารวะทันที
“ผู้นำตระกูลอูลาเร่อปาจงรักษ์ภักดีต่อบ้านเมืองยอมเสียสละทั้งตระกูลเพื่อปกป้องบ้านเมืองเอาไว้ข้าในฐานะฮ่องเต้รู้สึกขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างมากที่ทำเพื่อบ้านเมืองขนาดนี้จึงจะขอแต่งตั้งบุตรสาวของเขาทั้งสองคนให้มีฐานะทางสังคมไม่ต้องอับอายลูกหลานขุนนางคนอื่นๆจึงขอแต่งตั้ง อูลาเร่อปาชิงเหมย เป็นท่านหญิงซีซวน ขอแต่งตั้ง อูลาเร่อปาชิงอี้ เป็นท่านหญิงซิ่วอิง จบราชโองการฉบับที่ 1”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี” ทั้งคู่ได้กล่าวและคารวะออกมาพร้อมทั้งยื่นมือไปรับราชองค์การทันที
“ราชโองการฉบับที่ 2 ด้วยความที่ท่านหญิงทั้งสองนั้นต้องสูญเสียครอบครัวในสงครามฝ่าบาทจึงสงสารและด้วยความฉลาดพร้อมความสามารถของท่านหญิงทั้งสองนั้นฝ่าบาทจึงขอประทานสมรสให้ท่านหญิงทั้งสองกับองค์รัชทายาทโดยให้ท่านหญิงซีซวนเป็นชายยาเอกและให้ท่านหญิงซิ่วอิงเป็นชายารอง และให้จัดพิธีอภิเษกสมรสหลังจากเสร็จงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะ ขอเชิญองค์รัชทายาทและท่านหญิงทั้งสองรับราชโองการ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็พูดคุยกันทันทีเพราะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้จนทำให้กงกงคนสนิทของฮ่องเต้เอ่ยออกมาเสียงดัง
“นี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาทหากผู้ใดกล้าขัดคำสั่งมีโทษประหารทั้งตระกูล”กงกงคนสนิทได้เอ่ยออกมาเสียงดังนั่งทำให้ขุนนางทั้งหลายเงียบสนิท
“แล้วส่วนราชโองการฉบับสุดท้ายขอให้รองแม่ทัพเจ๋อนำมันไปที่เมืองชิงชิว”เมื่อรองแม่ทัพเจ่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ออกมาคุกเข่าแล้วรับราชโองการนั้นพร้อมทั้งเอ่ยลาแล้วควบม้าไปเมืองชิงชิวทันที
โดยราชโองการนั้นเขียนเอาไว้ว่า ผู้นำตระกูลทั้ง 4 แห่งเมืองชิงชิวร่วมมือกันต่อต้านกองทัพศัตรูมีคุณงามความดีมากมายจึงขอแต่งตั้งให้ผู้นำตระกูลแต่ละคนให้มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นซิน พร้อมมอบที่ดินให้คนละ 3 ไร่ และให้ช่วยเจ้าเมืองปกครองดูแลเมืองแห่งนี้ ส่วนผู้นำตระกูลลู่นั้นได้เป็นเจ้าเมืองจึงขอเลื่อนตำแหน่งจากขุนนางขั้นหวังหมิ่น เป็นขุนนางขั้นหลีหมิ่น และเพื่อเป็นการขอโทษที่ยามเกิดสงครามทางเมืองหลวงไม่รู้เรื่องจึงไม่ได้ส่งกองกำลังไปช่วยจึงของดเก็บภาษีเมืองนี้เป็นเวลา 3 ปี
ตัดกลับมาทางวังหลวงเมื่อรองแม่ทัพออกไปแล้วฮ่องเต้ก็ทำการปิดการประชุมในครั้งนี้และเรียกรัชทายาทเข้าไปพบพูดคุยเป็นการส่วนตัว ส่วนท่านหญิงทั้งสองนั้นส่งไปให้ฮองเฮาอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทในวัง
“ที่เสด็จพ่อเรียกลูกมาครั้งนี้คงอยากจะถามเรื่องเหตุใดลูกถึงแต่งตั้งสองพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปาเป็นชายาเอกและชายยารองใช่หรือไม่ขอรับ”
เมื่อฮ่องเต้และรัชทายาทย้ายมาพูดคุยกันอยู่ที่ห้องอักษรรัชทายาทก็เอ่ยถามออกมาทันที
“สมแล้วที่เจ้าเป็นลูกที่ข้ารักที่สุดช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก”ฮ่องเต้ได้เอ่ยออกมาพร้อมกับหัวเราะ
“ที่ลูกแต่งตั้งพวกงานเป็นชายาเอกกับชายารองนั้นก็เพราะว่าคนพี่มีสติปัญญาที่เป็นเลิศกลยุทธ์และการวางแผนต่างๆของนางนั้นล้วนแล้วแต่แยบยนจนไม่มีใครสามารถจับผิดได้ ส่วนคนน้องก็เก่งด้านการรบและการวางกลยุทธ์พร้อมทั้งตำราพิชัยสงครามนางก็ศึกษาจนแตกฉานทุกศาสตร์แขนงวิชา ลูกจึงคิดว่าถ้าหากปล่อยพวกนางไปแล้วพวกขุนนางคนใดคนหนึ่งได้นางไปอยู่ในตระกูลละก็บัลลังก์ของเราคงสั่นคลอนไม่น้อยเพราะความฉลาดของพวกนาง”
“พ่อรู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่แต่เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าเจ้าจะควบคุมพวกนางได้”ฮ่องเต้ไม่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“เสด็จพ่อไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ขอรับ ลูกกับพวกนางได้ทำได้ทำสัญญาโลหิตกันเอาไว้แล้ว เพราะพวกนางก็ต้องการที่จะรักษาแผ่นดินนี้เอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าตระกูลของพวกนางยอมสละชีพเพื่อรักษาแผ่นดินนี้เอาไว้พวกนางจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายมันได้ขอรับเสด็จพ่อ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีพ่อรู้สึกโล่งใจยิ่งนักที่เห็นเจ้ามีคู่คิดที่เฉลียวฉลาดถึง 2 คนทีนี้เวลาเจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ต่อจากพ่อพ่อคงสบายใจ” เมื่อได้ฟังดังนั้นฮ่องเต้ก็ได้เอ่ยออกมาด้วยความโล่งใจ
“หลังจากจบพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าพ่อกับแม่จะสละบัลลังก์แล้วไปอยู่กับน้องของเจ้าเพื่อช่วยเหลือดูแลเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องที่พ่อกับแม่ของเจ้ากำลังจะทำ” เมื่อฮ่องเต้ได้เอ่ยความคิดของตนเขาก็เอ่ยถามบุตรชายของเขาทันที
“ไม่ว่าท่านพ่อท่านแม่จะทำอย่างไรลูกก็พร้อมสนับสนุนทุกอย่างขอรับขอเพียงพวกท่านมีความสุขลูกก็เห็นดีทุกอย่าง” เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปหาแม่ของเจ้าเถอะป่านนี้คงกำลังสอนพวกนางอย่างเข้มงวดเป็นแน่”
“ถ้าเช่นนั้นลูกขอตัว” เมื่อกล่าวจบรัชทายาทก็ลุกขึ้นแล้วทำการคารวะพร้อมเดินไปที่ตำหนักของฮองเฮา
ตัดกลับมาที่ตำหนักฮองเฮาหลังจากที่ชิงเหมยกับชิงอี้มาถึงฮองเฮาก็เรียกเข้าไปพบทันที
“ถวายบังคมเพคะฮองเฮา”เมื่อเข้ามาถึงทั้งคู่ก็ทำความคารวะทันที
“ไม่ต้องมากพิธีพูดปกติข้าไม่ถือสา”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”เมื่อฮองเฮาอนุญาตให้พูดปกติพวกนางก็ขอบคุณออกมาด้วยความสุภาพ
“พวกเจ้าเป็นคนจากตระกูลอูลาเร่อปาเรื่องมารยาทและพิธีในวังหลวงนั้นข้าคงไม่ต้องบอกเจ้าเพราะพวกเจ้าน่าจะได้เรียนรู้มาจากตระกูลแล้วใช่หรือไม่”ฮองเฮาที่ในตอนนี้อายุก็ 40 กว่าแล้วแต่ก็ยังคงความงดงามเอาไว้อยู่ได้เอ่ยถามกับเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่สงบ
“เจ้าค่ะ เรื่องมารยาทและพิธีการต่างๆทางต้นตระกูลได้เคยสั่งสอนเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ”ชิงเหมยได้เอ่ยออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องจุกจิกพวกนั้นข้าไม่สอนแต่จะสอนพวกเจ้าเรื่องเครื่องทรงต่างๆว่าแต่ละอย่างนั้นบอกฐานะอะไรในวังหลัง”
เมื่อกล่าวจบนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็เดินถือถาดที่ใส่ปลอกเล็บมากมายหลายสีหลายขนาดมาแล้วนำมาวางไว้ตรงหน้า
“เจ้าแยกออกหรือไม่ว่าปลอกเล็บแต่ละสีแต่ละลายความหมายต่างกันอย่างไร”ฮองเฮาได้เอ่ยถามอย่างใจเย็น
“ที่พวกเราทั้งสองคนรู้มีเพียงแค่ปลอกเล็บสีทองแกะสลักลายมังกรฝังทับทิมนั่นคือปลอกเล็บของของเฮา ปลอกเล็บสีทองแกะสลักลายหงส์ฝังฝั่งมรกตนั่นคือปลอกเล็บของไทเฮา นอกนั้นพวกเราไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยนางได้เอ่ยในสิ่งที่ตนรู้แก่ฮองเฮา
“ทำไมเจ้าถึงรู้แต่ของฮองเฮากับของไทเฮาเจ้าก็เป็นลูกขุนนางเจ้าไม่ได้ใส่เลยหรืออย่างไร” เมื่อได้ยินในสิ่งที่เด็กสาวตรงหน้าบอกฮองเฮาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยทันที
“ไม่ได้ใส่เจ้าค่ะเพราะท่านพ่อท่านแม่บอกว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่พวกเราก็เลยไม่ใส่เจ้าค่ะ” เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกชอบเด็กสาวทั้งสองคนตรงหน้านี้เป็นอย่างมาก
“ข้ารู้สึกชอบในชีวิตอิสระของพวกเจ้านักเดี๋ยวข้าจะสอนทุกอย่างที่ข้ารู้ให้กับพวกเจ้า” เมื่อกล่าวจบฮองเฮานางก็เดินลงมาจากบัลลังก์ของตนแล้วมานั่งข้างๆเด็กสาวทั้งสองคน
“ในเมื่อพวกเจ้ารู้ว่าของฮองเฮากับของไทเฮาเป็นอย่างไรแล้วข้าจะสอนพวกเจ้าว่าแต่ละสีแต่ละลายนั้นเป็นของใครเริ่มจากอันนี้ ปลอกเล็บสีทองแกะสลักลวดลายนกยูงฝังบุษราคัมเป็นของไทเฟย ปลอกเล็บสีทองแกะสลักลวดลายดอกโบตั๋นฝังหยกสีเขียวจักรพรรดิเป็นของกุ้ยเฟย ปลอกเล็บสีทองแกะสลักลายดอกท้อฝังหยกขาวมันแพะเป็นของสนมชั้นเฟย ปลอกเล็บสีเงินแกะสลักลายผีเสื้อฝังด้วยไข่มุกเป็นของสนมขั้นผิน ปลอกเล็บสีเงินแกะสลักลายดอกบัวฝักด้วยโกเมนเป็นของสนมขั้นกุ้ยเหริน ปลอกเล็บสีเงินวาดลวดลายดอกโบตั๋นเป็นของสนมขั้นฉางจ้าย ส่วนสุดท้ายปลอกเล็บสีเงินวาดลายดอกกล้วยไม้ฝังด้วยหยกเขียวธรรมดาเป็นของสนมขั้นตาอิ้ง พวกเจ้าทั้งสองคนนั้นเป็นท่านหญิงมีศักดิ์เป็นราชนิกูลปลอกเล็บที่เจ้าต้องใส่คือปลอกเล็บสีเงินประดับมุกธรรมดา และถ้าหากเจ้าได้เป็นพระชายาของรัชทายาทปลอกเล็บที่พวกเจ้าต้องใส่ก็คือปลอกเล็บสีทองแกะสลักลายไก่ฟ้าและประดับด้วยไพลิน ทีนี้เข้าใจหรือยังเพราะเมื่อถึงงานเลี้ยงเจ้าจงสังเกตผู้ที่มาร่วมงานให้ดีๆว่าแต่ละคนนั้นใส่ปอกเล็บแบบไหนจะได้ไม่ผิดพลาดไปล่วงเกินสนมนางใดเข้า” ฮองเฮาได้เอ่ยออกมาให้ทั้งคู่ได้รับรู้เอาไว้เพราะเย็นนี้จะมีงานเลี้ยงแล้วเหล่าสนมของฮ่องเต้ก็จะมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้กันเกือบทุกคน
“รับทราบเจ้าค่ะพวกเราจะจดจำทุกอย่างเอาไว้งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้จะไม่ทำให้ฮองเฮาต้องเสียหน้าที่เป็นคนสั่งสอนพวกเราเจ้าค่ะ” และยิ่งฮองเฮาได้เห็นว่าเด็กสาวทั้งสองคนนั้นว่านอนสอนง่ายนางยิ่งชอบมากกว่าเดิม
“ซูเพ่ยเจ้าไปเตรียมห้องให้ท่านหญิงทั้งสองแล้วพาพวกนางไปเตรียมตัวเมื่อถึงเวลาก็พาพวกนางไปร่วมงานด้วย”แต่เจ้าก็หานางกำนัลไปไว้ให้พวกนางตามลำดับฐานะของชายาองค์รัชทายาท
“ฮองเฮาเพคะหม่อมฉันมีคนติดตามมาด้วย 3 คนขอให้พวกนางมาเป็นนางกำนัลให้กับพวกเราได้ไหมเพคะ” ชิงอี้ได้เอ่ยออกมา
“ได้สิตอนนี้พวกนางอยู่ไหนเรียกเข้ามาแล้วส่งไปให้หัวหน้านางกำนัลอบรมสั่งสอน”
“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อกล่าวจบชิงอี้ก็ปล่อยผึ้งออกไปตัวนึงเพื่อให้ไปตามทั้ง 3 คนเข้ามานั้นทำให้ฮองเฮาสังเกตเห็น
“เมื่อกี้เจ้าปล่อยตัวอะไรบินไป”ฮองเฮาได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยทันที
“นั่นคือผึ้งสื่อสารเพคะ พวกเราเอาไว้สื่อสารกันในยามที่อยู่ห่างไกลเพราะผึ้งพวกนี้ถูกฝึกเอาไว้ให้บินไปหากลิ่นที่พวกมันได้รับมาตั้งแต่แรกเกิดเพคะ และเมื่อคนต้นทางได้เห็นผึ้งตัวนี้ก็จะดูที่ปีกว่าเขียนอะไรไว้เพราะพวกเรานั้นศึกษาร่วมกันจึงรู้ว่าคำเขียนแต่ละตัวหมายความว่าอย่างไรเพคะ”เมื่อกล่าวจบก็นำผึ้งออกมา 4 ตัวแล้วนำมาวางไว้ที่ด้านหน้าฮองเฮาพร้อมชี้ไปที่ปีกว่ามีอักษรสลักเอาไว้ พร้อมทั้งอธิบายละเอียดว่าอักษรแต่ละตัวหมายถึงอะไร
และเมื่อฮองเฮาได้เห็นเช่นนั้นนางก็พยักหน้าเข้าใจทันทีแต่ในใจนางคิดว่าเด็กคนนี้ใส่ชื่อบริสุทธิ์จริงๆหรือว่าแกล้งตบตานางกันแน่ที่ทำให้นางได้เห็นวิธีส่งสัญญาณลับเช่นนี้
จนเวลาผ่านไปได้สักพักคนที่ส่งผึ้งไปตามก็มาถึงที่ตำนักของฮองเฮา
“ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” เมื่อพวกนางมาถึงก็ทำการคารวะอย่างนอบน้อม
“มีเพียงแค่ 3 คนอย่างนั้นหรือแล้วจะแบ่งกันอย่างไรในเมื่อพวกเจ้ามีกันสองคน”
“พวกเราทำการแบ่งกันเรียบร้อยแล้วเพคะ โดยให้ไปอยู่กับท่านพี่ 2 คนแล้วอยู่กับหม่อมฉัน 1 คนเพคะ”
ซูเพ่ยไปหานางกำนัลส่วนที่ขาดให้กับพวกนาง”หลังจากที่ฮองเฮาได้ฟังเช่นนั้นนางก็สั่งนางกำนัลคนสนิทของตนให้ไปหานางกำนัลมาเติมในส่วนที่ขาดให้เต็ม
“เพคะฮองเฮา” เมื่อกล่าวจบนางกำนัลซูก็เดินออกไปทันทีหลังจากหายไปสักพักนางก็กลับมาพร้อมกับนางกำนัล 9 คน
“พวกเจ้าจงเลือกนางกำนัลเหล่านี้ไปให้ครบ 6 คน เพราะตามยศของพวกเจ้าคือพระชายาขององค์รัชทายาทมีตำแหน่งเท่าสนมขั้นผินต้องมีนางกำนัล 6 คนแต่ขันทีไม่สามารถมีได้
เมื่อทั้งคู่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็เลือกเอาคนที่ตนรู้สึกชื่นชอบมา และเมื่อของเฮาได้เห็นว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วนางก็ให้ทั้งคู่ไปพักผ่อนเพื่อเตรียมไปงานเลี้ยงในคืนนี้
เมื่อพวกนางเดินออกมาจากตำหนักฮองเฮาก็ได้พบเข้ากับรัชทายาทหลี่หยางที่กำลังเดินมา
“นี่พวกเจ้ากำลังจะไปที่ใดกัน” รัชทายาทได้เอ่ยถามพวกนางทันที
“พวกเรากำลังจะไปห้องพักที่ฮองเฮาได้จัดเตรียมเอาไว้ให้”ชิงอี้ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ห้วนสั้น
“ อี้เอ๋อตอนนี้เราอยู่วังหลวงจะพูดอะไรก็ระวังไว้ด้วย ขออภัยองค์รัชทายาทด้วยนะเจ้าคะที่น้องสาวของหม่อมฉันพูดจาไม่สุภาพ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกพวกเราคนกันเองทั้งนั้น” รัชทายาทหลี่หยางได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
แต่เมื่อฮองเฮาที่แอบมองอยู่ได้เห็นเช่นนั้นพระนางก็ยิ้มออกมาที่รู้ว่าอย่างน้อยๆลูกของตัวเองนั้นก็มีหัวใจ แล้วสั่งให้นางกำนัลคนสนิทไปช่วยสองพี่น้องแต่งตัวแล้วสั่งให้นำปลอกเล็บฐานะพระชายาองค์รัชทายาทไปให้พวกนางใส่ในงานเลี้ยงคืนดีด้วย
ชิงเหมยกับชิงอี้คุยกับรัชทายาทหลี่หยางไปสักพักพวกนางก็ขอตัวกลับห้องพัก
“ชิงอี้น้องกำลังคิดอะไรอยู่ถึงเปิดเผยให้ฮองเฮาได้เห็นเช่นนั้น” เมื่อมาถึงห้องพักชิงเหมยก็ได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยทันที
“ท่านพี่ตอนนี้พวกเราอยู่วังหลวงมีศัตรูมากมายกำลังจองพวกเราอยู่ที่ข้าได้ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ฮองเฮาไว้ใจในตัวพวกเราเวลาอยู่ที่นี่จะได้มีที่เอาไว้คุ้มหัวกันภัยอย่างไรเล่า” ชิงอี้ได้เอ่ยในสิ่งที่ตนคิดออกมาและนั่นก็ทำให้ชิงเหมยเข้าใจทันทีว่าน้องนั้นทำเพื่ออะไร
“พี่เข้าใจแล้วคราวหลังจะทำอะไรบอกพี่ไว้ก่อนก็ดีจะได้ช่วยกันคิด”
“เจ้าค่ะท่านพี่เข้าใจแล้วตอนนี้ท่านไปพักก่อนเถอะ”ชิงอี้ได้เอ่ยออกมาด้วยความทะเล้นตามิสัยของนางนัดก็ทำให้ชิงเหมยส่ายหัวออกมาด้วยความระอาแล้วเดินไปเอนหลังที่เตียง
เมื่อชิงอี้ได้เห็นว่าพี่สาวของตนนั้นหลับไปแล้วก็เดินออกมาที่ตำหนักแล้วปล่อยแมลงมุมขนาดเล็กที่นำติดตัวมาด้วยทันทีเพื่อให้พวกมันเป็นหูเป็นตาให้กับนาง แต่การกระทำนั้นของนางก็มีคนมาเห็นแล้วรีบวิ่งนำข่าวไปแจ้งให้กับนายของตนทันที
เมื่อถึงยามเว่ย (คือ 13.00 – 14.59 น.)
นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็มาที่ห้องพักของพวกนางเพื่อที่จะช่วยแต่งตัวไปงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในตอนเย็น
ก็อกๆๆๆ
“ท่านหญิงเจ้าคะฮองเฮาได้ให้หม่อมฉันมาช่วยท่านหญิงทั้งสองแต่งตัวเจ้าค่ะ” เมื่อมาถึงนางก็ได้เคาะแล้วเอ่ยถึงจุดประสงค์ของนางทันที
และเมื่อได้ยินเช่นนั้นชิงอี้นางก็ไปเปิดประตูให้คนสนิทของฮองเฮามาช่วยแต่งตัวทันที
“ท่านพี่ไม่ต้องเรียกพวกเราเช่นนั้นก็ได้พวกเราไม่ถือเรื่องพวกนี้” เมื่อนางกำนัลเข้ามาแล้วชิงเหมยก็ได้เอ่ยบอกทันที
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะที่นี่คือวังหลวงจะพูดจะจาอะไรก็ต้องมีความเคารพตามศักดิ์เจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถิด แล้วถ้าจะช่วยพวกเราอย่างไรก็ลงมือได้เลยพวกเราพร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่” ชิงเหมยที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ได้เอ่ยบอก
และเมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็เดินเข้ามาช่วยเลือกชุดที่จะใส่ไปในคืนนี้ทันทีและเมื่อเลือกได้แล้วนางก็ช่วยใส่อย่างสมบูรณ์รวมทั้งเครื่องประดับทุกอย่างช่วยเลือกช่วยใส่จนงดงามราวกับสตรีชั้นสูงที่ดูแลบำรุงตัวเองอย่างดีตั้งแต่วัยเยาว์
“ตั้งแต่หม่อมฉันได้ช่วยแต่งตัวให้กับสตรีชั้นสูงมากมายมีเพียงแค่ท่านทั้งสองที่งดงามที่สุดเท่าที่หม่อมฉันเคยพบเจอมาแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากที่แต่งตัวให้ทั้งสองเสร็จนางก็ได้เอ่ยออกมาทันที
“ท่านก็พูดเกินไปพวกเราก็แต่งธรรมดาแค่เพิ่มเครื่องประดับเล็กน้อยเท่านั้น” ชิงเหมยที่พยายามนี้สวมใส่อาภรณ์สีชมพูอ่อนปักด้วยลวดลายไก่ฟ้าพร้อมทั้งตัวของนางได้ประดับประดาไปด้วยมรกตงดงาม ส่วนชิงอี้นั้นนางได้สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลวดลายมัจฉาแหวกว่ายในวารีพร้อมทั้งตัวของนางประดับประดาไปด้วยทับทิมอย่างงดงาม
“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็ไปรอที่ตำหนักฮองเฮาเพราะพระนางได้สั่งเอาไว้เจ้าค่ะ” นางนั้นไม่ได้สนใจในสิ่งที่ชิงเหมยพูดนางก็ได้บอก
และเมื่อพวกนางได้ยินเช่นนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปที่ตำหนักฮองเฮาเพื่อเตรียมเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงกับพระนาง
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” เมื่อมาถึงพวกนางก็เอ่ยทำความคารวะทันที
“พวกเจ้างดงามยิ่งนักคนหนึ่งงดงามประหนึ่งบุปผาแรกแย้มส่วนอีกคนก็งดงามและลึกลับดั่งมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ในยามราตรีช่างเหมาะสมกับลูกชายของข้าจริงๆ”ฮองเฮาได้เอ่ยชมว่าที่ลูกสะใภ้ของพระนางทันทีแล้วพระนางก็สั่งให้นางกำนัลคนสนิทยกปลอกเล็บที่เตรียมเอาไว้ออกมา
“นี่คือสิ่งใดเพคะฮองเฮา ตามปกติแล้วพวกเราต้องได้ปลอกเล็กสีเงินประดับมุกมิใช่หรือเพคะ” ชิงเหมยนางได้เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะปลอกเล็บที่อยู่ตรงหน้านั้นคือปลอกเล็บสีทองแกะสลักลวดลายไก่ฟ้าประดับด้วยไพลิน
“เจ้าไม่ต้องสงสัยไปหรอกเพราะเจ้านั้นในตอนนี้มีศักดิ์เป็นชายาแห่งองค์รัชทายาทถึงแม้ยังไม่ได้ทำพิธีแต่งงานแต่ฮ่องเต้ประกาศไปแล้วถือว่าเจ้าได้เป็นแล้ว แล้วทีนี้เวลาเจ้าไปร่วมงานตั้งแต่สนมขั้นผินลงไปเจ้าไม่ต้องทำความเคารพ”
“เพคะฮองเฮา” เมื่อกล่าวจบพวกนางก็หยิบปลอกเล็บที่ฮองเฮาเตรียมไว้ให้นำมาใส่ทันที และยิ่งพวกนางใส่ปลอกเล็บยิ่งทำให้พวกนางดูงดงามและสูงศักดิ์ยิ่งขึ้นไปอีก
“เอาล่ะในเมื่อพวกเจ้าพร้อมกันแล้วงั้นก็ไปกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา” เมื่อกล่าวจบฮองเฮาก็เดินนำหน้าแล้วทั้งคู่ก็เดินตามหลังของเขาไปเรื่อยๆพร้อมทั้งนางกำนัลและขันทีเดินตามขบวนอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
“ฮองเฮาเสด็จ!!!!” เมื่อมาถึงงานขันทีก็เอ่ยออกมาเสียงดังนั่นทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาทำความคารวะ พระนางนั้นไม่ได้สนใจผู้ใดเดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แล้วชี้ไปที่ตำแหน่งที่เตี้ยกว่าข้างๆตนให้พวกนางทั้งสองที่ตามมาไปนั่งยังตำแหน่งนั้น
“ฮ่องเต้เสด็จ!!!!!รัชทายาทเสด็จ!!!!!!” เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักขันทีก็ประกาศออกมาอีกครั้งเสียงดังนั่นทำให้ทุกคนคุกเข่าคารวะกันอย่างถ้วนหน้า
ฮ่องเต้เขาก็ได้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ส่วนรัชทายาทเขาได้นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับฮ่องเต้ซึ่งตรงข้ามกับสองพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปา
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะที่สามารถเอาชนะแคว้นอู่ตี้ได้ขอให้พวกเจ้าทุกคนกินดื่มกันอย่างมีความสุข” เมื่อฮ่องเต้ได้เห็นว่าทุกคนเข้าประจำที่กันหมดแล้วเขาก็ได้เอ่ยออกมา
และเมื่อเหล่าแม่ทัพขุนนางที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเขาก็ได้ลงมือกินกันอย่างมีความสุขทันที
“รายงาน!!!!!!!” เสียงของนายทหารคนนึงวิ่งถือตราประจำตัวแม่ทัพบูรพาเข้ามา
“มีเรื่องอะไรเหตุใดถึงวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นเช่นนี้” รองแม่ทัพคนนึงได้เอ่ยถาม
“กราบทูลฝ่าบาทแม่ทัพบูรพาได้ให้กระหม่อมมารายงานว่าในยามนี้แคว้นซูกับแคว้นหานร่วมมือกันและกำลังยกทัพมาใกล้ถึงชายแดนแล้วขอรับท่านแม่ทัพต้องการให้ส่งทหารไปสนับสนุนด่วนก่อนที่กองทัพของอีกฝ่ายจะบุกมาถึงชายแดน”
หลังจากสิ้นเสียงนั้นของทหารภายในงานเลี้ยงแห่งนี้ก็ตกอยู่ภายใต้บรรยากาศอึมครึมทันที
“กระหม่อมมีข้อเสนอขอรับให้รัชทายาทไปรบในครั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหมาะกับการที่จะเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป”
เสียงของขุนนางคนหนึ่งได้เอ่ยออกมานั่นทำให้ทุกคนในที่นี้หันมามองที่รัชทายาทเป็นตาเดียว