บทที่ 9 พลังของสตรี
เมื่อกล่าวจบทุกคนก็เดินออกไปขึ้นม้าที่เตรียมเอาไว้ทันทีแล้วควบไปที่ประตูเมือง และเมื่อมาปิดประตูเมืองพวกนางก็ขึ้นไปบนกำแพงเมืองทันที่
“ท่านพี่ท่านนั่งบรรเลงเพลงอยู่บนนี้ให้สบายใจเถอะเดี๋ยวพวกข้าจะลงไปจัดการพวกที่อยู่ข้างล่างเอง” เมื่อขึ้นมาบนกำแพงชิงอี้ก็จัดที่ให้พี่สาวของตนนั่งในการดีดฉิน
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอกเจ้าเป็นห่วงตัวเจ้าเองเถอะ ลงไปต่อสู้ข้างล่างก็อย่าบาดเจ็บละพี่เป็นห่วงรู้ไหม”ชิงเหมยได้จับมือน้องสาวของตนเองแล้วเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ข้าสัญญาข้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอนท่านพี่”เมื่อกล่าวจบชิงอี้ก็ได้ถือง้าวแล้วกระโดดลงจากกำแพงทันทีและเมื่อเหล่าบริวารได้เห็นเช่นนั้นก็ถืออาวุธประจำตัวของตัวเองแล้วก็โดดตาม
และนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่บนนั้นตกใจเป็นอย่างมากเพราะกำแพงนี้มีความสูงมากกว่าหนึ่งจั้งหากตกลงไปในความสูงขนาดนี้ไม่ตายก็พิการ จนพวกเขาทั้งหมดต้องรีบวิ่งไปดูว่าเป็นอย่างไรบ้างแต่ก็พบว่าทั้งหมดที่กระโดดลงไปนั้นไม่มีใครเป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
ส่วนชิงเหมยที่ได้เห็นว่าน้องสาวและบริวารได้ลงไปแล้วนั้นนางก็เริ่มบรรเลงเพลงทันที บทเพลงที่นางร่ายบรรเลงนั้นเป็นบทเพลงที่อ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความโหดเหี้ยมและยิ่งเมื่อบรรเลงมาถึงกลางเพลงนั้นก็ได้มีฝูงของเหล่าผึ้งต่อแตนและสัตว์มีพิษที่บินได้มากมายบินมาจากไหนก็ไม่รู้จนเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า และเมื่อผ่านไปได้สักพักบทเพลงที่นางบรรเลงนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นบทเพลงที่ดุดันและรุนแรงนั่นก็ทำให้เหล่าสัตว์ที่มานั้นบินลงไปโจมตีศัตรูที่อยู่ด้านล่างทันที
“พวกนั้นมัน ไม่จริงมันน่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ”แม่ทัพอาวุโสที่เคยดูถูกเหล่าสตรีเอาไว้ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“มีอะไรอย่างนั้นหรือท่านแม่ทัพเต๋อ ท่านอธิบายให้พวกเราฟังหน่อยได้หรือไม่”
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใช่หรือเปล่าเพราะไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนแต่จากที่ข้าอ่านเจอในตำราผึ้งที่ท่านหญิงซีซวนเรียกมาคือ ผึ้งมรกต พิษของมันนั้นถ้าหากผู้ใดโดนต่อยแล้วก็มันคนนั้นไม่มีสิทธิ์รอดเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนตัวต่อนั้นชื่อของมันก็คือ ต่อหยกมรณะ พิษของมันนั้นอันตรายเหมือนกับผึ้งมรกตไม่ผิดเพี้ยนแต่ความสามารถอีกอย่างหนึ่งของมันก็คือพิษของวันนั้นสามารถไปติดต่อกับผู้อื่นได้ถ้าหากคนที่โดนต่อยไปสัมผัสคนที่ไม่ถูกต่อย ส่วนแตนนั้นถ้าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคือตัวไหนแต่ถ้าให้ค่าเดาจากรูปลักษณ์และสีของมันแล้วล่ะก็มันน่าจะมีชื่อว่า”
“แตนเพลิงสีชาด ส่วนแมลงปอที่พวกเจ้าเห็นนั้นมีชื่อว่าแมลงปอ 7 ปีกสังหาร ส่วนผีเสื้อที่พวกเจ้าเห็นนั้นมีชื่อว่า ผีเสื้อพาฝัน ส่วนแมลงวันนั้นมีชื่อว่า แมลงวันยมมันโลก ส่วนตัวอื่นๆนั้นถ้าพวกเจ้าอยากรู้คงต้องรอถามจากน้องสาวของข้าเอาเองเพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”ชิงเหมยที่มือยังบรรเลงเพลงอยู่นั้นนางก็ได้เอ่ยตอบให้กับทุกคนที่สงสัย แล้วนางก็ได้เปลี่ยนช่วงทำนองอีกครั้งตอนนี้นางได้บรรเลงเพลงสังหารแล้วเพลงนี้นั้นจะทำให้เหล่าสัตว์ที่นางเรียกมานั้นมีอารมณ์ที่ดุร้ายโหดเหี้ยมมากกว่าเดิมทำให้พวกมันรุมต่อยรุมกัดกองทัพของศัตรูจนล้มตายไปมากมาย
ตัดกลับมาทางด้านของพวกชิงอี้ที่กระโดดลงมาบนเบื้องล่างนั้นเหล่าบริวารของชิงอี้พวกนางก็ได้กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้วบุกเข้าไปในกองทัพสังหารศัตรูอย่างรวดเร็วจนพวกมันนั้นไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว
“หึ หึ หึ เด็กๆที่น่ารักของข้าเอาเลยได้เวลากินข้าวแล้ว ออ แต่พวกเจ้าต้องเหลือพวกแม่ทัพและรองแม่ทัพเอาไว้ให้ข้าเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
เมื่อสิ้นเสียงนั้นของชิงอี้ใต้พื้นดินนั้นก็มีเหล่าสรรพสัตว์ที่มีพิษมากมายผุดขึ้นมาแล้วเข้าโจมตีกับกินร่างของศัตรูทั้งหมดทันที
“ท่านพี่เริ่มแล้วหรือนี่ข้าคงต้องรีบปิดงานซะแล้วสิก่อนที่ท่านพี่จะแย่งไป”หลังจากที่ปล่อยให้เหล่าบริวารได้กินอาหารกันอย่างมีความสุขนางก็ได้เหลือบตาขึ้นไปเห็นว่ามีฝูงสัตว์พิษมากมายบนท้องฟ้ากำลังบินลงมาโจมตีใส่ศัตรู
และเมื่อได้เห็นเช่นนั้นนางก็ได้เดินลากง้าวในมือไปยังกระโจมของผู้บัญชาการกองทัพทันที
ครืดดดดดด
เสียงคมของง้าวลากไปตามพื้นดังไปทั่วพื้นที่นั่นทำให้คนที่ยังไม่ตายที่ได้ยินนั้นเกิดความหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิมจนไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้แล้วนอกจากนอนขดตัวอยู่ที่พื้นรอความตายเท่านั้น นางนั้นได้ย่ำเท้าไปทั่วทุกที่เพื่อจัดการเหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพทั้งหมดของฝ่ายศัตรูและที่สุดท้ายที่นางจะไปก็คือกระโจมของผู้บัญชาการ
พึ่บ!!!
เสียงของกระโจมที่โดนกรีดดังขึ้นนั่นทำให้ผู้คนที่อยู่ในกระโจมตกใจ
“เจ้าเป็นใครกล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาที่นี่ไม่กลัวตายหรือยังไง!!!” เหล่าบุคคลที่ไม่รู้ว่าในยามนี้เหลือเพียงแค่พวกตนนั้นได้เอ่ยออกมา
“หานเป่ย องค์ชายคนที่ 3 ของแคว้นหาน ซูเหลียง องค์ชายคนที่ 6 ของแคว้นซู พวกเจ้าจงยอมแพ้ซะเพราะในตอนนี้ทหารของพวกเจ้าถูกข้าจัดการทั้งหมดแล้ว”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันจะเป็นไปได้ยังไงกองทัพของข้ามีมากเกินกว่า 200,000 นายแต่เจ้ามาเพียงแค่คนเดียวช่างกล้าพูด ทหารมาจับนางผู้หญิงปากดีชั้นต่ำคนนี้ไปฆ่า” หานเป่ยได้ตะโกนเรียกทหารแต่ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามา
“หึ หึ หึ เปล่าประโยชน์ไม่เชื่อก็ลองออกไปดูข้างนอกสิว่าตอนนี้กองทัพเจ้ายังอยู่หรือไม่”
องค์ชายทั้งสองนั้นชั่งใจอยู่คู่นึงพวกเขาก็เปิดกระจกออกไปดูก็ได้พบว่าในตอนนี้กองทัพของตนนั้นถูกเหล่าสรรพสัตว์นานาชนิดรุมกัดกินจนแทบไม่เหลือแล้ว นั่นทำให้พวกเขาตกใจจนสติแทบหลุดคุกเข่าลงกับพื้นแล้วคลานหนีด้วยความหวาดกลัว
“ทีนี้พวกเจ้ายอมแพ้กันได้หรือยัง”ชิงอี้ได้เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบสนิทนั่นทำให้ทั้งสองคนนั้นได้สติคืนมาแล้วลุกขึ้นชักกระบี่ขึ้นมาถือไว้ในมือ
“ยังไงเจ้าก็เป็นผู้หญิงไม่มีวันเอาชนะผู้ชายได้หรอก”ซูเหลียงที่พยายามควบคุมไม่ให้เสียของตัวเองสั่นได้เอ่ยดูถูกออกมาและนั่นก็ทำให้ชิงอี้โกรธเป็นอย่างมาก
“นี่นะหรือคำที่เขาเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าหากหมามันจนตรอกก็จะหันกลับมาสู้ ข้าอยากจะรู้นักว่าหมาอย่างพวกเจ้านั้นจะทำอะไรข้าได้”เมื่อกล่าวจบนางก็ตวัดง้าวในมือโจมตีใส่ทั้งสองคนทันที
เคร้ง!!!
ทั้งสองนั้นยกกระบี่ขึ้นมาตั้งพร้อมกันจนทำให้อาวุธทั้งสามเข้าปะทะกันเสียงดัง
และเมื่อได้เห็นเช่นนั้นนางก็โจมตีใส่ไม่ยั้งด้วยความเร็วและความรุนแรงจนไม่คิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะมีความสามารถถึงขนาดนี้
“อะไรกันเป็นบุรุษแท้ๆแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรือข้าว่าพวกเจ้าคงไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยคนนึง” ชิงอี้นางได้เอ่ยยั่วยุอีกฝ่ายเพื่อให้อีกฝ่ายเสียสมาธิและก็เป็นไปตามที่นางต้องการเพราะพวกเขาทั้งคู่ต่างก็สูญเสียความเยือกเย็นไปนั่นก็หมายความว่าพวกเขานั้นแพ้แล้ว
“ข้าคิดว่าพวกเราควรหยุดเล่นกันได้แล้ว”เมื่อสิ้นเสียงนั้นของนางร่างของทั้งคู่ก็ถูกบางอย่างตรึงเอาไว้อยู่กับที่
“เจิงลู่มานำพวกมันไปไว้กับพวกแม่ทัพ”เมื่อสิ้นเสียงนั้นเจิงลู่ก็เดินเข้ามาแล้วนำตัวองค์ชายทั้งสองคนไปรวมกับแม่ทัพที่จับได้แล้วนำทุกคนเข้าไปในเมือง
“เป็นอย่างไรบ้างเหล่าบุรุษผู้เก่งกล้าทั้งหลายทำเช่นข้าได้หรือไม่” เมื่อชิงอี้เข้ามาถึงที่ประชุมก็ได้เอ่ยออกมาด้วยความเหนือชัย
นั่นก็ทำให้เหล่าบุรุษทั้งหลายที่อยู่ในนี้นั้นโมโหเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาเลยแม้แต่ประโยคเดียวเพราะที่อีกฝ่ายพูดมานั้นล้วนแล้วเป็นความจริงทั้งสิ้น
“รัชทายาทท่านจะจัดการอย่างไรกับพวกเขาเหล่านี้เจ้าคะ”ชิงเหมยได้หันไปถามรัชทายาทเพราะตั้งแต่พวกนางเดินเข้ามารัชทายาทก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“นำพวกมันทั้งหมดกลับไปที่เมืองหลวงแล้วใช้ต่อรองกับฮ่องเต้ขอบทั้งสองแคว้นว่าจะเอาอย่างไร”รัชทายาทที่ในตอนนี้แม้จะรู้สึกเสียหน้าแค่ไหนก็ต้องทำในสิ่งที่ตนต้องทำ
“ถ้าเช่นนั้นท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด”
“จัดการธุระทางเมืองนี้เสร็จเมื่อไหร่ก็จะกลับเมื่อนั้น”
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าก็ไม่รบกวนท่านทั้งหลายแล้วขอตัว” เมื่อกล่าวจบเหล่าสตรีทุกนางก็เดินกลับไปยังที่พักของตนทันที และตลอดเส้นทางการเดินนั้นก็ได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่าประชาชนว่าเป็นวีรสตรีที่กอบกู้เมืองนี้เอาไว้ นั้นก็ทำให้เหล่าบุรุษทั้งหลายรู้สึกเสียหน้ายิ่งกว่าเดิมเพราะพวกตนเป็นบุรุษแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้
“ข้าขอสาบานเลยว่าถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ข้าจะต้องจัดการพวกเจ้าให้จมธรณีด้วยมือของข้าเอง” แม่ทัพชราได้เอ่ยออกมาด้วยความโกรธที่สุมอยู่ในอกจนแทบจะระเบิด
“พวกเจ้ามีใครบาดเจ็บหรือไม่”หลังกลับมาถึงจวนชิงเหมยก็ถามทุกคนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีใครบาดเจ็บเจ้าค่ะขอบพระคุณที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”เจิงลู่ได้เอ่ยตอบแทนน้องๆทุกคน
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว วันนี้พวกเจ้าก็เหนื่อยกันมามากแล้วไปผักผ่อนเถอะ”
“พี่ข้าบอกให้ไปก็ไป”ชิงอี้ได้เอ่ยบอกเพราะเห็นว่าพวกนางจะเอ่ยแย้ง
และเมื่อพวกนางได้ยินเช่นนั้นก็ทำความเคารพแล้วเดินออกไปทันที
“ท่านพี่วิชาควบคุมของท่านแข็งแกร่งขึ้นมาก” หลังจากที่ทุกคนออกไปจนหมดนางได้เอ่ยชมพี่สาวของตนทันที
“นั้นก็เพราะมีเจ้าช่วยสอนยังละพี่ถึงเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดแบบนี้”
“ไม่จริงเป็นเพราะท่านพี่พยายามเลยออกมาดีเช่นนี้”
สองคนพี่น้องนั้นต่างก็เอ่ยชมกันไปมาแล้วหัวเราะกันอย่างมีความสุข
และหลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วรัชทายาทหลี่หยางก็นำทัพกลับเมืองหลวงทันที
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงฮ่องเต้ก็เรียกพบรัชทายาทหลี่หยางท่านหญิงและผู้นำทั้งหมดทันที
“ศึกครั้งนี้พวกเจ้าทำดีมากข้ามีรางวัลจะมอบให้พวกเจ้าทุกคน”
“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ/เพคะฝ่าบาท” ทุกคนเอ่ยออกมาพร้อมกันเสียงดัง
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะกระหม่อมมีเรื่องจะรายงานเกี่ยวกับท่านหญิงทั้งสองพะย่ะค่ะ”แม่ทัพจงได้เอ่ยออกมา
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ท่านหญิงทั้งสองนั้นมีความรู้ความสามารถมากมายแต่พอถึงในยามสงครามกับหดหัวอยู่แต่ในจวนจนทำให้สูญเสียทหารกล้าไปหลายหมื่นนายถึงออกมาช่วยวางแผ่น กระหม่อมคิดว่าพวกนางไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทพะย่ะค่ะ ถ้าพระองค์ไม่เชื่อก็ถามเหล่าแม่ทัพทั้งหลายได้ พะย่ะค่ะ”เมื่อสิ้นเสียงของแม่ทัพจงคนที่อยู่ข้างเดียวกันกับเขาก็เอ่ยสนับสนุนทันที นั้นก็ทำให้แม่ทัพจงกระตุกยิ้มมุมปาก
“พวกเจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ในสิ่งที่รายงานมานั้นคือเรื่องจริง”ฮ่องเต้ได้เอ่ยออกมา
“พวกเรามั่นใจพะย่ะค่ะ”
“ดี ทหาร!!! ลากพวกคนนี่ออกไปรอลงอาญา”