บทที่ 6 เข้าเมืองหลวง
“พวกเจ้าจะเข้าเมืองหลวงกันเมื่อไหร่ข้าจะได้สั่งคนให้เตรียมตัว”
หลังจากที่ทั้ง 3 ได้ทำสัญญากันเรียบร้อยแล้วนั้นรัชทายาทก็ได้ถามทั้งคู่ทันทีว่าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงกันเมื่อไหร่
“พวกเราจัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้วแล้วแต่ท่านว่าจะเดินทางกันเมื่อไหร่ตอนนี้พวกข้าพร้อมแล้ว”ชิงเหมยนางได้กล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางวันนี้เลยก็แล้วกันจะได้รีบวางแผนว่าจะทำอย่างไรกับแคว้นอู่ตี้ดี”หลังจากที่รัชทายาทมั่นใจแล้วว่าคนทั้งคู่นั้นสามารถเชื่อถือได้เขาก็ไม่คิดปิดบัง
“แล้วแต่ท่านเห็นสมควรของข้าเก็บเสร็จทั้งหมดแล้วตัวข้าและน้องก็พร้อมเสมอ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็นำทหารไปที่จวนของพวกเจ้าเพื่อขนของของพวกเจ้า เดี๋ยวข้าจะเร่งเก็บกระโจมทั้งหมดแล้วรีบเดินทาง”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัว”เมื่อกล่าวจบสองพี่น้องก็เดินออกไปด้านนอกทันทีแล้วเรียกเหล่าทหารพร้อมรถม้า 3 คันไปที่จวนตระกูลอูลาเร่อปาเพื่อที่จะขนของทั้งหมดที่เก็บไปเมืองหลวง
“อู่ซูเจ้าจงไปตามผู้นำตระกูลทั้งหมดมารวมตัวกันที่หอประชุมข้ามีเรื่องสำคัญที่จะแจ้งให้กับพวกเขาทั้งหมด”ชิงอี้นางได้บอกกับองครักษ์ที่พ่อนางทิ้งเอาไว้ให้ไปตามเหล่าผู้นำตระกูลมา
และเมื่อองครักษ์ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไปตามคำสั่งของผู้เป็นนายทันที จนเวลาผ่านไปได้สักพักผู้นำตระกูลทั้ง 4 ก็มารวมตัวกันอยู่ที่หอประชุมกลางเมือง
“ชิงอี้หลานเรียกรวมตัวพวกเราด่วนเช่นนี้มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“วันนี้ข้าและพี่สาวจะเดินทางไปเมืองหลวงกับองค์รัชทายาทและคิดว่าการไปครั้งนี้คงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยจะขอแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่”
หลังจากสิ้นเสียงนั้นของชิงอี้ภายในหอประชุมแห่งนี้ก็ตกอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดทันที
“แล้วหลานคิดที่จะให้ใครเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป” ผู้นำตระกูลอู่ได้เอ่ยถามออกมา
“ตอนที่ท่านพ่อได้มอบตราเจ้าเมืองให้กับข้าท่านได้สั่งเสียเอาไว้ว่าถ้าหากว่าข้าไม่ได้เป็นเจ้าเมืองก็ขอมอบตำแหน่งนี้ให้กับผู้นำตระกูลลู่ แล้วพวกท่านทั้งหลายคิดเห็นเช่นไร”ชิงอี้นางได้เอ่ยโกหกออกไป
เมื่อผู้นำตระกูลทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันคิดว่ามันดีแล้วเพราะผู้นำตระกูลู่นั้นประพฤติดีในสายตาของพวกเขามาตลอด
“งั้นก็เอาตามที่อดีตท่านเจ้าเมืองได้สั่งเสียเอาไว้พวกเราไม่ขัด” เมื่อผู้นำตระกูลทั้ง 3 ได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วเขาก็เอ่ยออกมา
“ข้าขอขอบคุณทุกท่านทั้งหลายที่ไว้ใจในตัวข้าให้เป็นเจ้าเมือง ข้าจะไม่ทำให้ทุกท่านต้องผิดหวัง”ผู้นำตระกูลลู่หลังจากที่นั่งเงียบฟังทุกคนพูดคุยกันเขาก็ได้เอ่ยขอบคุณออกมา
“ถ้าอย่างนั้นขอเชิญผู้นำตระกูลลู่มายืนอยู่ที่กลางหอประชุมแล้วเอ่ยคำสาบานต่อหน้าองค์เทพ เฉิงหวงเสิน*¹ ที่เป็นผู้พิทักษ์รักษาเมืองว่าจะดูแลปกป้องเมืองนี้ด้วยชีวิตของผู้เป็นเจ้าเมือง”
เมื่อผู้นำตระกูลลู่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็เดินออกมาคุกเข่าที่หน้ารูปปั้นขององค์เทพทันทีแล้วเอ่ยคำปฏิญาณตามกฎของเจ้าเมืองทุกอย่างพร้อมทั้งกรีดฝ่ามือหยดเลือดสาบาน
เมื่อชิงอี้ได้เห็นเช่นนั้นนางก็เดินถือตราสัญลักษณ์ของเจ้าเมืองไปมอบให้กับผู้นำตระกูลลู่
และเมื่อผู้นำตระกูลลู่ได้รับตราสัญลักษณ์ของเจ้าเมืองเขาก็นำมันมาวางไว้ที่ศีรษะพร้อมเอ่ยคําปฏิญาณตนอีกครั้ง
และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีต่างๆทางแต่ละตระกูลที่มาเข้าร่วมก็ประกาศออกไปว่าเจ้าเมืองคนใหม่แห่งชิงชิวก็คือผู้นำตระกูลลู่ ลู่อู่เซิน
“ชิงอี้เจ้ากับพี่สาวของเจ้านั้นไปเมืองหลวงเพียงลำพังลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ให้บุตรสาวของลุงไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่เมืองหลวงดีหรือไม่” ลู่อู่เซินที่ถูกชิงอี้ควบคุมเรียบร้อยแล้วเขาได้เอ่ยออกมาตามสิ่งที่ชิงอี้ได้บอกเอาไว้
“ทำเช่นนั้นมันจะดีหรือท่านก็มีบุตรสาวเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ''
“ดีแล้วลุงนั้นก็ยังมีลูกชายอีกหลายคนอยู่ด้วยไม่เหงาหรอกแต่พวกเจ้านี้สิไปอยู่ที่เมืองหลวงแค่ 2 คนพี่น้องลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก”
“ถ้าท่านลุงคิดว่าดีข้าก็ไม่ปฏิเสธ” เมื่อชิงอี้ได้กล่าวออกมาเช่นนั้นผู้นำตระกูลลู่ก็ได้เรียกบุตรสาวของตนทั้ง 3 มาทันที
“คารวะท่านพ่อคารวะทุกๆท่านเจ้าค่ะ”เมื่อทั้ง 3 คนมาถึงก็ทำการคารวะทุกคนทันที
“ท่านพ่อเรียกพวกเรามามีเรื่องอะไรที่จะให้พวกเรารับใช้หรือเจ้าคะ”
“พ่อจะให้เจ้าตามไปรับใช้ชิงเหมยกับชิงอี้ที่เมืองหลวงพวกเจ้าจะว่าอย่างไร”
“พวกเราแล้วแต่ท่านพ่อเลยเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีพวกเจ้าจงรีบกลับบ้านไปเตรียมข้าวของเพราะเดี๋ยวพวกเขาจะเดินทางกันแล้ววันนี้”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”เมื่อกล่าวจบพวกนางก็เร่งเดินทางกลับบ้านทันทีแล้วใช้เวลาเก็บข้าวของไม่นานก็มายืนรออยู่ที่หน้าจวนตระกูลอูลาเร่อปา
และเหล่าชาวบ้านเมื่อรู้ว่าพวกนางจะเดินทางไปเมืองหลวงก็มายืนรอที่หน้าประตูจวนเพื่อจะส่งพวกเขา
และเมื่อพวกได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณกับทุกคนที่มาส่งแล้วนั่งรถม้าออกไปที่นอกเมืองเพื่อที่จะไปเดินทางร่วมกับรัชทายาท
ทางด้านรัชทายาทนั้นหลังจากที่แยกจากสองพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปาเขาก็สั่งให้ทหารทุกนายเก็บข้าวของเตรียมกลับเมืองหลวงเพื่อประชุมว่าจะจัดการเรื่องแคว้นอู่ตี้อย่างไรดี โดยเวลาผ่านไปได้ 1 ชั่วยามทุกอย่างก็เสร็จสิ้นพร้อมกับ 2 พี่น้องตระกูลอูลาเร่อปาก็เดินทางมาถึงพอดี
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ” เมื่อมาถึงทั้งสองคนก็ทำการคารวะรัชทายาททันที
“ไม่ต้องมากพิธี แล้วนี่พวกเจ้าจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เรียบร้อยแล้วเพคะ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็เร่งออกเดินทางกันเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา เหล่าทหารทั้งหลายถ้าหากพวกเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางได้เลยเดี๋ยวข้ากับเหล่าแม่ทัพจะเดินทางล่วงหน้ากันไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท!!!” เหล่าทหารทั้งหลายตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมทำความคารวะแล้วเร่งหันไปเก็บข้าวของที่ยังไม่เสร็จทันที
“ส่วนพวกเจ้าก็นั่งรถม้าไปกับข้าเลยก็แล้วกันจะได้พูดคุยปรึกษากันด้วย” เมื่อหันไปบอกเหล่าทหารเรียบร้อยแล้วก็ได้หันกลับมาคุยกับทั้งคู่
“เพคะ” ชิงเหมยนางได้ตอบกลับอย่างนอบน้อมส่วนชิงอี้นางก็ยืนนิ่งๆไม่พูดไม่จาอะไร แล้วทั้งคู่ก็เดินขึ้นรถมาไปพร้อมกับรัชทายาท
“ในความคิดของพวกเจ้าพวกเจ้าว่าจะจัดการแคว้นอู่ตี้อย่างไรดี” เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้วจัดทุกอย่างเสร็จสิ้นรัชทายาทก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาทันที
“ก่อนที่จะพูดคุยปรึกษากันข้าว่าเราควรเปิดใจต่อกันดีกว่าเพราะตั้งแต่เจ้าเข้ามาในชีวิตของพวกเราพวกเรายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย” ชิงอี้นางได้เอ่ยออกมา
“ขอโทษด้วยข้าลืมแนะนำตัวข้ามีนามว่า หลี่หยาง แซ่ของข้าก็คือ อู่ลู่ซินหยาง ทีนี้ข้าเข้าเรื่องสำคัญได้หรือยัง”รัชทายาทหลี่หยางได้เอ่ยออกมาราวกับว่ากำลังจะประชด
“เชิญองค์รัชทายาทกล่าวออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ชิงเหมยที่เห็นว่าท่าทางเริ่มไม่ดีแล้วก็ได้เอ่ยออกมา
“ข้าอยากจะรู้ว่าในความคิดของพวกเจ้าจะจัดการแคว้นอู่ตี้อย่างไรดี เพราะตอนนี้จักรพรรดิของแคว้นก็ถูกสังหารไปแล้วตราบัญชากองทัพก็อยู่ในมือของข้าพร้อมทั้งตราประทับฮ่องเต้ก็อยู่ในมือของข้าเช่นกัน”
“เรื่องนี้ก็ไม่ยากก็เพียงแค่รวมทั้งสองแคว้นเข้าด้วยกันแค่นั้นเองเรื่องง่ายๆ” ชิงอี้นางเอ่ยความคิดของตนออกมา
“อี้เอ๋อทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกถ้าหากว่ารวม 2 แคว้นเข้าด้วยกันสมดุลมันก็จะหายไป เจ้าอย่าลืมสิว่าแผ่นดินเรามีทั้งหมด 7 แคว้นถ้าหาก 2 ใน 7 รวมเป็นแคว้นเดียวแคว้นอื่นๆอาจจะระแวงจนรวมตัวกันแล้วบุกโจมตีพวกเราขึ้นมาพวกเราจะตั้งรับไว้ไม่อยู่”
“นั่นสิเป็นอย่างที่เจ้าว่า แล้วแคว้นของข้ากับแคว้นอู่ตี้นั้นล้วนแล้วเป็นแคว้นใหญ่ทั้งคู่ถ้าหากรวมเข้าด้วยกันมันก็จะยิ่งใหญ่จนทำให้แคว้นอื่นๆระแวงจนอาจจะร่วมมือกันแล้วโจมตีเราได้ ข้าถึงต้องมานั่งคิดหาทางออกกับพวกเจ้าอย่างไรเล่าเพื่อที่จะได้ไปเสนอเสด็จพ่อแล้วจัดการทีเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นให้เจ้าแต่งตั้งองค์ชายสักคนนึงที่เจ้าไว้ใจได้ไปเป็นอ๋องปกครองแคว้นนั้นเป็นอย่างไรเล่าแล้วให้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่พร้อมเปลี่ยนชื่อแคว้นให้เป็นชื่อเดียวกับราชวงศ์ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร” หลังจากที่คิดไปได้สักพักชิงอี้นางก็ได้เอ่ยความคิดที่น่าจะเป็นไปได้และดีที่สุดสำหรับตอนนี้ออกมา
และนั่นก็ทำให้รัชทายาทหลี่หยางนิ่งคิดทันทีเพราะสิ่งที่ชิงอี้พูดก็มีเหตุผล แต่ถ้าหากก่อตั้งราชวงศ์ใหม่มันจะไม่มีผลกระทบกับแคว้นของตนอย่างนั้นหรือ
“ท่านคงกังวลว่าถ้าหากองค์ชายที่ท่านส่งไปก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ท่านกลัวจะมีปัญหาเรื่องที่อีกฝ่ายจะกระหายอำนาจแล้วบุกมาโจมตีแคว้นของท่านใช่หรือไม่”ชิงเหมยที่เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งคิดไม่ตกนางก็ได้เอ่ยออกมา
“ใช่ข้ากลัวว่าถ้าหากส่งไปแล้วแล้วเกิดอยากจะล้มล้างราชวงศ์ดั้งเดิมของตนขึ้นมามันจะเป็นปัญหาที่ยุ่งยาก”
“ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาหรือไม่”
“พี่น้องร่วมมารดาข้ามีอยู่สามคนเป็นองค์ชาย สองแล้วองค์หญิงอีกหนึ่งเจ้าถามทำไมหรือ”
“แล้วน้องชายแต่ละคนของท่านนั้นท่านเชื่อใจและไว้ใจพวกเขาหรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะน้องแต่ละคนของข้านั้นล้วนแล้วเติบโตมาพร้อมกันกับข้า”
“งั้นข้าขอถามท่านอีกอย่างนึงตระกูลฝั่งมารดาของท่านนั้นสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร”
“ฝั่งมารดาของข้าเป็นมาไม่แน่ชัดแต่ไม่มีขุนนางอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นหากก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ก็ให้ใช้แซ่ขึ้นต้นของมารดาและแซ่ขึ้นต้นของบิดาท่านมันรวมกันถือเป็นราชวงศ์ใหม่และชื่อแคว้นใหม่ ส่วนแซ่ของคนในราชวงศ์นั้นก็ให้ใช้แซ่เดิม ท่านคิดเห็นอย่างไร” หลังจากที่ฟังมานานชิงอี้ก็ได้สรุปเรื่องราวที่ทั้งหมดคุยกัน
“เป็นความคิดที่ดีมากถ้าอย่างนั้นถ้าหากเดินทางกลับไปถึงวังหลวงเมื่อไหร่ถ้าจะรีบประชุมกับเสด็จพ่อเรื่องนี้ทันที ข้าคิดไม่ผิดจริงๆที่ร่วมมือกับพวกเจ้าทั้งสอง”รัชทายาทหลี่หยางได้กล่าวออกมาอย่างมีความสุขส่วนสองพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปาก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมาทำเพียงแค่นั่งอยากสงบแล้วมองบรรยากาศรอบนอก
คณะเดินทางของรัชทายาทใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง 14 วันพวกเขาก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นอู่ลู่อย่างปลอดภัยโดยที่ไม่เสียทหารไปแม้แต่คนเดียวนั่นทำให้เหล่าชาวบ้านออกมาแสดงความยินดีกันอย่างท่วมท้นตลอดเส้นทาง แล้วพวกเขาก็นั่งรถม้ากันไปเรื่อยๆจนมาจอดอยู่ที่หน้าประตูวัง
“พวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่หลังจากนี้พวกเราจะเข้าสู่ท้องพระโรงเพื่อเข้าพบฮ่องเต้กับเหล่าขุนนางทั้งหลายกันแล้ว”
พวกเราทั้งสองพร้อมแล้วท่านนำทางเถิด ชิงเหมยที่ในตอนนี้ได้สวมใส่อาภรณ์สีชมพูอ่อนตัดด้วยสีแดงนั่นทำให้นางงดงามราวกับบุปผาในยามเช้า ส่วนชิงอี้นั้นนางได้สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มแล้วตัดด้วยสีทองนั่นทำให้นางดูงดงามและลึกลับราวกับมหาสมุทรในยามราตรี แล้วทั้งคู่นั้นก็ได้ใส่เครื่องประดับงดงามราวกับสตรีชั้นสูงในวัง
เมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนั้นเขาก็พาทั้งคู่เดินเข้าไปยังท้องพระโรงที่ใช้ประชุมทันที
และเมื่อพวกเขาทั้งสามมาถึงหน้าประตูทางเข้าของท้องพระโรงเหล่าทหารเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปรายงานด้านในทันทีว่าในยามนี้รัชทายาทกลับมาถึงแล้ว ในเมื่อรายงานเสร็จทหารยามก็ได้วิ่งออกมาเชิญทั้งสามเข้าพบทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”เมื่อทั้งสามเข้ามาถึงก็ทำการคุกเข่าคารวะโอรสสวรรค์ผู้ปกครองแคว้นทันที
“เอาล่ะไม่ต้องมากพิธีรีบลุกขึ้นแล้วไปนั่งที่ได้แล้วแล้วรีบเล่าให้พ่อฟังว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร”
เมื่อพวกเขาทำการคารวะเสร็จฮ่องเต้ก็เอ่ยกับรัชทายาททันที และเมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนั้นก็เดินไปนั่งที่พร้อมทั้งพาคนทั้งคู่ไปนั่งข้างๆกันด้วย นั้นทำให้ขุนนางทั้งหลายสงสัยเป็นอย่างมากว่าสาวงามทั้งสองนั้นเป็นผู้ใด
และเมื่อรัชทายาทเขาได้นั่งประจำตำแหน่งแล้วเขาก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตนรู้มาให้เสด็จพ่อของคนฟังแล้วบางเรื่องก็ให้สองพี่น้องช่วยเล่าในเรื่องที่เขาไม่รู้ทั้งหมด เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังเช่นนั้นเขาก็นิ่งคิดทันทีว่าแรงจูงใจใดทำไมฮ่องเต้ของแคว้นอู่ตี้ถึงยกทัพมาตี
“กราบทูลฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีคนในร่วมมือกับแคว้นอู่ตี้เพื่อที่จะทำลายแคว้นของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้เอ่ยความคิดของตนออกมาทันทีหลังจากฟังจบ
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าทางลับที่จะเข้าเมืองชิงชิวนั้นอยู่ทางใดและจดหมายที่ทางเจ้าเมืองนั้นส่งมาให้วังหลวงเหตุใดถึงไม่ถึงมือพระองค์เลยแม้แต่ฉบับเดียวพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อขุนนางคนนี้กล่าวจบขุนนางคนอื่นๆก็ส่งเสียงสนับสนุนทันที
''กระหม่อมคิดว่าควรเร่งสืบหาตัวคนร้ายเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทเพราะว่าคนวางแผนนั้นช่างกะเวลาบอกได้ดีเหลือเกินวางแผนให้องค์รัชทายาทไปที่นั่นในยามสงครามกำลังรุนแรงแล้วคิดใช้กองทัพแคว้นอู่ตี้กำจัดรัชทายาทอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ
“แต่ลูกคิดว่าเรื่องนี้ค่อยจัดการทีหลังดีกว่าเพราะเลือกที่สำคัญกว่านี้ก็คือแคว้นอู่ตี้เสด็จพ่อคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี” เมื่อสิ้นเสียงนี้ขององค์รัชทายาทเสียงของขุนนางก็แตกออกทันทีเพราะแต่ละคนนั้นก็ล้วนแล้วอยากให้องค์ชายที่ตัวเองสนับสนุนให้ไปปกครองแคว้นนั้น
“พวกเจ้าทั้งหมดหุบปากเดี๋ยวนี้!!!” ฮ่องเต้ที่ทนฟังมานานเขาก็ตะโกนออกมาทันที นั้นก็ทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายเงียบทันที
“แล้วพวกเจ้าที่เป็นคนเอาชนะมาได้คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้” หลังจากที่พูดกับเหล่าขุนนางจบฮ่องเต้ก็หันมาถามพวกชิงอี้ทันที
และเมื่อชิงอี้นางได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองพี่สาวของตนทันทีว่าจะเอาอย่างไรและเมื่อชิงเหมยได้เห็นเช่นนั้นนางก็ลุกขึ้นทำความคารวะฮ่องเต้ทันที
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท เรื่องนี้หม่อมฉันได้คุยกับองค์รัชทายาทเอาไว้แล้วเพคะว่าจะทำอย่างไร”
“หืม พวกเจ้าคุยปรึกษากันเอาไว้แล้วหรือ แล้วที่ปรึกษากันเอาไว้คืออะไร”เมื่อได้ฟังดังนั้นฮ่องเต้ก็เอ่ยถามทันที
เมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าฮ่องเต้ทันที
“เรื่องที่พวกลูกคุยกันไว้ก็คือจะให้น้องแปดไปเป็นฮ่องเต้ของแคว้นอู่ตี้แล้วให้สถาปนาราชวงศ์ใหม่เป็น ราชวงศ์อู่ลู่หลิน แต่ทุกคนในราชวงศ์นี้จะต้องแซ่เดิมคืออู่ลู่ซินหยางพร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อแคว้นเป็นแคว้นอู่ลู่หลินเสด็จทรงพ่อคิดว่าเป็นอย่างไรกับเรื่องที่ลูกคิดกันเอาไว้”
“ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนั้นแค่ร่วมเป็นแคว้นเดียวก็สิ้นเรื่อง” ขุนนางหม่าที่นั่งเงียบมาตั้งนานก็เอ่ยขึ้นมานั้นก็ทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายเห็นด้วยนั้นก็ทำให้ชิงอี้นางหัวเราะออกมาที่มีคนคิดเหมือนตน
“แม่นางเจ้าหัวเราะเรื่องอะไร” ขุนนางหม่าที่ได้เห็นก็เอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด
“นั้นสิเจ้าหัวเราะเรื่องอะไร” ฮ่องเต้ที่ได้เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามเช่นเดียวกัน
“กราบทูลฝ่าบาทหม่อมฉันแค่หัวเราะที่อย่างน้อยก็มีคนที่เคยคิดเหมือนกับหม่อมฉันเพคะ” ชิงอี้นางได้เอ่ยออกมา
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้างงยิ่งกว่าเดิม และเมื่อชิงเหมยได้เห็นสถานการณ์ไม่ดีเช่นนี้นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปทำความคารวะฮ่องเต้ทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาทหม่อมฉันขอประทานอภัยแทนน้องของละหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ไม่เป็นไรข้าไม่ถือโทษอะไรเพียงแค่สงสัยเท่านั้น แล้วนี่พวกเจ้ามาตั้งนานแล้วข้ายังไม่รู้เลยว่าพวกเจ้าเป็นใครมาจากตระกูลอะไร”เมื่อสิ้นเสียงนั้นของฮ่องเต้ขุนนางก็อยากรู้เช่นเดียวกันว่าแม่นางทั้งสองนี้เป็นใครมาจากไหน
“ขอประทานอภัยเพคะที่หม่อมฉันลืมแนะนำตัวหม่อมฉันมีนามว่า ชิงเหมย ส่วนน้องของหม่อมฉันมีนามว่า ชิงอี้ พวกเรามาจากตระกูลอูลาเร่อปาเพคะฝ่าบาท” เมื่อสิ้นเสียงนั้นของชิงเหมยฮ่องเต้และขุนนางอาวุโสทั้งหลายต่างก็พากันเงียบด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้ยินแซ่นี้อีกครั้ง
“อูลาเร่อปา จางชิง” เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า หลังจากเงียบไปสักพักฮ่องเต้ก็กล่าวออกมา
“เป็นปู่ของหม่อมชั้นเพคะ” เมื่อสิ้นเสียงนี้ของฮ่องเต้และขุนนางอาวุโสก็แสดงท่าทางออกมาด้วยความดีใจ
“พวกเจ้าทั้งหลายออกไปก่อนเหลือไว้เพียงแค่ขุนนางอาวุโสที่รู้เรื่องเท่านั้น” ฮ่องเต้ได้กล่าวออกมานั่นทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายลุกออกไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงขุนนางอาวุโสอยู่เพียงแค่ 10 กว่าคนเท่านั้น