บทที่ 5 จัดการตระกูลลู่

3117 คำ
บทที่ 5 จัดการตระกูลลู่ “อาอี้หลานมาทำอะไรอยู่ตรงนี้” ผู้นำตระกูลลู่แม้จะตกใจเพียงใดเขาก็พยายามควบคุมน้ำเสียงของตนให้เป็นปกติ “ลู่อู่เซิน เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้ารู้ทั้งหมดแล้วว่าเจ้าทรยศ”ชิงอี้นางได้เอ่ยตอบกลับ “หลานพูดเรื่องอะไรลุงคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด”ผู้นำตระกูลู่นั้นเขาก็ยังพูดออกมาเหมือนเดิมว่าตนไม่ผิดนั่นก็ทำให้ชิงอี้โกรธขึ้นมาทันที “เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้วก่อนที่จักรพรรดิแคว้นอู่ตี้จะสิ้นใจตายนั้นมันได้บอกกับข้าทั้งหมดแล้วว่าใครคือผู้ทรยศบ้าง” เมื่อผู้นำตระกูลลู่ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็แปลเปลี่ยนทันที “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วจะทำอะไรข้าได้ เจ้าคิดว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจัดทำอะไรข้าที่อยู่มาครึ่งชีวิตได้แล้วอย่างนั้นหรือ” หลังจากที่เขาได้รู้ว่าชิงอี้ได้รู้แล้วว่าตนคือผู้ทรยศเขาก็ได้เอ่ยออกมา “เหตุใดเจ้าสารเลวชั่วช้าขนาดนี้บิดาของข้าก็รักเคารพเจ้าเหมือนพี่ชาย แต่เจ้าตอบแทนความความเคารพที่บิดาข้ามอบให้อย่างนี้หรือ!!!!!” “ความผิดทั้งหมดก็เพราะบิดาของเจ้านั่นแหละ!!!! เพราะถ้ามันไม่มาตำแหน่งเจ้าเมืองนี้ก็คงเป็นของข้า!!!! ข้าเฝ้าวางแผนทำทุกอย่างให้เป็นที่เคารพนับหน้าถือตาในเมืองแห่งนี้แต่บิดาของเจ้าเป็นใครกล้าดียังไงมาแย่งตำแหน่งนี้ที่มันควรจะเป็นของข้า!!!!”ผู้นำตระกูลลู่เขาได้เอ่ยความในใจที่มีทั้งหมดออกมาให้ชิงอี้ได้รับฟัง “เพียงพอเรื่องแค่นี้ เจ้าถึงกับใช้ชีวิตของทหารทั้งเมืองเป็นเครื่องสังเวยเพียงเพราะตำแหน่งนี้อย่างนั้นหรือ” ชิงอี้นางได้เอ่ยออกมาด้วยความสมเพช “หุบปากเดี๋ยวนี้!!! ในเมื่อเจ้ารู้ความจริงแล้วก็อย่าโทษข้าก็แล้วกันว่าเป็นคนใจร้าย” เมื่อกล่าวจบก็ได้มีทหารจำนวนมากมาล้อมตัวของชิงอี้เอาไว้ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ลู่อู่เซินไม่คิดว่าเจ้าจะรวบรวมทหารเอาไว้ได้มากถึงเพียงนี้ ส่วนพวกเจ้าทรยศแผ่นดินเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูรู้ดีใช่หรือไม่ว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร”ชิงอี้ได้เอ่ยออกมาด้วยความปกติโดยไม่มีที่ท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “ฮ่า ฮ่า ฮ่า อูลาเร่อปาชิงอี้จะตายอยู่แล้วยังทำมาเป็นปากเก่งนิสัยเหมือนพ่อของเจ้าไม่มีผิดถ้าหากว่ายอมไปเป็นเมียของฮ่องเต้แคว้นอู่ตี้ก็คงไม่มาตายอนาถแบบนี้”เมื่อชิงอี้นางได้ยินเช่นนั้นดวงตาของนางนั้นก็ทอประกายสีแดงอย่างน่ากลัว “เจ้าคนชั้นต่ำเจ้าไม่มีสิทธิ์กล้าเอ่ยถึงพ่อของข้า และเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อเต็มของข้าพระเจ้าเป็นสารเลวเกินไป” “ท่านพ่อข้าคิดว่าเราไม่ควรที่จะพูดคุยกับมันอีกแล้วรีบจัดการมันเถอะเจ้าค่ะ” บุตรสาวคนโตของผู้นำตระกูลลู่ได้เอ่ยบอกกับพ่อของตน “ใครกันแน่ที่จะจัดการใคร” เมื่อสิ้นเสียงนั้นของชิงอี้เหล่าทหารทั้งหลายก็ล่มลงพื้นทั้งหมดแล้วร่างกายของพวกเขานั้นก็ถูกสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดรุมกัดกินจนไม่เหลือแม้แต่เลือดสักหยดเดียว นั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ตกใจหวาดกลัวเป็นอย่างมาก “ ลู่อู่เซินเจ้าเป็นอะไรไปทำไมถึงไม่พูดอันใดเลยเล่า พวกเจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าข้าได้สิ่งใดจากตระกูลเว่ยมา” เมื่อสิ้นเสียงนั้นของชิงอี้ผู้นำตระกูลู่ก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นได้รับราชาแห่งพิษมาจากตระกูลเว่ยนั่นก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจ “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอกถ้าข้าหายตัวไปทุกคนที่นี่จะต้องสงสัยในตัวเจ้าอย่างแน่นอน”แม้อยู่ในจุดที่ตัวเองนั้นพ่ายแพ้เขาก็เอ่ยออกมาเพื่อหาทางรอด “แน่นอนว่าข้าไม่ฆ่าเจ้าอยู่แล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้เจ้ารอดไปได้”เมื่อกล่าวจบตู๋ชงที่อยู่บนหัวไหล่ชิงอี้ของก็ได้แปลงร่างเป็นแมงมุมยักษ์แล้วพ่นใยไปพันธนาการทั้งหมดทุกคนทันที “เจ้าจะทำอะไรปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!!”บุตรสาวคนโตของลู่อู่เซินได้ตะโกนออกมาอย่างเอาแต่ใจ “ตู๋ชงลงมือได้เลยนี่ก็ดึกมากแล้วเดี๋ยวท่านพี่จะสงสัยเอา” เมื่อสิ้นเสียงนั้นของที่ได้แปลงร่างเป็นแมงมุมนั้นเขาก็ได้ส่งเสียงออกมานั่นทำให้มีผึ้งสีดำบินออกมาสิบตัว “พวกมันเหล่านี้แหละขอรับนายท่านที่มีสติปัญญามากที่สุด”ตู๋ชงเอ่ยออกมาหลังจากที่ผึ้งทั้งหลายบินออกมาจนครบ “ดีถ้าอย่างนั้นตู๋ชงตัวของเจ้าเองจงไปใช้ร่างของบุตรสาวคนโตเป็นที่สถิตแล้วเจ้าก็หาตัวที่มีความสามารถหลากหลายไปสิงร่างของบุตรสาวที่เหลือของมัน แล้วส่วนคนอื่นๆตัวไหนจะสิงใครก็ได้ข้าไม่ว่า” “เหตุใดต้องให้ข้าสิงร่างของบุตรสาวคนโตด้วยขอรับนายท่าน” “ก็เพราะว่าข้ากับพี่สาวจะเข้าเมืองหลวงจำเป็นต้องมีบ่าวรับใช้ที่เป็นสตรีข้าก็จะให้เจ้าไปรับใช้ข้าและให้พวกมันทั้งสองไปรับใช้พี่สาวของข้าอย่างไรเล่า แล้วอีกอย่างถ้าหากเจ้ามีสภาพที่ไม่แน่นอนเช่นนี้เวลาข้าจะใช้งานอะไรที่สำคัญๆเจ้าจะทำอย่างไร” เมื่อตู๋ชงได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น แล้วเขาก็ได้ให้บริวารที่มีความรู้หลากหลายไปสิงร่างบุตรสาวอีก 2 คนของตระกูลลู่แล้วตัวเขาล่ะก็ได้กลายร่างเป็นผึ้งบินเข้าไปในปากของบุตรสาวคนโตตระกูลลู่เพื่อสิ่งสิงสถิต เมื่อตู๋ชงและเหล่าบริวารเข้าไปในปากของพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดพวกเขาเหล่านั้นก็ดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานอยู่ที่พื้นสักพักก่อนที่จะสงบลงแล้วแน่นิ่งไป จนเวลาผ่านไปได้สักพักพวกเขาเหล่านั้นได้สติและลุกขึ้นมาทำความคารวะชิงอี้ “พวกเราขอคารวะนายท่านขอรับ/เจ้าค่ะ” เมื่อได้รับกายเนื้อมาพวกมันก็คุกเข่าทำความคารวะทันที เมื่อชิงอี้นางได้เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อเจ้าปรารถนาที่จะเป็นเจ้าเมืองข้าก็จะให้เจ้าได้เป็น ตู๋ชงเจ้าจงจัดการสอนการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ให้กับพวกมันทั้งหมด” “รับบัญชาขอรับนายท่าน”ตู๋ชงที่อยู่ในร่างของบุตรสาวคนโตตระกูลลู่ได้เอ่ยออกมา “ก่อนที่เจ้าจะไปสอนใครเจ้าควรสอนตัวเองก่อนเจ้าอย่าลืมสิในยามนี้เจ้าอยู่ในร่างของสตรี” เมื่อชิงอี้ได้ยินเช่นนั้นนางก็เอ่ยออกมา “ทราบแล้วเจ้าค่ะ” “จริงสิในตอนนี้เจ้าอยู่ในร่างของสตรีก็ควรที่จะมีชื่อสตรีเอาไปเรียก งั้นข้าขอตั้งชื่อของเจ้าสำหรับร่างนี้ว่า เจิงลู่ ก็แล้วกัน” “น้อมรับทุกสิ่งอย่างของในท่านเจ้าค่ะ” ตู๋ชงที่ในยามนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเจิงลู่ได้เอ่ยขอบคุณออกมา และเมื่อจัดการทุกอย่างในจวนลู่เสร็จแล้วเขาก็ได้เดินกลับไปหาพี่สาวของเขาที่จวนตระกูลอูลาเร่อปา และเมื่อเขาเข้ามาก็ได้พบเข้ากับพี่สาวของตนกำลังเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่สำคัญลงหีบอยู่เขาก็เลยสงสัยว่าเหตุใดทำไมพี่สาวของเขานั้นถึงได้เก็บข้าวของเยอะขนาดนี้ “ท่านพี่เหตุใดท่านถึงเก็บข้าวของมากมายขนาดนี้ไม่ใช่ว่าพวกเราไปแค่ไม่กี่ปีก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ” “เจ้าเด็กน้อยของพี่ช่างไม่รู้อะไรเลย เจ้าคิดว่าถ้าหากเราได้ไปเมืองหลวงครั้งนี้จะได้รับรางวัลอย่างเดียวหรือ” เมื่อชิงอี้ได้ฟังเช่นนั้นก็คิดตามสิ่งที่พี่สาวของตนนั้นพูดทันทีและนางก็ได้เข้าใจว่าพี่สาวของนางนั้นกำลังจะเอ่ยถึงเรื่องอะไร “เจ้าคิดว่ารัชทายาทกับฮ่องเต้จะปล่อยพวกเราที่มีความรู้ความสามารถหลากหลายด้านเช่นนี้ไปอย่างนั้นหรือ” ชิงเหมยนางได้คาดการณ์สถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่ามันจะเดินไปในทิศทางใด “แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรานั้นมีความรู้ความสามารถอะไรบ้าง”ชิงอี้ที่ส่วนใหญ่เชียวชาญด้านการรบไม่ค่อยได้เรียนรู้ด้านกลยุทธ์และการวางแผนเท่าไหร่นักก็ได้เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “พี่ว่าด้วยความสงสัยของรัชทายาทอย่างไรเขาก็ต้องส่งคนไปถามเกี่ยวกับพวกเราอยู่แล้วแล้วเจ้าก็รู้ว่าอย่างชาวบ้านนั้นมีคนนำเงินไปให้เพื่อแลกกับเรื่องที่ไม่ใช่ของตนเองเจ้าคิดว่าคนเหล่านั้นจะไม่ยอมเล่าให้ฟังหรือ หลังจากนี้พวกเราจะต้องวางแผนเตรียมตัวใช้ชีวิตในวังหลวงหาทางมีชีวิตรอดปลอดภัยดีกว่า” “พวกเราจำเป็นต้องไปอยู่ที่วังหลวงอย่างนั้นหรือ” “แน่นอนอยู่แล้วอยากไรเสียฮ่องเต้ก็คงไม่ปล่อยให้พวกเราหลุดไปอยู่ในมือของขุนนางได้หรอก พี่ว่าเราเลิกคุยกันได้แล้วเจ้าก็จงไปเตรียมตัวให้พร้อมเพราะหลังจากนี้ชีวิตของพวกเราน่าจะวุ่นวายน่าดู” เมื่อกล่าวจบชิงเหมยก็หันไปเก็บข้าวของต่อส่วนก็ได้ไปจัดการธุระต่างๆในจวนนี้ให้พร้อมเพื่อที่จะเดินทาง ตัดกับไปทางรัชทายาทก็เป็นดั่งที่ชิงเหมยคาดการณ์เอาไว้เขาได้สั่งให้คนไปสืบหาข้อมูลของสองพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปาจากชาวบ้านทันทีแล้วให้นำเงินไปมอบให้เป็นของรางวัล จนเวลาผ่านไปได้ 2 ชั่วยามหลังจากที่เขามาที่เมืองนี้คนที่เขาได้ส่งไปสืบนั้นก็ได้วิ่งกลับเข้ามารายงาน “รายงานองค์รัชทายาทเรื่องที่พระองค์ให้ไปสืบมากระหม่อมได้สืบหามาให้แล้วขอรับ” “พี่น้องตระกูลอูลาเร่อปานั้นเป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองนี้และก่อนที่แคว้นอู่ตี้จะยกทัพมาตีนั้นทั้งคู่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากบิดามารดาทั้งหมด คนพี่นั้นได้รับความรู้ทางด้านการวางกลยุทธ์และมีความรู้มากมายหลายแขนงจากผู้เป็นมารดา ส่วนคนน้องนั้นได้รับการถ่ายทอดการวางกลยุทธ์และการศึกพร้อมทั้งการปกครองต่างๆจากผู้เป็นบิดา และเมื่อคนน้องนั้นเรียนจากบิดาเสร็จผู้เป็นมารดาก็ได้มาสอนศาสตร์วิชาแขนงต่างๆให้จนเชียวชาญทุกด้านทุกวิชาจนผู้เป็นบิดาวางใจมอบตำแหน่งเจ้าเมืองน้อยให้กับคนน้องเผื่อเอาไว้ว่าถ้าหากตนเองนั้นตายก็ให้บุตรสาวคนเล็กขึ้นดำรงเป็นเจ้าเมืองต่อ และหลังจากที่ผู้เป็นบิดานั้นสิ้นชีพในสนามรบทั้งคู่ก็ต่างเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากจนคิดอยากจะแก้แค้น จนทำให้ผู้นำตระกูลเว่ยเขาได้บอกเรื่องราชาแห่งพิษที่อยู่สุสานตระกูลตนจนทำให้คนน้องนั้นเกิดอยากจะได้มาไว้ครอบครองจนทำให้เขาไปที่นั่นอย่างไม่กลัวตายและเขาก็ได้สมใจปรารถนา เขาได้ราชาแห่งสัตว์พิษนั้นมาเป็นบริวารและยกขบวนสัตว์มีพิษทั้งหลายที่เป็นบริวารของราชาแห่งพิษไปจัดการทหารทั้งหมดของฝ่ายศัตรูจนไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกทั้งหมด” และเขาก็ได้เล่าวีรกรรมต่างๆของ 2 พี่น้องคู่นี้ที่ตนได้ไปสืบมาให้กับรัชทายาทได้รู้ทั้งหมด เมื่อรัชทายาทได้ฟังรายงานเช่นนั้นเขาก็นั่งคิดทันทีว่าจะจัดการอย่างไรกับคนทั้งคู่ดีเพราะถ้าหากปล่อยให้ทั้งคู่ไปตกอยู่ในมือของคนอื่นหรืออยู่ที่นี่ต่อไปพวกตนอาจจะเป็นอันตรายได้หลังจากที่เขาคิดไปได้สักพักเขาก็ได้บทสรุปว่ายังไงก็ตามต้องเอาคนทั้งคู่นี้มาเป็นของเขาให้ได้ เขาจึงเขียนจดหมายเล่าเลือกราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เมืองนี้และประวัติทั้งหมดของสองพี่น้องตระกูลอูลาเร่อปาแล้วส่งไปให้ฮ่องเต้ช่วยคิดว่าจะจัดการอย่างไรดี เมื่อส่งจดหมายไปเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้นั่งคิดว่าจะวางแผนอย่างไรดีที่จะทำให้ทั้งคู่นั้นมาอยู่กับเขาได้ เขาได้นั่งคิดเช่นนี้ตลอดทั้งคืนจนมาถึงตอนเช้าเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดีเพราะจากที่ฟังรายงานมานั้นเขาก็รู้ได้ว่าทั้งคู่ต่างก็มีความรู้คงไม่อาจที่จะหลอกล่อได้อย่างง่ายๆ “รายงานองค์รัชทายาท มีคนมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ทหารยามที่เฝ้ากระโจมได้เอ่ยรายงานนายของตน “ใคร” “เป็นคนจากตระกูลอูลาเร่อปาพ่ะย่ะค่ะ” “ให้เขาเข้ามาได้” เมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนั้นก็อนุญาตให้เข้ามาทันที “ถวายบังคมองค์ค์รัชทายาท” ชิงเหมยที่เดินเข้ามาก็ได้ทำความคารวะอย่างนอบน้อม ส่วนชิงอี้ได้แค่โค้งตัวแล้วก้มศีรษะเท่านั้น “ไม่เป็นไรทำตัวตามสบายเถอะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนทั้งคู่ก็ไปนั่งเก้าอี้ทันที “ที่พวกเจ้ามาในครั้งนี้มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”รัชทายาทถามได้เอ่ยออกมา “ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉัน...” “ถ้าอยู่กันแค่เราไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์หรอกพูดธรรมดาก็พอ” ในขณะที่ชิงเหมยกำลังจะกล่างนั้นรัชทายาทได้เอ่ยขึ้นมาก่อน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจและก็ไม่ขออ้อมค้อม ท่านน่าจะให้คนไปสืบประวัติของพวกเรามาหมดแล้ว แล้วท่านก็น่าจะกำลังวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้พวกเราเป็นคนของท่านใช่หรือไม่องค์รัชทายาท” ชิงเหมยได้กล่าวออกมาช้าๆทีละประโยคแต่นั่นก็ทำให้รัชทายาทยิ้มออกมาราวกับว่าได้เจอเรื่องสนุก “เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวมาข้าได้ให้คนไปสืบประวัติของพวกเจ้าทั้งหมดมาแล้วแล้วเจ้าจะทำอย่างไรในเมื่อเจ้าก็รู้แล้วว่าข้ากำลังวางแผนจะทำอะไร” รัชทายาทได้เอ่ยถามออกไปตรงๆ “ที่พวกข้ามาในครั้งนี้ก็เพราะเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ถ้าท่านปรารถนาที่จะให้พวกเราสองพี่น้องไปเป็นของท่าน ท่านก็ต้องทำสัญญากับพวกเราก่อนตกลงหรือไม่” “จะตกลงหรือไม่นั้นข้าก็ขอฟังก่อนว่าพวกเจ้าต้องการสิ่งใด” “พวกเราไม่ขออะไรมาก ขอแค่ว่าถ้าหากแต่งไปแล้วข้าจะต้องได้เป็นชายาเองส่วนน้องสาวของข้าต้องได้เป็นชายารอง และเมื่อท่านได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ข้าจะต้องได้เป็นฮองเฮาและน้องสาวของข้าจะต้องได้เป็นหวงกุ้ยเฟยท่านทำได้หรือไม่” “แน่นอนข้าสามารถทำให้พวกเจ้าได้อยู่แล้ว แต่ข้ามีเรื่องที่สงสัยขอถามพวกเจ้าได้หรือไม่” “ท่านคงสงสัยว่าเหตุใดพวกเราสองพี่น้องถึงยอมท่านง่ายดายขนาดนี้ใช่หรือไม่”ชิงอี้ที่นั่งเงียบๆอยู่นานนางก็ได้เอ่ยออกมา “ใช่ ข้าคิดว่ามันแปลกเกินไป” “ถ้าท่านอยากรู้ข้าก็จะบอกท่านตามตรง ที่พวกเราสองพี่น้องยอมท่านง่ายขนาดนี้ก็เพราะว่าพวกเรานั้นมีแค้นที่ต้องชำระกับขุนนางขั้นสูงในราชสำนักและที่พวกเราต้องขอตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ก็เพราะว่าเวลาแก้แค้นจะได้ทำง่ายๆ” ชิงอี้ได้เอ่ยอธิบายออกมาให้รัชทายาทเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ต้องการที่จะใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นอยากนั้นหรือ” รัชทายาทออกมาด้วยความไม่ชอบใจที่ตนรู้สึกเหมือนเป็นเครื่องมือให้อีกฝ่าย “ท่านพูดอะไรอย่างนั้นพวกเราทั้งสองฝ่ายนั้นต่างก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่ ท่านได้พวกเราทั้งคู่ไปคอยช่วยเหลือจัดการต่างๆส่วนพวกเราก็ได้แก้แค้นท่านลองคิดดูว่าผลตอบแทนของใครที่ได้มากกว่ากัน” และเมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนั้นเขาก็ค่อยๆพิจารณาผลได้ผลเสียทันทีและเมื่อเขานั่งพิจารณาไปสักพักเขาก็คิดตกแล้วว่าถ้าหากว่าเขาได้ทั้งคู่มาอยู่ด้วยเขาก็ได้ทั้งสมองและกับลังรบมาอยู่ในมือนั่นจึงทำให้เขายิ้มออกมา “แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าหากพวกเจ้าแก้แค้นสำเร็จแล้วจะยังอยู่กับข้าอีก”รัชทายาทได้เอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา “เรื่องนั้นท่านไม่ต้องห่วงเพราะว่าแผ่นดินนี้ตระกูลข้ายอมสละชีพเพื่อปกป้องมันถ้าหากพวกเราทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องปกป้องมันอย่างแน่นอน”ชิงเหมยนางได้เอ่ยตอบคำถามที่รัชทายาทสงสัย เมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนั้นเขาก็หมดข้อสงสัยจึงหันไปหยิบกระดาษและพู่กันมาร่างสัญญาตามที่คนทั้งคู่ต้องการพร้อมประทับตราด้วยโลหิตของตนเป็นเครื่องยืนยัน “ข้าได้ทำสัญญาตามที่พวกเจ้าต้องการแล้วทีนี้ถึงตาพวกเจ้าทำสัญญาเช่นเดียวกัน” เมื่อชิงเหมยนางได้เห็นเช่นนั้นก็ร่างสัญญาว่าจะอยู่กับรัชทายาทหลี่หยางจนและจะช่วยปกครองแผ่นดินนี้ตราบจนสิ้นอายุขัย เมื่อร่างสัญญาเสร็จทั้งคู่ก็ได้ประทับตราโลหิตเช่นเดียวกัน “ทีนี้ถือว่าพวกเราทำสัญญาโลหิตกันแล้วถ้าหากฝ่ายใดที่ผิดคำสัญญาก็ขอให้ฟ้าดินลงทัณฑ์” ทั้ง 3 ได้เอ่ยสาบานออกมาพร้อมกันและประสาทมือเข้าด้วยกันถือว่าเป็นการทำสัญญา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม