บทที่ 4
แรกพบ
ตัดกับไปทางรัชทายาทที่ในตอนนี้เขาอยู่ที่ช่องเหวกำลังสั่งให้ทหารขนหินออก
“เกิดอะไรขึ้นทำไมมีชุดเกราะกับกระบี่เยอะขนาดนี้” นายทหารคนหนึ่งได้เอ่ยออกมาอย่างสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” รองแม่ทัพคนหนึ่งที่เดินตรวจงานได้เอ่ยถามนายทหารที่พูดออกมา
“คารวะท่านรองแม่ทัพเจ๋อขอรับ พวกเรากำลังขนดินหินเหล่านี้ออกอยู่แต่ก็พบเข้ากับกระบี่และชุดเกราะมากมายที่อยู่ใต้กองดินเหล่านี้ขอรับก็เลยสงสัยว่าเป็นของผู้ใด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ได้ให้คนนำกระบี่และชุดเกราะเหล่านั้นมาให้เขาดูก็ได้พบเท่ากับตราสัญลักษณ์ของแคว้นอู่ตี้
“กระบี่กับชุดเกราะเหล่านี้มีเยอะขนาดไหน”
“จำนวนที่แน่นอนไม่ทราบขอรับแต่ว่าตั้งแต่พวกเราเริ่มขนย้ายหินเหล่านี้ออกก็พบไปแล้วมากกว่าร้อยชุดขอรับ”
นั่นก็ทำให้รองแม่ทัพเจ๋อรู้สึกได้ว่าเรื่องราวนี้มันไม่ชอบมาพากลเขาก็เลยรีบนำไปรายงานของรัชทายาททันที
“กราบทูลองค์รัชทายาทกระหม่อมมีเรื่องจะรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ” รัชทายาทได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นผู้นำ
“กระหม่อมได้ออกไปตรวจงานก็ได้พบเข้ากับชุดเกราะและกระบี่ของแคว้นอู่ตี้กระจายเรียงรายอยู่ทั่วตลอดเส้นทางใต้เศษหินเศษดินพ่ะย่ะค่ะ”
“อาวุธและชุดเกราะของแคว้นอู่ตี้อย่างนั้นหรือ” รัชทายาทได้เอ่ยกับตัวเองออกมาเบาๆแล้วขบคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ
“สั่งการลงไปให้รีบขนเศษหินเศษดินออกจากเส้นทางให้เร็วที่สุด” หลังจากคิดไปได้สักพักจะทายาทก็ได้เอ่ยออกมา และเมื่อรองแม่ทัพได้ยินเช่นนั้นก็รีบออกไปสั่งให้คนเร่งขนหินขนดินต่อจากเส้นทางให้เร็วที่สุด
ขบวนทัพของรัชทายาทใช้เวลา 3 วันในการขนสิ่งกีดขวางออกจากเส้นทางและเมื่อเขาได้เดินทัพจนหลุดจากช่องเหวสิ่งแรกที่เขาได้เห็นก็คือกระโจมมากมายตั้งเรียงรายกันอยู่ แต่พวกเขาก็ได้สำรวจดูแล้วว่าภายในกระโจมนั้นไม่มีผู้ใดอยู่เลยและเมื่อเขาเดินทัพกันไปเรื่อยๆจนไปถึงหน้าประตูเมืองก็ได้พบเท่ากับชุดเกราะและอาวุธมากมายกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
“กราบทูลองค์รัชทายาทจากที่กระหม่อมได้ไปตรวจสอบดูเหมือนว่าเมื่อไม่นานมานี้มีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณนี้ขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว ข้าแค่สงสัยว่าเหตุใดมีแต่ชุดเกราะและอาวุธเหตุใดถึงไม่มีศพเลยแม้แต่ศพเดียว แบบนี้มันผิดวิสัยของสงครามไม่ใช่หรือ”
รัชทายาทได้เอ่ยออกมาด้วยความสงสัยแล้วกวาดสายตามองไปทั่วลานแห่งนี้ก็ได้ไปพบเข้ากับสตรีนางหนึ่งที่ยืนอยู่บนกำแพง นั่นจึงทำให้รัชทายาทควบม้าไปหานางทันที และเมื่อเหล่าทหารได้เห็นเช่นนั้นก็พากันตามรัชทายาทไป
“ไม่ทราบว่าแม่นางคือผู้ใด” เมื่อรัชทายาทมาถึงเขาก็ได้เอ่ยถามทันที
“เจ้าเป็นใบ้หรืออย่างไรเหตุใดองค์รัชทายาท ถามเจ้าถึงไม่ตอบ”ทหารที่ตามมาด้วยได้ตะโกนออกมาด้วยความโมโห
เมื่อชิงอี้นางได้ยินเช่นนั้นหันหน้าลงมามองข้างล่างนั่นทำให้ทุกคนที่ได้เห็นใบหน้าของนางนั้นต่างก็ตกตะลึงเพราะความสวยของนาง
“ที่พวกเจ้ามามีธุระอะไร”หลังจากเงียบอยู่นานนางก็ได้เอ่ยออกมา น้ำเสียงของนางนั้นเป็นน้ำเสียงที่ไพเราะราวกับระฆังแก้วแต่ก็แฝงไปด้วยความเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“สามหาว!!!กล้าพูดเช่นนี้กับองค์รัชทายาทได้ยังไง” ทหารหญิงคนหนึ่งไม่เอ่ยออกมาด้วยความอิจฉาที่ทุกคนมองนางด้วยสายตาที่ชื่นชม และเมื่อทหารทั้งหมดได้ยินเช่นนั้นเขาก็เอ่ยออกมา สนับสนุนคำพูดของนาง
“พวกเจ้าทั้งหมดหุบปากเดี๋ยวนี้!!!!” รองแม่ทัพเละเอ่ยตวาดออกมาเสียงดังนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนี้เงียบทันที
“แม่นางเจ้าเป็นผู้ใดเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้” หลังจากตวาดเหล่าทหารแล้วก็ถ้าหันไปเอ่ยกับคนบนกำแพง
แต่ในขณะที่ชิงอี้กำลังจะเอ่ยตอบกลับนั้นประตูเมืองก็เปิดออกนั่นก็ทำให้ทุกสายตามองไปที่ประตูเมืองทันที และคนที่เปิดประตูออกมานั้นคือผู้นำตระกูลลู่พร้อมครอบครัวได้วิ่งออกมาแล้วคุกเข่าทำความคารวะรัชทายาททันที
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเป็นผู้ใด” รองแม่ทัพได้ตั้งกระบี่และเอ่ยถามขึ้นมา
“กระหม่อมมีนามว่า ลู่อู่เซิน เป็นหนึ่งในห้า ผู้นำตระกูลใหญ่ของเมืองนี้ขอรับ”
“แล้วเจ้าเสนอหน้ามาทำอะไรที่นี่”
“พวกเจ้าขนกองทัพมาขนาดนี้มีจุดประสงค์อะไร”
รองแม่ทัพได้เอ่ยถามออกไปและในขณะที่ผู้นำตระกูลลู่กำลังจะเอ่ยตอบกับนั้นชิงอี้ที่ลงมาจากกำแพงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้เอ่ยแทรกออกมา
“ชิงอี้หลานพูดอะไรคุกเข่าเดี๋ยวนี้!!!”ผู้นำตระกูลลู่ได้เอ่ยตำหนิออกมาแล้วพยายามดึงมือให้ชิงอี้คุกเข่า
“ไม่เป็นไร เจ้ามีนามว่าอะไรแล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ข้ามีนามว่าอูลาเร่อปา ชิงอี้ ส่วนเรื่องที่มาทำอะไรที่นี่นั้นข้าต้องถามพวกเจ้ามากกว่าว่าทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ สงครามมันจบไปตั้งหลายวันแล้วแต่พวกเจ้าเพิ่งจะมา” ชิงอี้ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
“อี้เอ๋อ พี่ว่าเรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกนานเชิญองค์รัชทายาทกับเหล่าแม่ทัพทั้งหลายเข้ามาพูดคุยกันในเมืองก่อนดีกว่า” ชิงเหมยที่ได้รับรายงานมาว่าผู้นำตระกูลลู่ได้แอบมาเปิดประตูเมืองเพื่อพบรัชทายาทเขาก็ได้เรียกผู้นำตระกูลอื่นๆตามมาทันทีเพราะกลัวจะเกิดเรื่อง แล้วก็เป็นไปตามคาดถ้าหากนางมาช้ากว่านี้เพียงนิดเดียวคงเกิดเรื่องราวใหญ่โตแล้ว
และเมื่อบุคคลที่มีระดับรองแม่ทัพขึ้นไปทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็เดินตามชิงเหมยเข้าไปภายในเหมือนทันที
และชิงเหมยก็ได้เดินแบบบุคคลทั้งหลายไปยังศาลาประชุมทันทีแล้วจัดแจงให้เหล่าผู้มาเยือนทั้งหลายไปนั่งยังตำแหน่งต่างๆที่เหมาะสมกับฐานะของแต่ละคน
“ใครพอจะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ข้าฟังได้หรือไม่” รัชทายาทหลี่หยางได้เอ่ยออกมา
และเมื่อชิงเหมยได้ยินเช่นนั้นนางก็ทำหน้าที่ผู้บรรยายเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่นิมิตของปู่เมื่อ 5 ปีที่แล้วยันเหตุการณ์ปัจจุบันเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ทั้งหมดอย่างละเอียดและนั่นก็ทำให้รัชทายาทและเหล่าแม่ทัพทั้งหลายต่างก็คิดไปในทางเดียวกันว่าเกิดเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ทำไมถึงไม่แจ้งให้ทางวังหลวงทราบ
“เกิดเหตุการณ์มากมายขนาดนั้นทำไมพวกเจ้าถึงไม่ส่งเรื่องไปที่วังหลวง” แม่ทัพฉางได้เอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา
“พวกเราส่งเรื่องไปแล้วเจ้าค่ะพวกเราส่งไปตั้งแต่ที่ท่านปู่นิมิตได้แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะพวกเรานั้นส่งไปตลอด 5 ปีส่งไปนับพันฉบับแต่ก็ไม่มีทางวังหลวงตอบกลับมาเลยแม้แต่ฉบับเดียวเจ้าค่ะ”ชิงเหมยเอ่ยได้กล่าวออกมาอย่างสงบแล้ววางท่าอย่างสวยงาม
“หรือว่าทางวังหลวงของเราจะมีกบฏอย่างนั้นหรือ” หลังจากที่เงียบอยู่นานรองแม่ทัพเจ๋อก็ที่เอ่ยขึ้นมานั่นก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่นั้นหันไปมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
“เรื่องกบฏเอาไว้ก่อนเพราะเรายังหาหลักฐานที่แน่ชัดไม่ได้แต่ข้าก็ยังมีเรื่องที่สงสัยอยู่อย่างหนึ่งก็คือเหตุใดมีสงครามแต่สนามรบกับไม่มีศพเลยแม้แต่ศพเดียว” เมื่อรัชทายาทกล่าวจบทุกคนก็เงียบสนิทเพื่อรอฟัง
แต่เวลาผ่านไปสักพักก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมาเลยแม้แต่คนเดียว แต่ในจังหวะที่แม่ทัพคนนึงกำลังจะเอ่ยถามอีกรอบหนึ่งเขาก็ได้เห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างไต่ยั้วเยี้ยออกมาเต็มห้องนี้นั่นทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก
“นี่มันอะไรกันเจ้าสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้มันมาจากไหน” เมื่อเขาได้เห็นเขาก็ได้ตะโกนออกมาเสียงดังแล้วชี้ไปที่เหล่าสัตว์พิษทั้งหลายที่พากันเดินออกมาจากที่ซ่อน
“พวกเจ้าถามหาไม่ใช่หรือว่าซากศพเหล่านั้นอยู่ที่ใด ข้าก็เรียกมาให้พวกเจ้าดูแล้วอย่างไรว่าซากศพเหล่านั้นถูกสัตว์เหล่านี้กินไปจนหมดแล้ว”
หลังจากที่เงียบอยู่นานชิงอี้แต่ก็ได้เอ่ยขึ้นมาแล้วยกมือลูกไปที่ศีรษะของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร
“เจ้าจะบอกว่าซากศพทหารมากมายนับแสนนายถูกสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดอย่างนั้นหรือมันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อมีแค่ไม่กี่ตัว”องค์รัชทายาทก็ได้เอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
“องค์รัชทายาทพระองค์คิดว่ามีแค่ที่เห็นอย่างนั้นหรือขอรับ” เมื่อรัชทายาทเขาได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดทันที
“เรื่องคุณงามความดีในครั้งนี้ของตระกูลของเจ้านั้นข้าจะนำไปบอกแก่เสด็จพ่อให้ประธานรางวัลกับพวกเจ้าทุกตระกูลด้วยความขอบคุณ ส่วนพวกเจ้าทั้งสองคนข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าทั้งสองนั้นมาจากตระกูลอะไร” องค์รัชทายาทเขาได้เอ่ยถามอีกรอบเพราะตอนแรกที่อีกฝ่ายแนะนำตัวนั้นเขาไม่ได้ฟังเพราะมัวแต่ตื่นตะลึงในความงามของอีกฝ่าย
“หม่อมฉันมีนามว่า อูลาเร่อปา ชิงเหมย ส่วนน้องสาวของหม่อมฉันมีนามว่า อูลาเร่อปา ชิงอี้ พวกเราเป็นบุตรสาวของ อูลาเร่อปา ชิงฝาง ส่วนมารดานั้นมีนามว่า ชิงเสียน” ชิงเหมยนั้นนางได้ตัดรำคาญโดยการบอกชื่อบิดามารดาของตนออกไปเลยทีเดียวพวกเขาเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องมาถามอีกรอบ
และเมื่อแม้ทัพที่แมีความอาวุโสได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อสกุลนี้อีกแล้ว
“เจ้าบอกว่าเจ้ามาจากสกุลอูลาเร่อปาอย่างนั้นหรือ” แม่ทัพอาวุโสได้เอ่ยออกมา
“เจ้าค่ะ ท่านมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
“นั่นสิแม่ทัพเว่ยท่านมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าขอรับองค์รัชทายาทเพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้พบสกุลนี้อีกครั้ง แต่ถ้าหากพระองค์อยากรู้รายละเอียดก็ส่งไปถามกับฮ่องเต้โดยตรงเลยดีกว่าขอรับ” แม่ทัพอาวุโสเขาได้เอ่ยออกมา
และเมื่อองค์รัชทายาทได้ฟังเช่นนั้นแม้จะสงสัยเพียงใดก็ตามแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไปแม้แต่ประโยคเดียวแต่ได้หันกลับไปคุยกับสองพี่น้องนั้น
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ไร้ซึ่งครอบครัวอยู่ที่เมืองแห่งนี้แล้วใช่หรือไม่ถ้าอย่างนั้นเจ้าตามกลับไปวังหลวงกับข้าดีกว่า” แต่แล้วในขณะที่ชิงเหมย กำลังจะปฏิเสธนั้นชิงอี้ก็ได้จับแขนเอาไว้แล้วส่ายหน้า
“พวกเราขอตอบรับด้วยความยินดี แต่ก่อนจะไปข้าขอจัดการธุระทางนี้ก่อนได้หรือไม่ใช้เวลาเพียงไม่นานหรอกไม่เกิน 2 วันก็น่าจะเสร็จสิ้น”
ชิงอี้นางได้เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง แต่เมื่อผู้นำตระกูลต่างๆได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าจะส่งจดหมายไปรายงานท่านพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน และเมื่อพวกเจ้าจัดการธุระเสร็จเมื่อใดก็ให้ไปหาพวกข้าที่กระโจมด้านนอกได้”
เมื่อก่อนจบองค์รัชทายาทก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินจากไปนั่นก็ทำให้เหล่าแม่ทัพทั้งหลายต่างก็ลุกขึ้นและเดินตามออกไป แล้วชิงเหมยก็บอกให้ผู่นำตระกูลทั้งหลายไปพักผ่อนพวกนางทั้งสองคนนั้นจะปรึกษากัน
“อี้เอ๋อเจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่” เมื่อไม่มีคนอยู่แล้วชิงเหมยก็ได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยเช่นเดียวกัน
“ก่อนที่จักรพรรดิแห่งแคว้นอู๋ตี้นั้นจะถูกข้าสังหารข้าได้ถามกับมันไปว่ามีผู้ใดเป็นผู้ทรยศบ้างแล้วมันก็ได้ตอบออกมาว่ามีผู้ใดบ้าง และคนที่ทำให้ครอบครัวของเราเหลือเพียงแค่นี้ทั้งหมดอยู่ที่เมืองหลวงถ้าเรายังอยู่ที่นี่ก็จะไม่มีวันแก้แค้นให้กับทุกคนในตะกูลที่จากไปได้ และเราต้องมีอำนาจเพื่อที่จะใช้จัดการกับบุคคลเหล่านั้น” เมื่อชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นนางก็เข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งทันที
“แล้วเรื่องที่น้องจะจัดการอยู่ที่นี่คือเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ที่เมืองของเรานี้มี 1 ตระกูลที่ทรยศพวกเราเพื่อแลกกับตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งเมืองนี้ท่านพี่ลองเดาดูสิว่าคือตระกูลใด” และเมื่อชิงเหมยได้ยินเช่นนั้นเขาก็ดูได้ทันทีว่าคือตระกูลใด
“แล้วน้องจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
ในเมื่อมันอยากจะเป็นจนถึงขนาดที่ทำได้ขนาดนี้ก็ให้มันเป็นสมใจอยาก ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงท่านพี่กลับไปนอนพักให้สบายที่เหลือเดี๋ยวน้องจะจัดการเอง ชิงอี้นางได้กล่าวกับพี่สาวของนางแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากที่แห่งนี้ทันที
ส่วนชิงเหมยนั้นเขาก็รู้ดีว่าน้องสาวของเขานั้นกำลังจะไปทำอะไรเขาก็กลับไปที่จวนของตนเองแล้วเตรียมเก็บข้าวของของตนเองและน้องสาวเอาไว้ให้เรียบร้อยพร้อมที่จะเดินทางทุกเมื่อ
ทางด้านของชิงอี้นั้นหลังจากที่แยกกับพี่สาวเขาก็ได้เรียกตู๋ชงออกมาเพื่อพูดคุย
“ตู๋ชงเจ้ามีบริวารตนใดบ้างที่มีสตินึกคิดสามารถพูดได้ทำสิ่งอื่นๆได้เหมือนกับเจ้า”
“แน่นอนว่ามีอยู่แล้วขอรับนายท่านพวกเขาเหล่านั้นเพิ่งจะถือกำเนิดได้เพียงไม่นานมานี้หลังจากที่ข้าได้รับเครื่องสังเวยมากมาย จนพลังมันเกินขีดจำกัดเลยถือกำเนิดพวกเขาเหล่านี้ขึ้นมาขอรับ”
“มีทั้งหมดกี่ตัว แล้วเจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าสามารถควบคุมพวกมันได้”
*มีทั้งหมด 100 ตัวขอรับและนายท่านไม่ต้องห่วงพวกมันทั้งหมดนั้นก็เหมือนกับตัวอื่นๆ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีงั้นเจ้าก็เรียกมาให้ข้าสัก 20 ตัวบอกพวกมันไปว่าข้าจะมีร่างให้สถิต”
เมื่อตู๋ชงได้ยินเช่นนั้นเขาก็ส่งกระแสจิตไปหาบริวารเหล่านั้นทันทีและใช้เวลาไม่นานบริวารเหล่านั้นก็มารวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าของชิงอี้ตามจำนวนที่ต้องการ
“พวกเราขอคารวะนายท่าน”เมื่อพวกมันปรากฏตัวออกมาก็ส่งกระแสจิตเข้ามาทำการคารวะทันที
“พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมวันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาร่างอาศัยอยู่” เมื่อกล่าวจบชิงอี้ก็ได้เดินไปยังจวนตระกูลลู่ทันที ชิงอี้นางใช้เวลาเดินมาไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวนที่เขียนคำว่า ซื่อสัตย์ ด้วยอักษรสีทองขนาดใหญ่นั่นก็ทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมากที่ได้เห็น
แล้วเมื่อเหล่าคนเฝ้าประตูได้เห็นว่าผู้ใดมาพวกเขาก็เข้ามาขวางทันทีแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเพียงแค่เข้าใกล้พวกเขาเหล่านั้นก็สลบลงไปทันที
“เอาล่ะพวกเจ้าทั้งหลายจงไปหาร่างที่พวกเจ้าชอบกันให้เต็มที่ผู้คนในจวนนี้ให้ยกให้พวกเจ้าทั้งหมดยกเว้นเพียงแค่คนที่ข้ากำลังจะไปหาเท่านั้น” เมื่อเราบริวารทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็พากันแยกย้ายไปในจวนเพื่อหาร่างที่ตนเองต้องการและเมื่อพบแล้วพวกมันทั้งหลายก็มุดเข้าไปในปากของคนๆนั้นแม้ว่าคนๆนั้นพยายามที่จะต่อต้านขัดขืนขนาดไหนก็ไม่เป็นผลสุดท้ายแล้วก็ตายและโดนยึดร่างโดยสิ่งเหล่านี้ทันที
ทางด้านของชิงอี้นั้นเขาได้เดินไปหาผู้นำตระกูลู่และครอบครัวที่ในตอนนี้กำลังนั่งกินข้าวกันอย่างมีความสุข
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทุกคนชนแก้วกันหน่อยในที่สุดเสี้ยนหนามในชีวิตข้าโคตรถูกกำจัดไปแล้วและลูกของพวกมันก็จะโดนจับไปเมืองหลวงเช่นเดียวกัน และที่นี้พวกเจ้าคิดว่าเมืองแห่งนี้ใครที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้เริ่มตำแหน่งเป็นผู้ปกครองถ้าไม่ใช่ข้า”ลู่อู่เซินได้เอ่ยออกมาและเหล่าบรรดาลูกๆรับภรรยาของเขานั้นก็เอ่ยสนับสนุนด้วยความยินดี และเมื่อชิงอี้ที่เดินมาถึงเขาก็ได้ยินทุกประโยคของอีกฝ่ายทันที
แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ
เสียงตบมือดังขึ้นมาเบาๆจากทางด้านหลังของผู้นำตระกูลลู่และเมื่อทุกคนหันไปมองก็ได้พบเข้ากับชิงอี้ที่เดินออกมาจากเงามืดด้วยรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัว และเมื่อทุกคนได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็แสดงท่าทางหวาดกลัวออกมากันทุกคน