บทที่ 3
จัดการเรื่องราวที่เหลือ
หลังจากที่ชิงอี้ได้รับรู้แล้วว่ามีผู้ใดบ้างที่คิดทรยศร่วมมือกันกับกองทัพศัตรูนางก็ได้จดบันทึกชื่อของคนเหล่านั้นไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
“ข้าบอกเจ้าไปแล้วทีนี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้แล้ว”
“ได้เจ้ามีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่”
“ไม่มีเจ้ารีบลงมือเถอะข้าอยากไปอยู่กับชิง เอ๋อของข้าจะแย่แล้ว” จักรพรรดิอู๋ตี้ได้เอ่ยออกมา
“ได้สิข้าจะทำความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริง” เมื่อกล่าวจบรอบตัวของนางนั้นก็มีแมงมุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา 5 ตัวแล้วปล่อยใยรัดที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง รัดแขนทั้งสองข้าง แล้วก็รัดคอของอีกฝ่ายเอาไว้
“เจ้าจะทำอะไร!!!”จักรพรรดิอู๋ตี้ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวาดระแวง
“ข้าสัญญาว่าจะฝังเจ้าไว้ที่สุสานเดียวกับบิดาของข้าแต่ไม่ได้บอกว่าจะฝังเต็มร่าง” เมื่อกล่าวจบนางก็ได้ออกคำสั่งให้แมงมุมยักษ์ทั้ง 5 ดึงส่วนที่ใหญ่มัดอยู่ทันที
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
จักรพรรดิอู๋ตี้กรีดร้องออกมาเมื่อแขนของตนนั้นค่อยๆตึงออกไปเรื่อยๆแล้วฉีกกระชากออกจากร่างอย่างแรงแล้วเลือดก็โพยพุ่งออกมาราวกับส่ายน้ำ เช่นเดียวกันกับขาทั้งสองข้างที่ถูกฉีดกระชากออกไปเลือดนั้นไหลอาบย้อมไปทั่วทั้งร่างของแมงมุมตนนั้น
“เหลือแค่หัวสินะที่ยังไม่หลุด” เมื่อเหล่าแมงมุมยักษ์ได้ยินเช่นนั้นพวกมันก็ปล่อยใยที่รัดแขนกับขาทิ้งทันทีแล้วมายิงใยใหม่ที่บริเวณเอวและสะโพกของจักรพรรดิอู๋ตี้ทันที
เมื่อทำการรัดเสร็จแล้วแมงมุมทั้งสองฝ่ายต่างก็เร่งเดินไปยังทิศทางของตนเอง
“อ๊ากกกกกกกกกก”
เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายของจักรพรรดิอูตตี้ก่อนที่ศีรษะของเขานั้นจะหลุดกระเด็นออกไปวางอยู่แทบเท้าของชิงอี้ เมื่อนางได้เห็นเช่นนั้นนางก็ยกเท้าเหยียบศีรษะนั้นทันทีแล้วขยี้ไปมา
“เจ้ามันสาระเลวเกินกว่าที่จะให้อภัยได้”
เมื่อกล่าวจบนางก็เตะศีรษะนั้นกระเด็นออกไปไกล
แล้วนางก็เดินไปประคองร่างของบิดาตนลงมาจากหลังม้าทันที
“ท่านพ่อเจ้าค่ะ ลูกมารับท่านพ่อแล้วนะเจ้าค่ะ”
นางได้กล่าวออกมาพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหล่เต็มใบหน้า เมื่อตู๋ชงที่กลับมาจากกินอาหารแล้วได้เห็นเช่นนั้นมันก็ได้สั่งให้บริวารของมันไปค้นหาร่างของขุนนางตระกูลอูลาเร่อปาทั้งหมดที่เสียชีวิตในที่นี้มาทันที เวลาผ่านไปไม่นานร่างของคนตระกูลอูลาเร่อปาก็มาวางเรียงรายอยู่เบื้องหน้าของชิงอี้ที่มีมากกว่า 30 ร่าง เมื่อชิงอี้ได้เห็นเช่นนั้นนางก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะไม่ว่ามารดาตนพี่ชายและท่านปู่ท่านย่าพร้อมทั้งบ่าวไพร่ทั้งหมดของตระกูลอูลาเร่อปาล้วนตายสิ้นไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียว
นางได้ร้องไห้เช่นนั้นยาวนานถึงครึ่งชั่วยามกว่านางจะสงบแล้วตั้งสติได้
“ตู๋ชงเจ้าจงให้เหล่าบริวารของเจ้าพาร่างของคนตระกูลอูลาเร่อปาทั้งหมดไปที่สุสาน ข้าจะทำพิธีฝังศพอย่างสมเกียรติไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นฝังที่สุสานเดียวกันทั้งหมด”
“รับบัญชานายท่านของข้า แล้วศพที่ถูกแยกเป็น 6 ส่วนนั้นท่านจะฝังอย่างไร”
“ข้าได้รับปากมันไปแล้วว่าจะให้มันฝังที่สุสานเดียวกับบิดาของข้า ให้เจ้านำร่างกายของมันไปฝังไว้ที่กลางสุสาน แล้วให้เจ้าวาดแผนที่รูปดาวแล้วฝังชิ้นส่วนต่างๆของมันไว้ที่นอกสุสานตามแผนที่รูปดาวที่เจ้าวาดเอาไว้”
“รับบัญชาขอรับนายท่าน”เมื่อกล่าวจบตู๋ชงก็ได้สั่งเหล่าบริวารให้ขนย้ายร่างของคนตระกูลอูลาเร่อปาทั้งหมดไปไว้ที่สุสาน พร้อมสั่งบริวารตนให้ทำการขุดหลุมตามจำนวนศพและให้วาดแผนที่รูปดาวนอกสุสานแล้วขุดหลุม 5 หลุมฝังชิ้นส่วนของจักรพรรดิอู๋ตี้
เมื่อเหล่าบริวารได้รับคำสั่งเช่นนั้นพวกมันก็แบกร่างของคนตระกูลอูลาเร่อปาอย่างทะนุถนอมแต่กลับกันชิ้นส่วนของจักรพรรดิอู๋ตี้นั้นกลับถูกลากไปกับพื้นราวกับขยะที่ไร้ค่าไม่ควรให้จับต้อง
เมื่อเหล่าบริวารของตู๋ชงขนย้ายร่างของคนตระกูลอูลาเร่อปาไปไว้ที่สุสานทั้งหมดแล้วชิงอี้นางก็ได้เดินกลับเข้าไปที่ประตูเมืองที่มีแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ขวางกั้นเอาไว้อยู่
“ตู๋ชงเจ้ามีวิธียกแผ่นเหล็กนี้หรือไม่ แผ่นเหล็กนี้หลอมมาจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านข้าไม่อยากทำลายมัน”
“วิธีย่อมมีอยู่แล้วนายท่านไม่ต้องเป็นห่วง” เมื่อกล่าวจบตู๋ชงก็ได้กลายร่างเป็นตัวต่อยักษ์แล้วบินไปกัดเชือกที่ผูกแผ่นเหล็กนี้เอาไว้ทันที แล้วมันก็ได้สั่งเหล้าบริวารที่มีมากมายหลายแสนตัวนั้นช่วยกันดันช่วยกันลากแผ่นเหล็กนี้ออกไปจากประตู ด้วยปริมาณที่มากมายนั้นใช้เวลาไม่นานแผ่นเล็กขนาดใหญ่นี้ก็ถูกฝูงสัตว์นับแสนตัวเคลื่อนย้ายไปวางอยู่ข้างๆประตูอย่างงดงาม
“เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน”
“ขอบใจเจ้ามากถ้าไม่ได้เจ้าป่านนี้เมืองแห่งนี้คงเหลือเพียงชื่อเท่านั้น”ชิงอี้ได้กล่าวขอบคุณออกมาจากใจจริงของตน
“นายท่านกล่าวอันใดเช่นนั้นตัวของข้านั้นเป็นบริวารท่านเรื่องแค่นี้ยังนับว่าเล็กน้อย”
เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นไปลูบหัวของแมงมุมยักษ์ตรงหน้าทันที
“เอาล่ะทีนี้เจ้าจงไปสนุกกับมื้ออาหารให้เต็มที่แล้วจงบอกเหล่าบริวารของเจ้าให้กินอย่างสุขสำราญอย่าให้เหลือแม้แต่โครงกระดูกเดียว”
“รับบัญชา”เมื่อกล่าวจบมันก็ได้ส่งเสียงบางอย่างออกมาและเมื่อเหล่าบริวารได้ยินเช่นนั้นพวกมันก็พากันวิ่งไปยังช่องแคบที่เหล่าคนของเมืองชิงชิวลอบสังหารกองทัพจักรพรรดินับแสนนายในที่แห่งนี้
เมื่อเหล่าสรรพสัตว์ได้มาถึงพวกมันก็ไล่กินซากศพอย่างเอร็ดอร่อยแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่เหลือ กินทุกอย่างที่ขวางหน้าเหลือเพียงแค่ชุดเกราะและกระบี่เท่านั้นที่เป็นโลหะพวกมันไม่สามารถกินได้
“ชิงอี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้างบาดเจ็บหรือไม่พี่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก”
เมื่อชิงอี้ก้าวคนเข้ามาในประตูเมืองพี่สาวเพียงคนเดียวของนางในตอนนี้ก็พุ่งเข้ามา กอดแล้วเอ่ยถามทันที เมื่อชิงอี้ถูกพี่สาวของตนเองก่อนน้ำตาที่เคยแห้งเหือดไปก็เอ่ยล้นออกมาอีกครั้ง
“ท่านพี่ไม่มีใครเหลือแล้วนอกจากพวกเราไม่มีใครในตระกูลอูลาเร่อปาเหลืออีกแล้วเจ้าค่ะ” นางไม่เอ่ยออกมาพร้อมทั้งน้ำตา
เมื่อพี่สาวของนายได้ยินเช่นนั้นก็กอดแน่นยิ่งกว่าเดิมพร้อมทั้งมีหยาดน้ำตาไหล่ลงมาเต็มใบหน้าของนางแต่กลับไม่มีเสียงร้องเลยสักนิดเดียว
“พี่รู้แล้วเจ้าอย่าร้องไปเลยคนในตระกูลของเรานั้นเขาสละชีพเพื่อชาติเราต้องเข้มแข็งอย่าให้การจากไปของพวกเขาเปล่าประโยชน์ ”
ชิงเหมยที่ในตอนนี้แม้จะเศร้าโศกเสียใจเพียงใดก็จะร้องไห้ไม่ได้ เพราะตนเป็นพี่ตนจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้เพื่อที่จะปลอบน้องของตน
“ท่านพี่ ฮึก ฮือ”ชิงอี้ได้กอดพี่สาวของตนแล้วร้องไห้ออกมาอย่าง
“น้องรักของพี่แล้วศพของคนของตระกูลอูลาเร่อปาอยู่ที่ใดหรือ”
“น้องให้เหล่าบริวารของสัตว์เลี้ยงของน้องพาร่างของคนตระกูลอูลาเร่อปาทั้งหมดไปไว้ที่สุสานประจำตระกูลแล้วเจ้าค่ะ น้องคิดว่าจะฝังทุกคนไว้ที่สุสานเดียวกันโดยไม่แบ่งแยกสุสานของนายสุสานของบ่าวเพื่อเป็นการขอบคุณพวกเขาที่ยอมเสียสละตนเองเพื่อปกป้องบ้านเมืองเอาไว้เจ้าค่ะ” ชิงอี้พยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้น พร้อมเอ่ยกับพี่สาวของตนอย่างช้าๆแต่ละประโยค
“เช่นนั้นก็ดีพี่เห็นด้วย งั้นพวกเราไปที่สุสานกันเถอะจะได้ฝังร่างพวกเขา”
เมื่อกล่าวจบ 2 คนพี่น้องก็เดินไปที่สุสานตระกูลชิงทันที และเมื่อเหล่าชาวบ้านที่ได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็เดินตามไปที่สุสานด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อมาถึงที่สุสานพวกเขาทั้งหมดก็ได้เห็นในสิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดตั้งแต่พวกตนเกิดมาก็คือ เหล่าสัตว์มีพิษน้อยใหญ่มากมายหลากหลายชนิดช่วยกันขุดหลุมเพื่อที่จะฝังร่างของคนตระกูลอูลาเร่อปาอยู่ และตอนที่พวกเขาทั้งหมดเดินมาถึงพวกมันเหล่านั้นก็ขุดหลุมเสร็จพอดี
“นายท่านจะให้ข้านำร่างของพวกเขาทั้งหมดลงหลุมเลยหรือไม่ขอรับ”ตู๋ชงได้ส่งกระแสจิตเข้ามาถามนางทันทีที่เห็น
“นำร่างของพวกเขาทั้งหมดลงหลุมได้เลยเหลือไว้เพียงแค่ท่านพ่อท่านแม่แล้วก็ท่านพี่”
“น้อมรับบัญชา”เมื่อกล่าวจบตู๋ชงก็ได้สั่งให้เหล่าบริวารนำร่างของในคนตระกูลที่เหลือลงหลุมแล้วกลบทันทีเหลือไว้เพียงแค่ร่างของผู้นำตระกูลและครอบครัว
“เมื่อกี้น้องคุยกับใครหรือ”
“ข้าคุยกับสัตว์เลี้ยงของข้า ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงไปทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้อย่างสมบูรณ์”
หลังจากที่นางคุยกับพี่สาวของนางนั้นร่างของบริวารในตระกูลอูลาเร่อปาก็ถูกฝังลงยังหลุมเรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไป”นางได้หันไปเอ่ยกับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก เมื่อพวกมันได้ยินเช่นนั้นก็พากันแยกย้ายหายไปในป่าทันทีเหลือเพียงแค่ตู๋ชงที่ยังยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน
“ท่านพี่พวกเราไปหาท่านพ่อท่านแม่กับเหล่าท่านพี่กันเถอะ” เมื่อกล่าวจบมาก็ได้จูงมือพี่สาวของนางไปยืนอยู่ยังข้างศพของคนในครอบครัวตน เมื่อชิงเหมยได้เห็นเช่นนั้นน้ำตาและความเข้มแข็งของนางที่พยายามสร้างมาตลอดก็พังทลายลงนางได้ร้องไห้ออกมาเสียงดังด้วยความโศกเศร้าน้ำตาของนางนั้นไหลอาบพื้นอย่างหนัก
“ฮึก ท่านพ่อท่านแม่ ลูกขออภัยพวกท่านด้วยที่ชาตินี้พวกเราไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ฮึก แต่ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริงพวกลูกขอเกิดเป็นบุตรของท่านเพื่อตอบแทนบุญคุณของพวกท่านในชาตินี้” เมื่อกล่าวจบทั้งคู่ก็ทำการโขกหัวเคารพศพของบิดามารดาตนแล้วทั้งคู่ก็ร้องไห้กันออกมาอย่างหนักจึงทำให้ทั้งสุสานแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้โศกเศร้าเสียใจดังระงมไปทั่วเป็นเวลานาน
“ท่านพี่ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้ท่านพ่อท่านแม่และท่านพี่ทั้งหลายได้นอนอย่างสงบสุขในที่แห่งนี้”
เมื่อกล่าวจบนางก็ได้ประคองพี่สาวของนางออกมาจากตรงนั้นทันที
“ตู๋ชงฝังร่างบิดามารดาและเหล่าพี่ชายของข้าไว้ที่กลางสุสานแห่งนี้”
“รับบัญชาขอรับนายท่าน แล้วชิ้นส่วนของมันผู้นั้นจะให้ข้าฝังไว้ยังจุดใดดีขอรับ”
“ในเมื่อมันอยากอยู่กับท่านพ่อของข้าขนาดนั้นก็นำชิ้นส่วนของมันฝังไว้ที่ใต้ฐานศพของท่านพ่อข้าก็แล้วกัน แล้วก่อนจะฝังเจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าควรทำอย่างไร”
“หึ หึ หึ หึ สมแล้วที่เป็นนายท่านของข้าท่านช่างเป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะทำให้วิญญาณของมันที่อยู่ในปรโลกนั้นเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสขอรับ”
เมื่อกล่าวจบตู๋ชงก็ได้กลายร่างเป็นตัวต่อขนาดใหญ่แล้วนำร่างของบิดามารดาและเราพี่ชายของชิงอี้ไปฝั่งยังโลงหินกลางสุสาน ที่ผู้นำตระกูลคนก่อนได้ทำเอาไว้เผื่อให้ลูกหลานในตระกูลฝั่งร่วมกัน
เมื่อนำร่างของพ่อแม่พี่น้องของชิงอี้ฝั่งเรียบร้อยแล้วตู๋ชงก็ได้กลายร่างเป็นอสรพิษพร้อมคาบชิ้นส่วนบางอย่างไว้ในปากแล้วดำลงไปในดินไปอยู่ใต้ฐานของสุสานอดีตผู้นำตระกูลอูลาเร่อปาพร้อมคายเศษเนื้อนั้นเอาไว้ พร้อมทั้งร่ายมนต์บางอย่างสะกดชิ้นเนื้อนั้นเอาไว้ให้ทรมาน เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นมันก็ได้เลื้อยออกมาแล้วกลายร่างเป็นแมงมุมยักษ์เดินเข้าไปหาชิงอี้ ที่ยืนรอมันอยู่นอกสุสานเพียงคนเดียว
“จัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับนายท่านทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านปรารถนา”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีงั้นข้าก็จะไปรวมตัวกับคนอื่นหมู่บ้านเจ้าก็แปลงกายเป็นสัตว์ตัวเล็กๆมาเกาะอยู่บนไหล่ข้าไปก็ได้”
เมื่อตู๋ชงได้ยินเช่นนั้นมันก็กลายร่างเป็นผึ้งตัวเล็กๆบินไปเกาะอยู่บนหัวไหล่ของชิงอี้ทันที
เมื่อนางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปยังหมู่บ้านแล้วไปรวมตัวกับคนอื่นยังที่ว่าการทันที
“ไม่ทราบว่าทุกท่านกำลังคุยสิ่งใดกันอยู่”นางไม่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ขออนุญาตขอรับทุกท่านทั้งหลายมีรายงานจากหน่วยสอดแนมแจ้งมาว่ามีกองทัพขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนทัพมาที่นี่ขอรับ” องครักษ์ที่บิดาของชิงอี้ทิ้งเอาไว้ได้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน
“ตรวจสอบหรือยังว่าเป็นกองทัพของใคร” ก่อนที่ทุกคนจะเอ่ยถามชิงอี้นางได้เป็นฝ่ายถามออกไปก่อน
“ตรวจสอบมาแล้วขอรับกองทัพที่กำลังเคลื่อนมานั้นจากการที่เราได้ตรวจสอบดูเกินกว่า 8 ส่วนเป็นกองทัพของราชสำนักขอรับ”
“กองทัพของราชสำนักอย่างนั้นหรือ สงครามก็จบไปแล้วยังจะมีหน้ามาทำไมอีก” ชิงอี้นางได้กล่าวออกมาด้วยอารมณ์ที่ยากจะหยั่งถึงของนางได้
“ตอนนี้กองทัพของอีกฝ่ายนะตั้งอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้กองทัพของราชสำนักตั้งอยู่ที่ปากทางของช่องเหวกำลังขนหินออกเพื่อเปิดทางเข้ามายังที่แห่งนี้ขอรับ”
“ข้ารู้แล้วเจ้าออกไปเถอะ”
“ขอรับ” เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้ออกไปจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
“หลานจะจัดการอย่างไรกับกองทัพพี่กำลังมา”
ผู้นำตระกูลอู่ได้เอ่ยถามกับชิงอี้
“ก็ต้องดูว่าพวกเขาเหล่านั้นมาดีหรือมาร้ายถ้าหากพวกเขาเหล่านั้นมาร้ายล่ะก็พวกเราก็ต้องเปิดศึกกับพวกเขา”
“แต่ถ้าทำอย่างนั้นพวกเราจะไม่มีปัญหากับทางราชสำนักหรือ”
“ถ้าเกิดว่าพวกเขามาร้ายต้องการที่จะกวาดล้างพวกเราทั้งหมดแล้วท่านลุงจะทำอย่างไรจะอยู่เฉยๆให้พวกเขาเหล่านั้นมาฆ่าพวกเราหรือ” ชิงอี้ได้กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน
“ลุงไม่ได้หมายความเช่นนั้น ลุงแค่คิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องดีที่พว.....”
“ท่านไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดออกมาแล้วข้าไม่อยากฟัง ข้าจะไปพบอีกฝ่ายด้วยตัวของข้าเอง”
เมื่อกล่าวจบนางก็ได้เดินออกไปทันทีโดยที่ไม่ฟังสิ่งใดต่อจากนี้อีกเลย เมื่อออกมาถึงหน้าประตูนางก็ได้ให้สัตว์เลี้ยงของนางกลายร่างเป็นแมงมุมยักษ์เพื่อให้นางขี่หลังและพาไปยังจุดหมายที่อีกฝ่ายอยู่ทันที