บทที่ 2
กวาดล้างซศัตรูที่เหลือ
ชิงอี้ได้กรีดร้องไปได้สักพักก็สงบลงพร้อมทั้งหอบหายใจอย่างหนักด้วยความเหนื่อย
“เสร็จแล้วใช่หรือไม่”
“เสร็จแล้วขอรับนายท่าน นับตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะเป็นข้ารับใช้ของท่านไปจนตาย”
“เจ้าเคยบอกว่าเจ้าสามารถกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตใดก็ได้ที่มีพิษใช่หรือไม่”
“ ใช่ขอรับเลยท่านข้านั้นสามารถกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตใดก็ได้ที่มีพิษ และยังสามารถควบคุมสัตว์มีพิษได้ทุกชนิด”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าแปลงร่างเป็นสิ่งใดก็ได้ที่ข้าสามารถขี่เจ้าได้”
“รับบัญชานายท่าน” เมื่อกล่าวจบสิ่งมีชีวิตนั้นก็ได้กลายร่างเป็นแมงมุมขนาดใหญ่เท่ากับม้ายืนอยู่เบื้องหน้าของชิงอี้ แล้วใช้ขาของตนนั้นทำเป็นบันไดให้ร่างกายเดินขึ้นไปข้างบนได้ง่ายๆ
“ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้เจ้าเลยเจ้าอยากมีชื่อว่าอะไร”
“แล้วแต่นายท่านจะตั้งชื่อให้เลยขอรับตัวข้านั้นสามารถใช้ชื่ออะไรก็ได้”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าชื่อว่า ตู๋ชง ก็แล้วกันมันน่าจะเหมาะกับเจ้าดี”
“จะชื่ออะไรก็ช่างตอนนี้พาข้าไปกินอาหารที่ท่านเตรียมเอาไว้ให้ก่อนดีกว่า”
“ได้ เจ้าพาลูกๆของเจ้าไปด้วยก็ได้เพราะถ้าเจ้าคนเดียวข้าเกรงว่าจะจัดการยาก เพราะที่ยังมีชีวิตอยู่มีเกือบหมื่นคน เอาลูกของเจ้าไปช่วยกินด้วยก็ได้โตเร็วๆข้าก็ได้มีขุมกำลังที่มากกว่าเดิมและไม่ต้องเกรงกลัวใคร”
“ได้เดี๋ยวข้าจะพาท่านออกไปจากที่นี่แล้วให้ท่านบอกผู้คนที่อยู่ข้างนอกว่าอยากขวางทางเพราะลูกของข้านั้นมีเยอะมากเดี๋ยวจะโดนพิษจนบาดเจ็บเอาได้”
“ทุกคนที่อยู่ด้านนอกออกไปจากบริเวณนั้นให้หมดเพราะราชาพิษกำลังจะพาลูกๆของเขาออกไปจากที่นี่ และให้ส่งคนไปบอกที่เมืองเอาไว้ว่าให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้านห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าข้าจะออกไปนอกเมืองแล้วค่อยออกมา”
เมื่อทุกคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันหาที่หลบแล้วส่งคนที่เร็วที่สุดกับไปที่เมืองแล้วแจ้งกับคนในเมืองว่าให้อยู่แต่ภายในเรือนตนเองแล้วให้ปิดประตูหน้าต่างให้หมด เพราะชิงอี้นางกำลังนำสัตว์มีพิษมากมายผ่านมาทางนี้ และเมื่อชาวบ้านทั้งหมดได้ยินเช่นนั้นก็ต่างพากันรีบเข้าบ้านของตนแล้วปิดประตูหน้าต่างลงกลอนทั้งหมด
ทางด้านชิงอี้เมื่อบอกไปได้สักพักก็ได้ขี่แมงมุมยักษ์เดินออกจากถ้ำอย่างสง่างาม และผู้คนที่ได้เห็นต่างก็เลื่อมใสเป็นอย่างมากเพราะภาพที่เห็นนั้นงดงามราวกับเทพธิดาแห่งความตาย
ตัดภาพไปทางที่วังหลวงในตอนนี้กำลังประชุมกันอย่างตึงเครียด
“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร ทางเมืองชิงชิวไม่ยอมส่งเสบียงมาเกือบครึ่งปีแล้วอย่างนั้นหรือแล้วเหตุใดถึงไม่มีใครรายงานเรื่องนี้!!!!!” ฮ่องเต้ในวัยกลางคนได้คำรามออกมาด้วยความโกรธ
“กราบทูลฝ่าบาท ทางด้านของเมืองชิงชิวนั้นได้ส่งจดหมายมาว่าปีนี้น้ำน้อยขอเลื่อนส่งเสบียงไปก่อน แต่พวกเราไม่คิดว่าเขาจะไม่ส่งมาให้เราเลยเป็นเวลานานถึง 6 เดือนเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมคิดว่าทางเมืองชิงชิวนั้นต้องการที่จะก่อกบฏแน่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพราะด้วยกำลังพลของเมืองนั้นพร้อมทั้งเสบียงมากมายที่เขากักตุนเอาไว้เป็นเวลานาน ย่อมเพียงพอในการก่อกบฎแน่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”เจ้ากรมพลเรือนได้เอ่ยออกมาอย่างยุแยง
“ใต้เท้าหม่า เรื่องนี้ยังไม่ตรวจสอบจะรีบด่วนสรุปไปทำไมไม่แน่เขาอาจจะประสบภัยอะไรก็ได้พวกเราอาจจะไม่รู้”
“ใต้เท้าซุน ท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรเห็นเห็นกันอยู่ว่าเมืองชิงชิวนั้นต้องการที่จะก่อกบฏ ถ้าเมืองนั้นเกิดอะไรขึ้นจริงเหตุใดถึงไม่มีจดหมายหรือเข้ามารายงานให้ฝ่าบาทได้รับทราบ”
“นั่นสิใต้เท้าซุน ท่านกล่าวเช่นนี้ท่านเป็นพวกเดียวกับพวกมันใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าชี ท่านกล่าวเกินไปแล้วที่ข้าพูดข้าเพียงตั้งข้อสงสัยเอาไว้เพราะทางเมืองชิงชิว นั้นภักดีต่อเรามาตลอดก็เท่านั้น”
“พวกเจ้าไม่ต้องเถียงกันแล้ว ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับหม่าชีจุน พวกมันต้องก่อกบฏแน่ๆพวกเจ้าคิดว่าข้าควรจะส่งใครไปปราบกบฏในครั้งนี้”
“กราบทูลฝ่าบาทการจะปราบกบฏครั้งนี้นั้นกระหม่อมคิดว่าควรส่งองค์รัชทายาทไปพ่ะย่ะค่ะ เพื่อให้องค์รัชทายาทนั้นมีผลงานเวลาจะขึ้นครองราชย์ต่อไปประชาชนจะได้ไม่นินทาว่าร้ายเอาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี เป็นความคิดที่ดี หลี่กงกงเจ้าไปตามรัชทายาทมาบอกว่าข้ามีงานจะมอบให้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เวลาผ่านไปได้สักพักหลี่กงกงก็ได้กลับมาพร้อมกับองค์รัชทายาทที่แต่งตัวมาเต็มยศ
“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
“รัชทายาทเจ้ามาแล้วก็ดี พ่อมีงานจะมอบหมายให้กับเจ้า เจ้าจงนำกองทัพไป 100,000 นายบุกไปที่เมืองชิงชิวเพื่อที่จะปราบกบฏในครั้งนี้
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ลูกจะไม่ทำให้เสด็จพ่อต้องผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเถิดพรุ่งนี้เช้าเจ้าจะต้องออกเดินทัพไปปราบกบฏที่เมืองชิงชิวทั้งที เดี๋ยวพ่อจะให้แม่ทัพมือดีไปกับเจ้าด้วย สองคน เพื่อที่จะให้เขาทั้งสองคนนั้นสั่งสอนเจ้าในการนำทัพเพื่อในอนาคต เจ้าเป็นกษัตริย์คนต่อไปจะได้รู้ว่าต้องเดินทัพอย่างไรต้องทำเช่นไร”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”เมื่อกล่าวจบองค์รัชทายาทก็ได้เดินทางกลับตำหนักบูรพาของตนทันทีเพื่อที่จะกลับไปเตรียมของ
เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนออกเดินทาง
“ลูกแม่ พ่อของเจ้าจะให้เจ้าไปทำเรื่องอันใดอีก ไปครั้งนี้อันตรายหรือไม่แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก”
“ท่านแม่ ข้าไปครั้งนี้เพียงแค่ไปปราบกบฏเมืองเล็กๆเมืองเดียวเท่านั้นท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมาโดยสมบูรณ์อย่างแน่นอน”
“เจ้าสัญญากับแม่แล้วนะเจ้าห้ามบาดเจ็บกลับมาแม้แต่นิดเดียวเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจขอรับท่านแม่ หลี่หยาง จะไม่ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วง” เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้เดินออกไปจากตำหนักทันที
“ข้าขอฝากความหวังครั้งนี้เอาไว้กับพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดจงนำอู่ข้าวกลับมาจากกบฏเมืองชิงชิวให้ได้เมื่อกลับมาจากการปราบกบฏครั้งนี้ข้าจะมีรางวัลให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน!!!!!”ฮ่องเต้ได้เอ่ยออกมาเพื่อปลุกความฮึกเหิมให้กับเหล่าทหาร
เฮ้!!!!!!!!!!!!!
ทหารทั้งหมดได้ตะโกนออกมาแล้วออกเดินทางตามรัชทายาทไปทันที
ตัดกลับมาที่สนามรบอีกครั้งในตอนนี้จักรพรรดิแห่งแคว้นอู่ตี้นั่งอยู่บนหลังม้าพร้อมทั้งประคองร่างของเจ้าเมืองชิงชิวไว้ด้านหน้าพร้อมทั้งลูบหัวและหอมแก้มที่เริ่มมีรอยช้ำขึ้นมาแล้ว
“พวกเจ้าทั้งหมดเตรียมอาวุธให้พร้อมพวกเราจะทำการบุกเมืองชิงชิวเดี๋ยวนี้!!!!!!”
จักรพรรดิได้ตะโกนออกมาพร้อมชูดาบขึ้นไปบนฟ้า เมื่อเหล่าทหารได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็เตรียมดินปืนเพื่อที่จะไปจุดระเบิดที่หน้าประตู
แต่ทันใดนั้นเองบนกำแพงของเมืองชิงชิว นั้นก็มีฝูงของสัตว์ประหลาดไต่ลงมาเป็นจำนวนมาก แล้วเข้าทำการกัดกินทหารที่กำลังจะจุดดินปืนทันที
“ อ๊ากกกก”
เสียงของทหารนายนั้นร้องออกมาก่อนที่ร่างของเขาจะจมหายไปในฝูงของสัตว์ประหลาด และเมื่อนายทหารที่อยู่ใกล้ๆกันได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาต่างก็พากันวิ่งหนีตายกันอย่างอลหม่าน
“ ถอยทัพ!!! ถอยทัพเดี๋ยวนี้!!! ฝูงสัตว์ประหลาดกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!!! รีบบอกให้จักรพรรดิหนีไปเดี๋ยวนี้!!!”
นายทหารที่กำลังวิ่งหนีจากฝูงสัตว์นั้นเขาได้ตะโกนออกมาเสียงดัง แต่หลังจากที่เขาตะโกนจบประโยคนั้นตัวของเขาก็ล้มลงแล้วถูกฝูงสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหลังรุมกัดกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
“พวกเจ้าทั้งหมดฟังคำสั่ง พวกเจ้าทั้งหมดจะกินใครก็ได้ยกเว้นฮ่องเต้ของฝั่งนั้นข้าจะเป็นคนจัดการเอง!!!!”
เสียงที่ใสประดุจดั่งระฆังแก้วดังกังวานจากบนกำแพงดังไปทั่วสนามรบ แต่กลับกันฝ่ายศัตรูนั้นกลับได้ยินราวกับเสียงเรียกจากมัจจุราช
เมื่อสิ้นเสียงนั้นของชิงอี้ เหล่าสัตว์บริวารที่ถือกำเนิดมาจากตู๋ชงหรือราชาแห่งสัตว์พิษนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมาราวกับตอบรับคำสั่งนั้น
“นายท่านจะให้ข้าไปทานอาหารได้หรือยังขอรับ” ตู๋ชงได้เอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำลายที่ไหลออกจากมุมปาก
“เจ้าพาข้าไปส่งยังจุดที่ฮ่องเต้ฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้วเจ้าจะไปไหนก็ไป” เมื่อได้ยินเช่นนั้นตู๋ชงก็กลายร่างเป็นตัวต่อขนาดใหญ่ที่คนสามารถขึ้นไปนั่งได้แล้วมันก็บินพาร่างบางไปยังจุดที่จักรพรรดิของฝ่ายตรงข้ามอยู่
เมื่อมาถึงร่างบางก็ได้เห็นศพของบิดาอยู่บนหลังม้ากับอีกฝ่ายเขาก็โกรธเป็นอย่างมาก
“ เจ้าทำอันใดกับบิดาของข้า!!!!”
“ เมื่อกี้เจ้าว่าอันใด เจ้าเป็นอะไรกับชิงเอ๋อของข้า” ฮ่องเต้แห่งแคว้นอู๋ตี้ได้เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“เมื่อกี้เจ้าเรียกบิดาของข้าว่าอย่างไร” ชิงอี้ได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“เจ้าเรียกชิงเอ๋อของข้าว่าบิดาอย่างนั้นหรือ งั้นแสดงว่าเจ้าคือสายเลือดที่โสโครกของนางแพศยาคนนั้นสินะ!!!” เมื่อกล่าวจบจักรพรรดิอู่ตี้ก็วางร่างของเจ้าเมืองชิงไว้บนหลังม้าแล้วกระโดดลงมายืนอยู่เบื้องหน้าของร่างบาง
“วันนี้ข้าจะกำจัดสายเลือดอันโสโครกของนางแพศยาเหออู่ซานให้หมดสิ้น ให้สมกับที่มันมาแย่งชิงเอ๋อของข้าไป!!!”เมื่อกล่าวจบจักรพรรดิอู๋ตี้ก็ได้ง้างดาบในมือฟันใส่ชิงอี้ทันที
“ข้าต่างหากที่จะเป็นฝ่ายกำจัดเจ้า”เมื่อกล่าวจบชิงอี้ก็ยกง้าวในมือขึ้นตั้งรับทันที
เพล้ง!!!
เสียงวัตถุทั้งสองกระทบกันดังขึ้นมา พร้อมทั้งทั้งสองฝ่ายต่างก็โจมตีใส่กันอย่างเต็มกำลัง
ทั้งสองฝ่ายนั้นต่างก็ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร ฝีมือของทั้งคู่นั้นต่างก็อยู่ในระดับเดียวกัน
“ อ๊ากก!!!”
เสียงของจักรพรรดิอู่ตี้คำรามออกมาพร้อมมือข้างที่ถือดาบก็ร่วงหล่นสู่พื้นทันที
“เจ้าคนสารเลววันนี้ข้าจะนำเลือดของเจ้ามันล้างแผ่นดินของข้าแก้แค้นแทนตระกูลของข้า!!!”
ในขณะที่ง้าวของชิงอี้นั้นจะสับลงไปที่คอของจักรพรรดิอู๋ตี้ อีกฝ่ายก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ง้าวของร่างบางนั้นสับลงไปที่พื้นเบื้องหน้าแทน
“เมื่อกี้เจ้าเอ๋ยอันใดออกมา”
“ข้าบอกว่าเจ้าไม่อยากรู้อย่างนั้นหรือว่าคนของฝ่ายเจ้าผู้ใดเป็นคนทรยศ เอยเสนอแผนการให้ข้ามาตีเมืองชิงชิว”
เมื่อร่างบางได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยืนนิ่งทันที
“เจ้าต้องการสิ่งใด ถ้าหากจะขอให้ข้าไว้ชีวิตเจ้ามันคงเป็นไปไม่ได้”หลังจากยืนนิ่งไปสักพักชิงอี้ก็ได้เอ่ยถามออกมา
“ข้าไม่คิดจะขอให้เจ้าไว้ชีวิตข้าอยู่แล้ว ตัวข้าไม่ต้องการสิ่งใดมาก นอกจากว่าถ้าหากเจ้าสังหารข้าแล้วฝังศพเข้าไว้ที่สุสานเดียวกันกับบิดาของเจ้าแค่นั้นก็พอ ถ้าหากเจ้ารับปากข้าเรื่องนี้ข้าก็จะบอกเจ้าว่าคนพูดคือใคร” เมื่อกล่าวจบจักร พรรดิอู๋ตี้ก็ยิ้มออกมา
หลังจากที่นางยืนนิ่งแล้วคิดบางอย่างไปได้สักพักนางก็เอ่ยออกมา
“ได้ข้ารับปากเจ้า ถ้าเจ้าบอกเกี่ยวกับตัวตนเบื้องหลังของเรื่องนี้ให้กับข้าข้าจะฝังเจ้าไว้ที่สุสานเดียวกันกับตระกูลของข้า”
นางได้เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เย็นเยือกราวกับรอยยิ้มของมัจจุราช
“ ได้กลุ่มนั้นนั้นก็คือ.......”