ยามดึกสงัด จางหยูเฟยไม่อาจข่มตาหลับลงได้ นางอยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ยอนฮวาถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งซารังน้อยให้ถามหาแม่ทุกวัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นางไม่รู้ว่าจะปกปิดซารังน้อยไว้ได้อย่างไร
“พี่ยอนฮวา ท่านหายไปไหน ไม่ห่วงซารังลูกรักของท่านหรือไร” นางพยายามคิดแต่ในแง่ดี แต่เมื่อส่งคนออกไปสืบหาข่าว นางกลับยังไม่ได้รับข่าวดี มีเพียงข่าวที่ชวนให้คิดไปว่ายอนฮวาอาจไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูจะอาบน้ำหรือยังเจ้าคะ บ่าวจะได้เตรียมน้ำอุ่นให้” สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยถามอย่างรู้หน้าที่ ทำให้ร่างบอบบางที่เอนศีรษะพิงพนักเตียงหลุดจากภวังค์
“ข้ายังไม่อาบ พวกเจ้าไปดูทีซิว่าซารังอาบน้ำหรือยัง ถ้ายังก็จับนางอาบน้ำและพาเข้านอนด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
สายตาคู่งามซึ่งล้อมด้วยแพขนตาหนากระพือขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ยามนี้ความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมทั่วแผ่นฟ้า พลันสายตานางกลับเห็นร่างสูงโปร่งในชุดขาว ร่างนั้นราวกับเปล่งรัศมีเรืองรอง สองมือกำลังประคองผีผา เครื่องดนตรีที่ทำจากไม้มีลักษณะคล้ายลูกแพร์ผ่าซีก
นิ้วเรียวยาวนั้นดีดสายได้อย่างคล่องแคล่ว ดวงตาคู่งามจ้องเขม็งไปที่ภาพนั้น หากมองผ่านๆ ราวกับเป็นภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรเอก ที่วาดภาพเทพธิดาดอกบ๊วยยืนบรรเลงผีผาขึ้นมาให้ผู้คนได้ชื่นชมความงาม
แต่เมื่อเพ่งมองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ความอ่อนช้อยนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบางอย่าง ราวกับว่าเป็นรูปปั้นเทพเซียนบนสวรรค์ที่ใครบางคนบรรจงปั้นขึ้นมาให้มนุษย์เดินดินได้มีโอกาสยล
เสียงผีผาหวานแว่วนั้นชักจูงให้จางหยูเฟยเดินตามเสียงนั้นไป แล้วเมื่อขยับไปใกล้ๆ นางกลับพบว่าผู้ที่ยืนบรรเลงผีผาด้วยท่าทีสงบไม่ไหวติงนั้นคือ…
“ลี่ถิง เจ้าเองหรือ เหตุใดค่ำมืดจึงมายืนบรรเลงผีผา ไม่ต้องคอยปรนนิบัติแม่สามีที่สุขภาพอ่อนแอของเจ้ารึ” จางหยูเฟยลอบถอนหายใจ ไม่รู้นางเป็นสะใภ้ประเภทใดกัน ไม่รู้จักดูแลแม่สามี อีกทั้งท่าทางแม่สามีก็ดูหวาดกลัวนางอย่างเห็นได้ชัด
ลี่ถิงหยุดบรรเลงผีผาแล้วหันมามองจางหยูเฟย เพียงแค่นางเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมจางๆ และเรือนร่างเย้ายวนก็ทำให้ดอกบ๊วยที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งเหล่านี้แทบจะหลบ
เร้นหุบกลีบดอกให้แก่ความงดงามน่ามองของจางหยูเฟย
“ข้าน้อยมายืนเล่นผีผาตรงนี้ เพราะอดคิดถึงสามีที่ออกไปร่วมรบเพื่อรับใช้ชาติไม่ได้ ข้าน้อยขออภัยคุณหนูด้วยที่ส่งเสียงรบกวน”
จางหยูเฟยมองลี่ถิงพลางถอนหายใจ นางเองก็เกลียด ‘สงคราม’ และเกลียดมากกว่าสงครามก็คือ ‘ฮ่องเต้กระหายสงคราม’
“ข้าเข้าใจหัวอกเจ้า ข้าเองก็เกลียดสงคราม เกลียดการพลัดพราก แต่เราจะทำเยี่ยงไรได้เล่า เจ้าก็รู้ ชาวบ้านอย่างเราเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งบนกระดาน ข้าก็ไม่เข้าใจ เหตุใดฮ่องเต้จึงได้ละโมบ วันๆ เอาแต่คิดช่วงชิงดินแดนผู้อื่นมาเป็นของตน”
โอรสสวรรค์กระจ่างชัด นางมีอคติต่อฮ่องเต้
***‘เหตุใดนางดูไม่ชอบข้าเอาเสียเลย’***
นั่นทำให้ฮั่นหลิวตี้หวนคิดไปว่า บางทีคืนนั้น ยอดฝีมือที่ลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่และทำปิ่นตกไว้อาจเป็นธิดาคนงามของอดีตท่านแม่ทัพ
“คุณหนูดูจะไม่ชื่นชอบคนในราชสำนักนะเจ้าคะ”
“แล้วเจ้าชอบหรือ คนเกเร ชอบรังแกผู้อื่น”
นางพูดแล้วมองไปทางอื่น จึงไม่เห็นว่าดวงตามังกรฉายแววไม่พอพระทัยแวบหนึ่ง
***‘จู่ๆ เจ้ามาว่าข้าเป็นคนเกเร ชอบรังแกผู้อื่น หรือข้าควรจะรังแกเจ้าอีกคนดี จางหยูเฟย’*** พระองค์ลอบมองนางอย่างขุ่นเคืองพระทัย
จางหยูเฟยมองดอกบ๊วยดอกหนึ่งที่ปลิดปลิวลงสู่พื้นดิน ร่างอรชรเยื้องกายราวกับดอกไม้ที่ปลิวตามสายลม แล้วย่อตัวลงไปเก็บดอกบ๊วยดอกนั้นขึ้นมา
แม้ดอกบ๊วยจะงดงามและทานทน แต่ที่สุดมันก็ต้องโรยราหล่นร่วงสู่พื้นดิน มารดาของนางเป็นสตรีที่งดงามและแข็งแกร่ง ยามเมื่อบิดาของนางต้องออกไปทำศึก แม้มารดาจะบอกให้นางและพี่ชายเข้มแข็งเสมอ ไม่นานบิดาของนางจะต้องได้รับชัยชนะกลับมา
แต่หลายครั้งจางหยูเฟยในวัยที่ยังไม่พ้นวัยปักปิ่น เห็นมารดาแอบมาร้องไห้อยู่ที่ใต้ต้นบ๊วยต้นนี้ บิดาของนางต้องนำทัพ บางครั้งใช้เวลาหลายเดือนในการกรำศึกอย่างหนัก หากดินแดนใดนั้นแข็งแกร่งทนทานต่อการบุกยึดของทหารฮั่น บิดาของนางจะหายหน้าออกจากบ้านไปแรมปี
จนกระทั่งวาระสุดท้ายของมารดา บิดาก็ไม่ได้อยู่เคียงข้าง มีเพียงนางและพี่ชายได้กุมมือคนละข้างของมารดาเอาไว้ ก่อนที่มารดาจะละร่างกายไว้บนโลก หลงเหลือเพียงความดีเอาไว้ให้จดจำ นางจึงเกลียดสงครามยิ่งนัก
โอรสสวรรค์ยืนเล่นผีผาอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเมื่อยจึงนั่งลงบนโขดหินใหญ่ แล้วได้ยินเสียงของคุณหนูคนงามดังขึ้น
“เจ้ารู้ไหมลี่ถิง ท่านแม่ของข้าชอบต้นบ๊วยต้นนี้มาก”
“แม่ของคุณหนูชอบกินบ๊วยหรือเจ้าคะ”
ร่างนุ่มนิ่มกรุ่นไปด้วยความหอมและไออุ่น กระพือแพขนตางอนงามหันมามองลี่ถิงที่นั่งถือผีผารับลม ดวงตาของจางหยูเฟยเข้มขึ้นแล้วกล่าวเสียงแข็ง
“แม่ของข้าไม่ได้ชอบกินผลบ๊วย แต่นางชอบดอกบ๊วย แม้ตอนที่ท่านแม่สิ้นใจ ท่านก็สั่งเสียข้าให้ฝังร่างท่านไว้ที่ใต้ต้นบ๊วยต้นนี้”
ไม่สุดหางเสียงของนาง โอรสสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วทุกทิศ แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะไม่เกรงกลัวต่อวิญญาณ พระองค์รีบลุกพรวด พอหันกลับไปมองในความมืดมิด ก้อนหินสีขาวขนาดใหญ่ใต้ต้นบ๊วยปรากฏตัวอักษรแสดงให้รู้ว่าเป็นที่พำนักสุดท้ายของฮูหยินสกุลจาง
“ลี่ถิงขออภัยคุณหนูเจ้าค่ะ ข้าเลอะเลือน ซุ่มซ่าม ไม่มองให้ดีก่อนนั่งลงไป”