05
‘เจ็บ’
หอประชุมกลางกีฬาเอนกประสงค์
“พี่มิรา หมี่มารับข้าวของทีมบูมค่ะ”มัดหมี่รองเฮดฯทีมบูมปีสามสับขาเดินเหงื่อตกเข้ามาบอกฉันที่กำลังยืนเช็คจำนวนถุงข้าวกล่องของแต่ละทีมอยู่ด้วยความเคร่งเครียด
“โน่นเลยๆ มีป้ายชื่อติดไว้อยู่”ฉันยกนิ้วชี้ไปขอบโต๊ะอีกฝั่ง เธอจึงพยักหน้ารับก่อนจะก้าวขาฉับๆเดินหิ้วถุงผลุบออกไป
“พี่มิรา น้ำเหลือเยอะไหมทีมว๊อยซ์ขอ”น้องอาร์มที่ผลุบเข้ามาจากประตูหลังถามฉันที่ซึ่งยังคงนับหนึ่งครั้งที่ห้าสิบ
“เหลือเยอะๆแบกไปได้เลย”ฉันรับคำแล้วบอกก่อนจะกลับมาสนใจถุงข้าวกล่องอีกครั้ง “อีกสิบนาทีบอกแต่ละทีมมารับถุงข้าวไปได้เลยนะ ทีมไหนพักก่อนก็บอกมารับได้เลย”น้องอาร์มหันกลับมาพยักหน้ารับแล้วผลุบหายออกไป
“พี่มิราไปนั่งก่อนไหม เดี๋ยวหนูเฝ้าให้”น้องอายเดินกลับเข้ามาบอกฉัน แต่ดูจากสภาพแล้วคนที่ควรพักน่าจะเป็นน้องอายามากกว่า
“ไม่เป็นไรๆ อายไปพักเถอะเดี๋ยวพี่เฝ้าเอง”ฉันปฏิเสธแล้วยกมือโบกหยอยๆประกอบ เมื่อเห็นว่าฉันยืนกรานน้องจึงพยักหน้ารับเดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่มุมห้อง
เนื่องจากวันนี้น้องในทีมติดกิจกรรมที่คณะตัวเองเกือบครึ่ง คนที่เหลือเลยต้องควบงานอย่างปฏิเสธไม่ได้
“มารับข้าวทีมสันฯครับ”
“มีป้ายติดอยู่ ยกไปได้เลยค่ะ”ฉันบอกก่อนจะติ๊กรายชื่อลงโน๊ตในไดอารี่ว่ามีทีมไหนรับข้าวไปแล้วบ้าง
“ขอบคุณครับ”
“พี่มิรา วันนี้เราต้องกินข้าวเย็นพร้อมน้องใหม่นะ พี่จัดทีมยังว่าจะให้ใครเฝ้าด้านหลัง”น้องอายถามเมื่อฉันเดินมานั่งแหมะลงข้างๆเธอ
“จัดแล้ว ให้พวกเราเข้าไปเลยเดี๋ยวพี่เฝ้าเอง”เพราะวันนี้เป็นวันเข้าเชียร์วันสุดท้ายของน้องใหม่ พี่สตาร์ฟทุกฝ่ายจึงต้องร่วมทานข้าวเย็นกับน้องๆก่อนจะทำพิธีเทียนซึ่งเป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยทุกปี จึงต้องมีคนเฝ้าของในห้องสวัสดิการ
“เอางั้นเหรอคะ พี่มิราเป็นเฮดอ่ะให้หนูเฝ้าดีกว่า”น้องอายว่าก่อนจะเบ้หน้าเมื่อเห็นฉันถอนหายใจยาวออกมา
“ไม่เอาอ่ะ พี่อยากพักพวกเรานั่นแหละเข้าไปเลย เสร็จแล้วค่อยออกมารับเทียนไปแจกให้น้องใหม่”ฉันบอกเสียงเบา
“เหนื่อยแย่เลยพี่เฮดของหนู”น้องพูดแล้วมองฉันด้วยสายตาที่เห็นใจ
“พวกเราก็เหนื่อยเหมือนกันนั่นแหละ ฝึกไว้แล้วกันปีหน้าก็คิวเราเป็นเฮดแล้ว”ฉันบอกแล้วระบายยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
ก็น้องอายเป็นน้องในทีมที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฉันมานานที่สุด รู้หมดว่ามีหน้าที่อะไรที่ต้องทำบ้าง แถมยังช่วยฉันรันงานและคอยเตือนเวลาที่หลงลืมในอะไรหลายๆอย่างด้วยฉันเลยเอ็นดูน้องมากเป็นพิเศษรวมถึงอาร์มอีกคน
“ให้ไอ้อาร์มเป็นเถอะ รายนั้นคงไฝว้กับทีมอื่นได้ดีกว่า หนูกลัวตัวเองไปนั่งให้เขาด่าเฉยๆ”น้องปฏิเสธก่อนจะลอบมองอาร์มซึ่งกำลังเดินเหงื่อซกเข้ามาจากประตูหลังพอดี
“ถ้าด่าฉันได้ แกก็ด่ากับพวกนั้นได้เหมือนกัน ไม่ต้องมาโยน”เสียงทุ้มบอกอย่างรู้ทันก่อนจะผลุบกลับออกไปอีกครั้ง พอฉันเหล่มองหน้าอายก็เห็นว่าน้องกำลังทำหน้าเบ้อยู่ที่ต่อปากไม่ทันอาร์ม
แต่ไม่นานแววตาของน้องก็เปลี่ยนเป็นประกายวาวระยิบระยับ
เดี๋ยวนะ…
ไอ้สายตาแบบนี้มันอะไรกันละเนี่ย? อย่าบอกนะว่า…
“ใครเป็นเฮดก็คงไม่สำคัญหรอกมั้ง เพราะยังไงเราสองคนก็คงมาช่วยกันอยู่ดี”ฉันพูดเสียงเย้าก่อนจะกระตุกยิ้ม
“คงงั้นมั้งคะ”ชัดเลย! น้องอายอยู่ในวงการเฟรนด์โซนเหมือนฉันชัวร์ๆ
”รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยล่ะ อีกสิบนาทีต้องเข้าไปในหอประชุมแล้ว”ฉันเตือนน้องอายเมื่อมองชุดนักศึกษาแล้วพบว่าน้องยังไม่ได้ใส่เข็มขัดตรามหาวิทยาลัย
“ค่ะ”
“มิรา บอสเรียกประชุมเฮดด่วน!”พินวิ่งหน้าตั้งเข้ามาบอกเสียงเหนื่อยหอบ พอเห็นเพื่อนทำหน้าตาตื่นตกใจจึงหันไปบอกน้องอายให้เฝ้าห้องรอ
“พี่ฝากดูห้องหน่อย แล้วถ้าฝ่ายไหนมารับข้าวจดโน้ตไว้ให้พี่ด้วยนะ”เมื่อน้องพยักหน้ารับแล้วฉันจึงรีบวิ่งออกมาด้านหน้าและพบว่ามีเฮดสตาร์ฟของทุกทีมยืนล้อมวงกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ
มีเรื่องอะไรกันละเนี่ย
“แล้วจะทำยังไงในเมื่อมันรันมาแบบนี้แล้วตั้งแต่แรก”ลูกเกดยืนกอดอกบอกด้วยท่าทางเหมือนจะไม่ยอม
“มาแล้วเหรอ”เมื่อฉันเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาบอสจึงหันมาถาม
“มีไรกัน”ฉันกระซิบถามกลับ
“อธิการบดีสั่งให้เลิกเชียร์ก่อนห้าทุ่ม”
“ห้ะ?!”ฉันเผลออุทานออกมาอย่างลืมตัว พอเห็นว่าเพื่อนหันมามองเป็นตาเดียวเลยยกยิ้มเจื่อนๆส่งให้
อะไรกัน สั่งก่อนจบเชียร์แค่ไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยนะ
“จะเอายังไง จะให้รันใหม่หรือตัดบางส่วนออก”ดีนถามเพื่อเร่งสรุปหาทางแก้ไข
“หั่นออกทีมละห้านาทีได้ไหม…”
“ลีดฯหั่นไม่ได้นะ น้องเราอุตส่าห์ซ้อมมาเพื่อที่จะโชว์วันนี้”ปริมพูดไม่ทันจบลูกเกดก็แทรกขึ้นเสียก่อนจนเพื่อนหน้าเสีย
“ใช่ ไหนจะแต่งหน้าแต่งตัวอีก น้องเราเตรียมตัวมาตั้งหลายวันจะให้ลดเวลาแบบนี้ไม่ได้”เบลสัมทับ
“ทีมสันไหม ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรหรอก หั่นเวลาลงเหลือนิดหน่อยก็ได้ แค่เต้นบ้าๆบอๆเอง”พราวพูดออกมาอย่างไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของเฮดทีมสันเลยสักนิด
“หรือสันไม่ต้องเข้า”ดีนพูดอย่างเห็นด้วย
“ไม่ได้ ถ้าสันไม่เข้าน้องจะตึงจนจบ”เหนือซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามฉันส่ายหน้าแล้วบอก
“เอางี้พิธีเทียนตอนท้ายตัดทิ้งไปเลย แล้วก็ลดเวลาสวัสดิการณ์ลง”เบลยืนเม้มปากหน้าเครียดอยู่นานเอ่ยออกมา
“เราเห็นด้วยนะ ยังไงก็ไม่ได้สอนไม่ได้ซ้อมมาอยู่แล้ว ตัดออกไปเลยแล้วก็ลดเวลาพักน้องลงให้เหลือครึ่งชั่วโมง”ฉันมองหน้าพราวกับลูกเกดอย่างไม่เข้าใจ
“เอางั้นเหรอ”ถ้าเห็นด้วยกับยัยพวกนี้ฉันจะด่าให้หน้าหงายเลยนะดีน!
คิดได้ยังไงว่าให้ลดเวลาพักน้องลง
“มิราว่าไง”บอสหันมาถามฉันที่ยังคงยืนเงียบจ้องยัยสองคนนั้นอยู่
ไม่แน่ใจว่าที่สองคนนั้นเล็งเวลาฝ่ายฉันเป็นเพราะไม่ชอบหน้าหรือไม่มีสมองจริงๆกันแน่
“ไม่ต้องถามหรอก เสียเวลา เอาตามนี้เลย”ยัยลูกเกดแทรกอย่างเสียมารยาทจนฉันผละหน้าไปมอง
ไม่แปลกใจที่คบกันได้ สมองกลวงทั้งหมด
“จริง สวัสดิการไม่ได้เหนื่อยซ้อม เหนื่อยสอนน้องเหมือนทีมอื่น ตัดเวลาส่วนนี้ออกเลย”ฉันเผลอกรอกตาให้กับประโยคที่เหมือนจะไม่ได้คิดก่อนของยัยเบล
“จริงที่ทีมเราไม่ได้ซ้อมไม่ได้สอนน้องเหมือนทีมอื่นแต่พวกเธอลืมไปแล้วเหรอว่าตลอดเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมาพวกเธอสอนน้องกันไปตั้งเท่าไหร่แล้ว”เพราะอดทนไม่ไหวจึงอ้าปากพูดแล้วจ้องหน้ายัยพวกนั้นทีละคน
“…”
“เจ็ดวันที่ผ่านมาพวกเธอว้ากน้อง บูมน้องกันไปตั้งเท่าไหร่”
“…”
“ลืมแล้วเหรอว่าวัตถุประสงค์ของการเข้าเชียร์คือการสร้างความสามัคคีความกล้าและความผูกพันธ์ระหว่างพี่กับน้อง”
“…”
“คิดได้ไงให้ตัดเวลาพักน้องออก”
“…”
“คิดได้ไงว่าให้ตัดพิธีเทียนซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญที่สุดออกเพียงเพราะกลัวว่าทีมที่มีการซ้อมมาจะได้โชว์น้อย”
“พูดแบบนี้เธอด่าเราเหรอ”ฉันตวัดสายตาหันมามองเบลที่ยืนกอดอกอยู่
“ถ้าคิดว่าเราด่าก็แล้วแต่ เธออยากจะรับก็รับไป”ฉันบอกอย่างเหลืออด
“หึ ตัวเองก็กลัวว่าทีมจะไม่ได้เครดิตเหมือนกันนั่นแหละ ในเมื่อพิธีเทียนเป็นพิธีที่พี่สตาร์ฟจะต้องออกมายืนรวมกับน้อง อยากเสนอหน้าก็พูดออกมาตรงๆ”ฉันแทบถลาเข้าไปหายัยเบลทันทีที่ปากแต่งแต้มสีแดงจัดพูดจบเเต่บอสจับไหล่เอาไว้เสียก่อน
ไร้สาระ
“ทีมพยาบาลคะ วันนี้น้องเป็นลมไปกี่คน”ฉันถอนหายใจเพื่อระงับอารมณ์ครู่หนึ่งจึงค่อยผินหน้าไปถามน้ำฝนทีมพยาบาลซึ่งยืนเงียบอยู่แทน
“สิบค่ะ”
“…”
“น้องเข้าห้องเชียร์ตั้งแต่สี่โมงเย็น สองทุ่มถึงได้ทานข้าวเย็นน้องเป็นลมไปกี่คนได้นับบ้างหรือเปล่า หรือสนใจแค่ว่าตัวเองได้สอนได้ว้ากเพราะมีเวลาพักกัน”ฉันดึงสายตากลับมามองหน้าเหนือที่กำลังยืนมองฉันอย่างไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา
“…”
“อย่าบอกนะว่าผลลัพธ์ที่พวกพี่สตาร์ฟต้องการคือการได้สอนได้โชว์ได้บูมได้ว้ากน้องแค่นั้น…?”
“…”เมื่อเห็นว่าเสียงของฉันเริ่มสั่นบอสจึงเลื่อนมือมากุมมือฉันไว้หลวมๆราวกับให้กำลังใจ
“เบลคงไม่ได้หมายความแบบนั้น”ฉันมองหน้าของไอ้เหนือทันทีที่มันขัดขึ้นเสียงเรียบ
“…”
“ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกครับ”ใบหน้าคมละสายตาจากฉันมองไปทางอื่นแทน
“ใช่ค่ะ เราไม่ได้หมายความแบบนั้น เราไม่คิดว่าสิ่งที่พวกเราพยายามมามันจะเป็นปัญหามากกว่าเป็นประโยชน์”ยัยเบลรีบเสริมเสียงอ่อนซึ่งแตกต่างจากที่พูดกับฉันลิบลับ
“เพื่อนแค่อยากให้ทุกทีมได้ทำในสิ่งที่พยายามซ้อมกันมาตลอด คงไม่มีใครอยากได้ผลลัพธ์เหมือนที่เฮดสวัสดิการกล่าวออกมาหรอกครับ”ฉันผงะแล้วจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ที่ไอ้เหนือพูดออกมาแบบนั้นคงเป็นเพราะว่าฉันตำหนิเบลแรงเกินไปใช่ไหม
“ถ้ามิราจะเข้าใจแบบนั้นเพียงเพราะทีมตัวเองต้องโดนลดเวลา เราต้องขอโทษมิราด้วยนะคะ”ฉันไม่ได้หันไปสนใจเบลที่เป็นคนพูดแต่กลับจับจ้องใบหน้าเจ้าของร่างสูงอย่างไม่เข้าใจ
“ค่ะ”ฉันเม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วรับคำก่อนจะเบนหน้าหนีจากสายตาของไอ้เหนือซึ่งมองตอบกลับมา
เป็นฉันอีกแล้วเหรอที่มันไม่เข้าข้าง เป็นฉันอีกแล้วเหรอที่มันไม่เคยเข้าใจ เป็นฉันอีกแล้วเหรอ…
ซ่าาาาา ซ่าาาา
หลังจากที่ประชุมด่วนและหาข้อสรุปกันได้แล้วฉันจึงหนีเข้ามาหลบอยู่ในห้องน้ำเพราะรู้สึกอึดอัดแปลกๆ
ความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นมันมีความรู้สึกหลายๆอย่างผสมกันอยู่ เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เหมือนจะเจ็บแต่ก็ยังไม่ขนาดนั้นเพราะชินกับสิ่งที่เจอ
ซ่าาาา ซ่าาาา
“เห้อออ ช่างมันเถอะมิรา”ฉันพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกจากฝาชักโครกเพื่อกลับไปเฝ้าของในห้องสวัสดิการหลังจากรับอารมณ์อยู่หลายนาที หนีหายไปนานแบบนี้น้องคงเป็นห่วงแย่แล้ว
แกร๊ก~
“แกเห็นหน้ามันไหม ตอนที่เหนือเข้าข้างแกอ่ะนะฉันแทบหลุดขำหน้ายัยมิราแน่ะ”
กึก
มือฉันชะงักค้างอยู่ตรงลูกบิดประตูเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูของใครสักคนดังอยู่ด้านนอก
“อือ ตลกจริง ทำเป็นพูดดีสุดทา้ยก็โดนคนที่ชอบตอกหน้าชา”
นี่มันเสียงยัยเบลนิ
“ฮ่าๆๆๆโคตรจะขำอ่ะ คงคิดละมั้งว่าเหนือจะเข้าข้างตัวเอง”หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธที่โดนนินทาหรือโกรธเพราะอะไรกันแน่
“คงงั้น”
“แต่เหนือนี่ก็ใจร้ายเหมือนกันนะ รู้ทั้งรู้ว่ายัยนั่นชอบแต่ยังทำดีด้วยแถมยังไปรับไปส่งทุกวัน นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาควงแกคงคิดว่าเหนือชอบยัยมิราไปแล้วแน่”
“ถ้าชอบยัยนั่นจริงจะมาควงฉันทำไม แค่สมเพชมั้งเลยยอมทำดีด้วย”หัวใจของฉันกระตุกวูบเมื่อเบลพูดประโยคนั้นออกมา
สมเพชงั้นเหรอ?
“เหนือเคยพูดกับแกบ้างป้ะเรื่องยัยมิรา แบบรำคาญไรงี้”
“หึ ก็มีบ้าง ใครจะไม่รำคาญอ่ะแกคนที่ชอบทำตัวเกะกะวุ่นวายตั้งหลายปีนะ”น้ำตาของฉันเอ่อล้นขึ้นก่อนจะล่วงผล็อยลงข้างแก้มอย่างห้ามไม่ได้เมื่อได้ยินประโยคที่ไม่เคยรู้มาก่อน
“…”
ไอ้เหนือบอกยัยเบลว่ารำคาญฉันเหรอ?
“นั่นสินะ เป็นฉันก็คงรำคาญเหมือนกัน”
“ก็ต้องรำคาญอยู่แล้วป้ะ เหมือนที่แกรำคาญคนที่ตามจีบแกไง”
“ถ้าแกยกตัวอย่างแบบนี้ฉันก็เก้ทแล้ว อี๋”
“และที่ยอมไปกินข้าวด้วยทุกวันเพราะสงสารยัยนั่นโทรตามตื๊อไม่หยุด”
“งี้นี่เองหรอกเหรอ น่ารำคาญอ่ะ”
“อือ”
“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากรู้ไปมากกว่านี้แล้วอ่ะ สงสารเหนือ”
“…”
“แล้วเป็นไง เหนือแซ่บเหมือนที่คนอื่นๆลือมาเปล่า”หูฉันอื้อไปชั่วขณะเรี่ยวแรงที่มีเหมือนจะหายไปเลยทรุดตัวนั่งลงบนฝาชักโครกตามเดิม
ไม่นานหลังจากนั้นประโยคบทสนทนาก็เงียบหายไปฉันจึงคิดเอาเองว่าสองคนนั้นคงออกไปแล้ว
“…”
แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าสิ่งที่สองคนนั้นพูดอาจจะไม่ใช่ความจริงแต่หัวใจกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา…
ฮึก
…มันเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออกเลยล่ะ