04
‘แล้วอย่าดื้อให้มาก’
Rrrrrrrrrr~
Rrrrrrrrrrrrrrr~
‘ว่าที่แฟน’
ฉันคว้าโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังไม่หยุดขึ้นมาดูรายชื่อคนโทรเข้าในขณะที่มืออีกข้างก็หยิบไดร์ฟเป่าผมออกมาจากลิ้นชักหลังจากที่อาบน้ำสระผมทำธุระส่วนตัวเสร็จ
เมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นเหนือก็ดันดีใจขึ้นมา ทั้งๆที่เมื่อคืนนอนซึมเป็นหมาโดนยาเบื่อจนเกือบถึงตีสามเลย
Rrrrrrrrrr~
‘ว่าที่แฟน’ สายที่ไม่ได้รับ 21
พอหน้าจอดับลงแล้วสว่างวาบขึ้นอีกครั้งฉันก็แทบตาเหลือกเมื่อเห็นจำนวนมิสคอลที่ไม่ได้รับเกือบยี่สิบสายจากไอ้เหนือ
ชิบหายล่ะ! มันคงไม่ดักบีบคอฉันหน้าโรงอาหารหรอกใช่ไหม?!
แต่…
มันคงไม่โวยวายฉันเหมือนทุกครั้งหรอกมั้งงงง จะว่ายังไงดี ก็มันไม่มีสิทธิจะมาโวยนิในเมื่อฉันยังโกรธมันเรื่องเมื่อคืนอยู่ถ้ามานะแม่จะโกรธไปถึงชาติหน้าเลยคอยดู
แต่เอะ?…
ฉันจะโกรธมันไปถึงชาติหน้าแล้วยังไงในเมื่อมันเองก็ไม่ได้แคร์ฉันขนาดนั้นสักหน่อย
“เห้อะ!”ฉันนึกขำในใจก่อนจะทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียงโดยที่ไม่ได้สนใจจะโทรกลับแล้วหันมาจัดการตัวเองต่อให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมไปมอจนเสร็จ
ดีนะที่วันนี้ฉันมีเรียนแค่คลาสบ่ายไม่งั้นคงตาลอยไปเรียนแน่
“วร้อยยย!!”ฉันระบายอารมณ์ออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน มีอย่างที่ไหนถึงเข้าข้างคนอื่นมากกว่าเพื่อนตัวเองถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเพื่อนที่ไม่เคยคิดซื่อกับมันก็เถอะ แต่แล้วยังไง! มันลืมแล้วเหรอว่าใครที่คอยดูแลมันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ไอ้วัวลืมตีน ไอ้คางคกขึ้นวอ!
ปึง!
ฉันปิดประตูห้องกระแทกระบายอารมณ์ก่อนจะกระทืบเท้าตึงๆเดินลงมาจากหอ เพราะรู้สึกหงุดหงิดในใจยังไม่หาย
คอยดูเถอะ!ฉันจะไม่ยอมคุยกับมันเลยคอยดู! คอยดู๊วววว!
“โทรหาทำไมไม่รับ”
กึก!
“…”ฉันแทบหุบหัวกลับเข้ากระดองเมื่อก้าวขาลงมาจากบันไดขั้นสุดท้ายแล้วพบร่างสูงที่ยืนพิงประตูรถหรูรออยู่ด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนอยากจะขย้ำคอฉันให้แดดิ้นตายลงตรงนี้
มาได้ไงวะ?!
“ไม่ได้ยิน”ฉันปรับอารมณ์ครู่หนึ่งจึงค่อยตอบก่อนจะยกมือกระชับถุงผ้าที่สะพายอยู่ให้แน่นขึ้น
“หูแกคงหนวกมั้ง”ดูแต่ละประโยคที่มันพูดสิ
“อือ ตาก็คงบอดด้วยแหละ”ฉันประชดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ พอเห็นว่าอีกคนจ้องหน้าอยู่ฉันเลยจงใจหมุนตัวจะก้าวขาเดินหนี
แค่เมื่อคืนก็เจ็บชิบหายอยู่แล้ว นี่อะไรยังมีหน้ามาพูดจาไม่น่าฟังใส่อยู่อีก
หมับ!
“ขึ้นรถ”มือหนาคว้าข้อแขนฉันไว้ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ฉันโคตรจะเกลียด ไอ้น้ำเสียงดุๆแบบนี้ก็มีไว้ใช้แค่กับฉันนั่นแหละ
“ไม่ จะไปเอง”
“ขึ้นรถ”เหนือย้ำเสียงขรึมจนฉันต้องแหงนหน้ามอง พอเห็นแววตาดุดันของมันจึงเม้มปากเป็นเส้นตรงและพยายามข่มอารมณ์ตัวเองที่เหมือนจะปะทุออกมาเอาไว้ หากฉันยังคงดื้อดึงไม่ทำตามที่มันบอก คงโดนโวยใหญ่โตแน่ๆ
“…”
“ขึ้นรถ อย่าให้ต้องย้ำ”เจ้าของใบหน้าทมึงตึงสำทับเสียงเขียวจนฉันต้องยอมหมุนตัวก้าวขาเดินมาเปิดระตูขึ้นรถฝั่งคนนั่งอย่างยอมจำนน
ปึง
เมื่อเห็นว่าฉันยอมทำตามที่ตัวเองสั่งแล้วจึงเข้ามานั่งในรถก่อนจะกดสตาร์ทแล้วขับออกมาทันที
“ตอนเย็นจะมาส่ง ไม่ต้องกลับกับไอ้บอส”หลังจากรถเคลื่อนมาหยุดอยู่ไฟแดงหน้ามอ ร่างสูงที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างๆจึงบอกขึ้นมา
“ว่างมาส่งด้วยเหรอ”ฉันพูดเสียงเบาแล้วแกล้งเบนหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่าง
“เฮ้อ”เสียงคนข้างกายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดประโยคที่ทำเอาฉันอยากจะง้างมือหยิกปากอันนุ้บนิ้บของมันให้แดงเถือกกว่าเดิม
“โกรธอะไรขนาดนั้น”ยังมีหน้ามาถามอีก!
“ไม่ได้โกรธ”ฉันเม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วจึงบอก
“ไม่ได้โกรธแล้วทำไมต้องทำเมินด้วยวะ เมื่อคืนก็ที”ร่างสูงถามเสียงอ่อนลงจากก่อนหน้านี้มากจนฉันเผลอหันกลับมามอง
น้อยครั้งที่จะเห็นมันยอมอ่อนข้อตอนที่ฉันดื้อ
“ไม่ได้เมิน แค่ไม่อยากโดนบรรดาผู้หญิงของแกตามราวีไม่รู้จักจบจักสิ้นอีก”ทันทีที่ฉันพูดจบไอ้เหนือก็ตวัดสายตามามองหน้าฉันด้วยใบหน้าที่เหมือนจะไม่เข้าใจก่อนที่มันจะตีไฟหักรถเลี้ยวจอดหน้าตึกบริหารฯ
“แกหมายความว่าไง”ทันทีที่รถจอดนิ่งมันก็หันมาเค้นเอาคำตอบจากฉัน พอเห็นท่าทางเริ่มจะหัวเสียของมันฉันจึงเงียบปากลง
จะให้บอกหรือไงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันโดนผู้หญิงของมันตามราวีอยู่ตลอด ไม่ทางการกระทำก็ทางคำพูด และไม่ว่าจะไปที่ไหนฉันก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสุขสงบ
“ช่างมันเถอะ”พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีในเมื่อสุดท้ายมันก็เข้าข้างผู้หญิงของมันและเป็นความผิดฉันเองที่ยังทนอยู่ตรงนี้
จะไปโทษมันได้ยังไงล่ะ
“พูด”มือหน้ายกขึ้นมาบีบต้นแขนของฉันจนฉันรู้สึกเจ็บ
“ก็บอกว่าช่างมันไง”
“ลงไป”ฉันผงะเมื่อร่างสูงบอกสั้นๆ ขณะที่กำลังจะถามเหตุผลอยู่ๆบริเวณขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อหันไปมองใบหน้าคม ฉันจึงเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะปลดเบลท์แล้วเปิดประตูลงมาจากรถตามความต้องการของไอ้เหนือ
ปึง
บรื๊นนนนนน~
เสียงรถคันหรูเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตาฉันจึงยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อเรียกสติที่ยังคงล่องลอยให้กลับเข้ามาในหัว
แม้อยากจะปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมาแต่ฉันก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้มันจุกจนแทบพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ร้องไห้ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
สิบสามนาฬิกาสามสิบนาที
“ทำหน้าเหมือนคนจะตายแบบนี้มันคืออะไร”ยัยนัดตี้ถามเมื่อฉันเอาแต่นอนคางเกยหนังสือรออยู่ในห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลทำฟ้องวิชาว่าความ
“ฉันตายแล้ว หัวใจของฉันมันแหลกสลายหายไปตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว”ฉันบอกก่อนจะฟุบหน้าลงกับหนังสืออีกครั้ง ช่วงนี้ชีวิตและจิตใจของฉันมันห่อเหี่ยวซะเหลือเกิน
“งั้นแกคงตายซ้ำตายซ้อนตายแล้วตายอีกตายแบบที่ยมบาลบอกว่าไม่ต้องลงมาแล้วนะ เพราะบทลงโทษที่แกได้รับมันสาหัสกว่าบททดสอบในนรกเสียอีก”ฉันยกหน้าขึ้นมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิทอย่างเถียงไม่ได้ที่มันพูดความจริงอันแสนเจ็บปวดออกมา
ยัยนี่! แต่ละประโยคมันช่างทำให้หัวใจของฉันเจ็บจี๊ดๆๆๆซะเหลือเกิน!
“แล้วเรื่องค่ายสัณจรแกเอาไง จะไปไหม”พอเห็นฉันทำหน้าเหมือนจะตายจริงๆยัยนัดตี้จึงถามเปลี่ยนเรื่อง
“ไปมั้ง จากที่ฟังบอสเล่ามันไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่”ฉันว่าแล้วกลับมานั่งตัวตรงพลางจรดนิ้วลงบนแป้นโน้ตบุ๊คเพื่อพิมพ์งานต่อ
“บอสนี่ก็แปลกนะ คนมีตั้งเยอะแยะแต่เลือกที่จะมาชวนแก ตั้งแต่ปีสามแล้วที่อยู่ๆก็สนใจให้ไปทำงานช่วยสโมคณะ”ยัยนัดตี้พูดอย่างนึกสงสัย แต่ฉันกลับไม่ได้คิดแบบนั้น
“มันอาจจะขี้เกียจหาคนใหม่ก็ได้มั้ง ฉันเจอหน้าบ่อยสุดเลยชวนงี้”ฉันบอกตามที่คิด
“เหรอ แต่ฉันไม่คิดงั้นนะ”ฉันชะงักแล้วเงยหน้ามองยัยนัดตี้ที่หยิบโน้ตบุ๊คออกมาเปิด พอเห็นว่ามันเงียบปากจึงไม่คะยั้นคะยอต่อ
อะไรของมัน พูดให้ชวนสงสัยแล้วก็ปล่อยทิ้งร้างไว้เฉยๆก็ได้เหรอ
Rrrrrrr~
เวร!
Rrrrrrr~
พรึ่บ!
ฉันกลืนน้ำลายลงคอแล้วลนลานหาโทรศัพท์ซึ่งกำลังส่งเสียงอยู่ในถุงผ้าออกมาก่อนจะกดปิดเสียงอย่างไวเมื่อรู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมายังฉัน ไม่ต้องเงยหน้ามองก็พอรู้ว่าพวกเขากำลังตำหนิที่ฉันไม่ปิดเสียงโทรศัพท์ผ่านสายตา!
ให้ตายเถอะๆ
‘ว่าที่แฟน’
“ฮัลโหล”ฉันกดรับสายเมื่อผลุบออกมาจากห้องสมุด
“(อยู่ไหน)”ปลายสายถามเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆฉันจึงคิดเอาเองว่ามันคงหายโกรธเรื่องที่ฉันพูดจาใส่ร้ายบรรดาผู้หญิงของมันแล้ว
“คณะ กำลังพิมพ์งานแกมีไร”ฉันที่พยายามทำเสียงให้ปกติมากที่สุดตอบ
“(ซื้อกาแฟมาให้ รออยู่บันไดทางขึ้นตึก)”พอได้รับคำตอบฉันจึงก้าวขาเดินออกมาดูด้านหน้าและพบว่ามันยืนพิงเสาถือแก้วกาแฟรออยู่จริงๆ
“นึกครึมอะไรซื้อกาแฟมาให้”อยากจะไถ่โทษที่ใจร้อนไล่ฉันลงจากรถเหรอ
“ง้อไง”หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเงยหน้าแล้วสบเข้ากับนัยน์ตาที่เป็นประกายของคนตัวสูง “แล้วอย่าดื้อให้มาก”มันพูดต่อก่อนจะวางมือลงบนหัวฉันคล้ายกำลังบอกหมา
ไอ้นี่!
“พอ ฉันไม่ใช่หมานะ”ฉันรับกาแฟจากมันมาถือไว้ก่อนจะยกมืออีกข้างปัดมือหนาออกจากหัวเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่หมาหรอก แต่เป็นหมู”ดูพูดจา!
“ไม่มีธุระอะไรแล้วก็ไปดิ มายืนเก๊กหล่ออยู่ได้” พอเห็นสายตาของคนในคณะที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมาสนใจ จึงออกปากไล่
“พอได้ของกินแล้วก็ไล่ แกนี่มันเห็นแก่กินจริงๆ”มันบ่นอุบก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเพื่อกลับคณะวิศวะซึ่งอยู่เยื้องกันไม่ไกลมาก
ก็คงจะเห็นแก่กินจริงๆแหละ แค่มันซื้อกาแฟมาให้แก้วเดียวความน้อยใจที่มีก็พลันมลายหายหมดไป
หมาแบบไม่มีหมูผสมเลย