06
‘เป็นเพื่อนกันมันก็ดีอยู่แล้ว’
ติ๊ง!
‘ออกมาหน้าห้องสวัสดิการ’:ว่าที่แฟน
ฉันอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจเพื่อระบายอารมณ์ครุกรุ่นที่เพิ่งจะจางลงเมื่อกี้ให้หายไปแล้วคว้าโทรศัพท์เดินออกมาหน้าห้องสวัสดิการ
ทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนเจ้าของข้อความเป็นบุคคลที่ฉันยังไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดในเวลานี้ แต่หัวใจกลับสั่งให้ฉันเดินออกมาตามเสียงเรียกร้องซะงั้น
“มีไร”เมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงผู้ยืนถือข้าวกล่องรออยู่ก่อนจึงเอ่ยปากถาม
“กินข้าว”มันว่าก่อนจะนั่งลงบนฟุตบาทริมทางเดิน
“ไม่หิว แกกินเลย”ฉันบอกแต่พอจะหมุนตัวเดินหนีมือหนาก็คว้าข้อแขนฉันเอาไว้เสียก่อน
“ไม่หิวก็ต้องกิน เป็นลมไปไม่มีใครแบกแกนะตัวอ้วนขนาดนี้”ใช่สิ ใครมันจะไปหุ่นสูงยาวเข่าดีนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ทเหมือนบรรดาผู้หญิงของแกกันล่ะ!
“ไม่ให้แกแบกแล้วกัน”ฉันเผลอกรอกตาแล้วบอกอย่างเคืองๆเมื่อหมุนตัวกลับมาตามแรงโน้มถ่วง
“นั่งลงเร็วๆ”มือหนายังคงกระตุกแขนให้ฉันนั่งลงเหมือนเด็กเอาแต่ใจ“อ้วน”พอเห็นว่าฉันยังยืนนิ่งมันจึงเรียกฉายาที่เคยเรียกฉันเมื่อก่อนขึ้นมา
ไอ้นี่นิ อยากโดนฉันตะกุยหน้าหรือไง
“เรียกแบบนี้อยากกินอย่างอื่นแทนข้าวเหรอ”ฉันแหวก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างมันอย่างจำใจ
“หึ”
“…”กวนตีน
“กิน อ้าปาก”ไอ้เหนือยกช้อนที่ตักข้าวกะเพราในกล่องขึ้นมาจ่อตรงปากฉันอย่างบังคับ แต่พอเห็นปริมาณข้าวที่น้อยนิดแล้วก็พลันนึกเห็นใจขึ้นมา ตัวมันใหญ่อย่างกะควายแค่นี้จะไปอิ่มได้ไงกันเล่ายิ่งมาแบ่งฉันกินอีก
“แกกินเถอะ ฉันกินขนมไปแล้ว”ฉันปฏิเสธพลางส่ายหน้าพรืด
โครก~
แต่เป็นเพราะได้กลิ่นอาหารน้ำย่อยจึงเริ่มทำงานจึงเกิดเสียงโครกครากขึ้นมาอย่างน่าอนาถใจ
หมดกันภาพลักษณ์กุลสตรีของฉัน…
“ฮ่าๆๆๆแกนี่มันผู้หญิงยังไงเนี่ย ท้องร้องน่าเกลียดตายชัก”พอเห็นมันหัวเราะร่าฉันจึงแยกเขี้ยวใส่ไปที “เอ้าเร็วๆ ปวดแขนนะเว้ย แกกินฉันจะได้รีบๆกินบ้าง”มันเร้าหรือ เมื่อเห็นเพื่อนส่งสายตามองข้าวแล้วจึงยอมอ้าปากงับช้อนเคี้ยวข้าวตุ้ยๆแต่โดยดี
“รู้งี้ไม่เสียสละข้าวให้คนอื่นหรอก”ฉันบ่นอุบแล้วก้มหน้างุด เป็นเพราะแกเลยไอ้เหนือฉันถึงเฟลไม่อยากอาหารขึ้นมาดื้อๆถึงยอมยกข้าวกล่องของตัวเองให้น้องในทีมไป
นึกแล้วก็สงสารตัวเอง แค่มันมาแบ่งข้าวก็ลืมไปหมดแล้วมั้งว่าก่อนหน้านี้ไปได้ยินอะไรมาบ้าง
แกเนี่ยนะมิรา หัวใจโคตรจะอ่อนด๋อยเลยจริงๆ
“มิรา”ฉันกับเหนือหันไปมองตามเสียงเรียกจากด้านหลังและพบว่าเป็นบอสที่ยืนถือข้าวกล่องอยู่ จึงหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูงเพราะคิดว่าเพื่อนจะเรียกไปใช้งาน
“บอสมีไรเปล่า ข้าวไม่พอเหรอหรือน้ำหมด”ฉันถามเจ้าของใบหน้าตี๋ซึ่งมองฉันสลับกับเหนือไปมาแล้วนิ่งไปครู่
“เปล่าๆ เห็นพินบอกว่ามิราเฝ้าของอยู่คนเดียวเลยมาทานข้าวเป็นเพื่อน”
“อ่อ งั้นมานั่งทานด้วยกันสิ”ฉันรับคำก่อนจะนั่งลงที่เดิมเมื่อบอสเดินอ้อมมานั่งลงฟุตบาทอีกฝั่งตามคำชวนของฉันแล้ว
“อ่ะ อ้าปาก”ไอ้เหนือจ่อข้าวที่ตักพูนช้อนยื่นมาอีกครั้ง พอเหล่มองบอสแล้วพบว่าเพื่อนชะงักค้างไปเล็กน้อยเลยเกิดอาการเลิ่กลั่กขึ้นมา
“…”
“เร็วๆ”ร่างสูงเร่งเมื่อเห็นว่าฉันไม่อ้าปากสักที “ปวดแขนแล้วเนี่ยอ้วน”เมื่อฉันอ้าปากงับแล้วเคี้ยวมันึงหันไปตักข้าวเข้าปากตัวเองเคี้ยวบ้าง
“มิราไม่มีข้าวเหรอ เอาของเราไปทานไหม”บอสถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันกับเหนือกินข้าวกล่องเดียวกันอยู่
สภาพฉันมันน่าเวทนามากเลยหรอ ทำไมบอสถึงได้ทำหน้าสงสารฉันขนาดนั้นกัน
“ไม่เป็นไรๆ บอสทานเลยเดี๋ยวไม่อิ่ม”ฉันยกมือปฏิเสธเป็นพัลวันเพราะเกรงใจ
“เอางั้นหรอ”
“อือๆ ทานเลย”
“ไม่ยักรู้ว่ามิรากับเหนือสนิทกันถึงขั้นทานช้อนเดียวกันได้เลย”บอสพูดเสียงเรียบพลางเปิดกล่องข้าวตักข้าวเข้าปากเคี้ยวไปด้วย
“แหะ เคยไปเข้าค่ายด้วยกันแล้วอุปกรณ์ไม่พอต้องสลับกันใช้อ่ะ มันเลยชิน”ฉันหัวเราะแหยๆแล้วจึงบอก
“เหรอ เราก็เคยนะแต่ไม่ถึงขั้น…”คนข้างๆว่าแล้วเว้นวรรคคำพูดเพื่อจับสังเกต”…นี่ถ้าไม่รู้จักมิรากับเหนือ เราคงคิดว่าคบกันอยู่”
“แค่ก”ฉันแทบสำลักข้าวเมื่อบอสพูดประโยคที่ไม่มีทางเป็นไปได้นี้ขึ้นมา อยู่ๆใบหน้าก็เห่อร้อนแต่มันเป็นเพียงความรู้สึกวูบวาบเท่านั้น
ก็ใครมันจะไปคิดกันล่ะว่าจะมีคนมองฉันกับเหนือแบบนี้อยู่ พอได้ยินกับหูครั้งแรกเลยรู้สึกแปลกๆในใจนิดหน่อยอ่ะ
แต่พอเหล่สายตามองเหนือแล้วพบว่ามันไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาฉันจึงหันกลับมาส่งยิ้มเจื่อนให้บอส
“…”
“คงมีแค่บอสที่คิดแบบนั้น ฮ่าๆๆๆ”ฉันแกล้งพูดติดตลกทั้งที่ในใจชาจนด้านไปหมด ทั้งที่เพิ่งดีใจจนเนื้อเต้นไปไม่กี่วิแท้ๆ
ก็คงจะใช่อย่างที่ฉันว่านั่นแหละ คนอื่นคงสมเพชฉันมากกว่าที่เอาแต่วิ่งตามตูดคนที่ตัวเองชอบต้อยๆแบบนี้
“แล้วเหนือไม่คิดจะเลื่อนสถานะจากเพื่อนมาเป็นแฟนบ้างเหรอ”ฉันผงะเมื่อใบหน้าตี๋ยังคงพูดเรื่อยๆ
แม้จะไม่ไ่ด้หวังในคำตอบ แต่แค่ไม่กี่วินาทีที่รอร่างสูงพูดหัวใจของฉันกลับลุ้นระทึกจนเผลอกลั้นหายใจ
“เป็นเพื่อนกันมันก็ดีอยู่แล้ว”แต่ก็ผิดหวังอย่างทุกๆครั้ง
“…”นั่นสิ ฉันจะไปหวังทำไมกัน ฮ่าๆๆๆๆ
“จะได้ไม่…”
“จะได้ไม่ต้องเลิกกัน”ฉันแทรกขึ้นเมื่อไอ้เหนือกำลังพูดประโยคที่มันเคยพูดออกมา
“…”ก็ยังคงเป็นประโยคเดิมเหมือนที่ฉันเคยได้ยินเมื่อสองปีก่อน
แต่แปลกแฮะ ไม่ใช่ว่าฉันเพิ่งเคยได้ยินประโยคนี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อยแต่ทำไมถึงรู้สึกแสบร้อนบริเวณขอบตาขึ้นมาเฉยเลยล่ะเนี่ย
“…”บ้าจริง
“นั่นสินะ บางคนก็เหมาะที่จะเป็นเพื่อนมากกว่าเป็นอย่างอื่น เพื่อที่จะปล่อยให้เขาไปเจอคนที่ดีกว่า”
“…”จบประโยคนั้นของบอสฉันก็นั่งอ้าปากงับข้าวสลับกันไปมากับเหนือแบบนั้นจนข้าวหมดกล่อง
“รอนี่เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้”ร่างสูงบอกพลางเก็บกล่องเปล่าก่อนจะหยัดตัวลุกเต็มความสูงเดินไปกดน้ำใส่แก้วที่ตั้งอยู่ตรงหน้าห้องพักสวัสดิการถือกลับมายื่นให้ฉัน
“ไม่กดมาให้เพื่อนด้วยล่ะ”ฉันถามแล้วเงยหน้ามองเหนือเมื่อมันยื่นแก้วส่งให้ฉันส่วนอีกแก้วที่ถือมาก็ยกขึ้นดื่ม
“แกเอาแก้วนั้นให้เพื่อนแล้วกินกับฉัน”มันว่าก่อนจะทิ้งตัวลงที่เดิม
“นี่น้ำนะ”ฉันวางแก้วน้ำลงข้างมือบอสซึ่งยังคงเคี้ยวข้าวอยู่ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงเดินมากดน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มเอง
ถ้าเป็นทุกครั้งฉันก็คงกินน้ำแก้วเดียวกับมันไปแล้วล่ะเพราะขี้เกียจมากด แต่หลังจากนี้ ฉันคงต้องเบรคตัวเองบ้างแล้วมั้ง
“แกไม่ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยเหรอ จะเข้าห้องเชียร์ชุดนี้?”เหนือถามเมื่อฉันยืนทำอารมณ์อยู่เกือบนาทีแล้วเดินกลับออกมานั่งลงที่เดิม
“ใครบอกฉันจะเข้า”ฉันว่าก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีก
“พิธีเทียนตอนจบมิราไม่เข้าเหรอ”บอสแทรกขึ้นมา
“ไม่อ่ะ เราไม่ได้กะจะเข้าอยู่แล้วตั้งแต่แรกเลยไม่ได้เตรียมชุดมา”งานนี้สำคัญก็จริง แต่ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะเป็นคนอยู่เฝ้าของให้น้องๆในทีมแล้วให้น้องเข้าเเทน
“เสียดายแย่เลย”บอสพึมพำ “มิราเป็นหนึ่งในทีมหลักที่ทำงานหนักนะ จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆเหรอ?”
“ไม่หรอก เราตั้งใจจะให้น้องๆเข้าแทนอยู่แล้ว”ฉันระบายยิ้มบางๆออกมา แค่งานจบโดยที่ทำของฉันทำงานได้บกพร่องน้อยที่สุดแค่นี้ก็แฮปปี้มากแล้วล่ะ
นั่นเป็นเหตุผลรอง แต่เหตุผลหลักคือวันนี้ฉันไม่กระจิตกระใจจะไปปั้นหน้ายิ้มใส่ใครแล้วทั้งนั้นที่เจอวันนี้ก็สาหัสสากรรจ์มากพอแล้ว
“แกไปเตรียมตัวได้แล้วไป”ฉันออกปากไล่เหนือเมื่อมันยังเอาแต่นิ่งเงียบมองหน้าฉันอยู่
“ลืมบอกเลยเหนือ ก่อนเราจะมาหามิรา เบลถามหานาย”ฉันผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของเบล แค่นึกถึงประโยคที่ได้ยินก่อนหน้าก็พลันจุกอกขึ้นมา
“…”ใบหน้าขาวใสพยักขึ้นลงอย่างรับคำ ฉันจึงแกล้งเบนหน้าหนีไปมองทางอื่นเมื่อเหนือหันมามองหน้า
”ยากันยุง ทาไว้ด้วย”มันล้วงซองสีชมพูสี่เหลี่ยมออกมาจากกระเป๋าด้านหลังกางเกงแล้วยัดใส่มือให้ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปเรื่อยๆ
ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างหนาไปจนลับสายตาก็พลันถอนหายใจออกมา
แผ่นหลังที่ฉันเฝ้ามองมันมาตลอด ตอนนี้มันห่างออกไปและลับหายไปในที่สุด
“…”พอคิดได้ว่าการที่มันเเค่ได้ยินชื่อของเบลก็รีบไปหา เป็นสัณญาณบ่งบอกแล้วหรือเปล่าว่าเหนือกำลังจะตกหลุมรักและจะคบกับผู้หญิงคนนั้น
พอเข้าใจแบบนั้นแล้วหัวใจก็ชาขึ้นมาดื้อๆเลย…
…นี่ฉันกำลังจะอกหักโดยสมบูรณ์แบบหรือเปล่าเนี่ย?