เสียงด่าทอดังออกมาจากด้านในบ้านหลังเก่าก่อนที่ทุกคนจะได้ยินเสียงข้าวของแตกกระจายดังลอดออกมา
ปั้ง!
ประตูบ้านถูกผลักเปิดออกอย่างแรง หลี่เวยเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งวิ่งออกมาด้วยท่าทางตื่นกลัว
"เจ้าสารเลวอยากตายใช่หรือไม่" เสียงก่นด่าของถงซื่อตามมาติดๆ พร้อมกับเสียงวิ่งดังตึงตังมาทางหน้าประตู
บุรุษเนื้อตัวมอมแมมที่พึ่งออกมาจากบ้านหลังเก่าสีหน้าแตกตื่น รีบหมุนตัววิ่งปรี่ไปทางผู้ใหญ่บ้านจาง
"ท่านลุง ช่วยข้าด้วย"
ผู้ใหญ่บ้านจางผงะก่อนรีบเอ่ยห้ามด้วยความร้อนรน
"เอาล่ะๆ พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเลย ไม่อายเด็กๆ บ้างหรืออย่างไร"
ถงซื่อเดินออกมาจากบ้านไม้ ลมหายใจหอบถี่เห็นชัดว่านางโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด ในมือยังกำกระบองท่อนหนึ่งไว้แน่น
"เจ้าสารเลวจางเค่อ ข้าปลุกเจ้าแต่เช้าให้ลุกไปอาบน้ำล้างหน้า แต่เจ้ากลับแอบไปนอนต่อทั้งที่สภาพเป็นเช่นนั้นงั้นรึ!"
หลี่เวยลอบมองบุรุษที่มายืนหลบอยู่ทางด้านหลังของผู้ใหญ่บ้านจางด้วยสายตาแปลกพิลึก
คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าเก่าขาด เนื้อตัวมอมแมม แถมยังส่งกลิ่นที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลออกมาเป็นระยะ ตลอดเวลาที่หลี่เวยสังเกตคนผู้นี้ก็มักเกาตามตัวอยู่ตลอดเวลา
ถึงจะคิดเผื่อมาแล้วว่าลุงสามผู้นี้จะเป็นคนขี้เกียจและซกมก แต่หลี่เวยก็ไม่คาดคิดว่าอาการของอีกฝ่ายจะหนักถึงเพียงนี้
"ข้าก็แค่เผลอหลับเพียงชั่วครู่ ไม่เห็นต้องทำกับข้าถึงขนาดนี้เลย!" จางเค่อตอบกลับด้วยท่าทีแข็งกร้าว
"เจ้าสารเลว เห็นมีคนมองดูเจ้าก็ปีกกล้าขาแข็ง คิดว่าข้าไม่กล้าตีเจ้าหรือ!" ถงซื่อถลึงตาจนแทบหลุดจากเบ้า อีกฝ่ายเดินปรี่เข้ามาหมายตบตีสามีจอมคร้านคนนี้ให้ตายคามือ
"โธ่เอ้ย พวกเจ้านี่นะ ทะเลาะกันได้ตลอดเวลาจริงๆ"
ผู้ใหญ่บ้านจางถอนหายใจ เขาเดินออกมาขวางหน้าถงซื่อเอาไว้ก่อนที่นางจะลงมือสังหารจางเค่อขึ้นมาจริงๆ
ถงซื่อสูดลมหายใจพยายามสงบสติอารมณ์ นางพยักหน้าให้ผู้ใหญ่บ้านจาง
"ขออภัยเจ้าค่ะท่านลุง"
ชายชราผงกศีรษะรับด้วยความพึงพอใจ
"ยังเป็นถงซื่อที่รู้ความ"
ชายชราหันตัวกลับเผชิญหน้าจางเค่อ ชายวัยกลางคนถูกจับจ้องเช่นนี้ก็ทำตัวไม่ถูก ดวงตาคู่หนึ่งล่อกแล่กไปมาก่อนจะสบสายตากับเด็กหนุ่มบนเก้าอี้รถเข็นไม้
หลี่เวยสังเกตภาพตรงหน้าอย่างครุ่นคิด จางเค่อคนนี้ดูเหมือนไม่ใช่สามีของถงซื่อเลย แต่คล้ายกับบุตรชายของนางเสียมากกว่า
จางเค่อคิ้วกระตุกด้วยสัมผัสได้ถึงลางสังหรที่ไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
"เสี่ยวเวย"
"ขอรับท่านลุงสาม" หลี่เวยหันไปยิ้มยีฟันให้อีกฝ่าย
"เจ้าเห็นเขาก็ดีแล้ว วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพราะเขามีอะไรอยากจะพูดกับเจ้า" ผู้ใหญ่บ้าน
ไม่อยากอยู่ที่นี่นานเท่าใดนัก จึงรีบเอ่ยบอก
จางเค่อหันมองหลานชายของตนเองที่นั่งอยู่บนรถเข็นไม้ ยิ้มแหยพลางเอ่ยถาม
"เสี่ยวเวย เจ้ามีอะไรจะคุยกับลุงหรือ"
"ท่านลุง ท่านได้เจ้าสิ่งนี้มาจากไหนหรือขอรับ" หลี่เวยพูดพลางชี้นิ้วไปยังเอ้อโก่ว
จางเค่อมองตามไปก็ผงะจรลมแทบจับ เมื่อเห็นว่าในมือของบุตรชายตัวดีของเขามีหมึกและพู่กันที่เขาซ่อนเอาไว้อยู่
"พอดีว่าช่วงที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าพึ่งจะเสียไปไม่นานก็มีโจรชั่วกลุ่มหนึ่งเข้ามาขโมยของๆ ข้าไปจนเกือบหมด โดยเฉพาะหมึกและพู่กันอันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อบัณฑิตเช่นข้า ลุงสามท่านรู้หรือไม่ว่าโทษของการขโมยของผู้อื่นคืออะไร"
หลี่เวยยิ้มบาง น้ำเสียงของเขานุ่มนวลดุจปุยนุ่น สีหน้าและแววตาเองก็นิ่งสงบประหนึ่งผืนน้ำ
ความจริงเขายังไม่แน่ใจอะไร การที่เขาพูดออกไปแบบนั้นจะถือว่าเป็นการใส่ความก็ได้ วิธีการที่หลี่เวยจะใช้ก็เป็นเพียงการโยนหินถามทาง
สำหรับคนโง่เขลาเช่นจางเค่อ เขาไม่จำเป็นต้องคิดแผนการมากมายให้ปวดหัว
แต่หากว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำผิดจริง ถึงตอนนั้นหลี่เวยจะชดเชยให้อีกฝ่ายอย่างสาสม
แต่หลังจากพูดออกไปแล้ว หลี่เวยยังคงความนิ่งสงบดุจผืนน้ำเอาไว้เช่นเคย และความสงบนิ่งนี้เองที่ทำให้จางเค่อรู้สึกกดดันจนเหงื่อร้อนผุดซึมไปทั่วร่าง เวลาผ่านไปเนิ่นนานบรรยากาศโดยรอบก็ยังคงเงียบสงัด
เพราะอยู่ไกลเกินไปถงซื่อจึงไม่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แต่สุดท้ายนางก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวนางจึงเดินปรี่เข้ามา
"เอ๊ะ นั่นมันหมึกที่พ่อเจ้าไปแลกมามิใช่หรือ" ถงซื่อกล่าวด้วยความตกใจเมื่อเห็นหมึกและพู่กันในอ้อมแขนของเด็กน้อย
"โอ้ ท่านลุงสามไปแลกมาหรือ?" หลี่เวยส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ แววตาของเด็กหนุ่มฉายประกายแรงกล้า
ถงซื่อเบนสายตาไปทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นแววฉงนสนเท่ห์ในดวงตาของหลี่เวยสีหน้าของเขาพลันมืดคริ้ม
นางใช้หางตามองไปที่สามีด้านข้างพลางเอ่ยถาม
"หมึกพู่กันนี้เจ้าบอกว่าเจ้านำผลไม้ป่าไปแลกกับหลี่เวยมาใช่หรือไม่"
โป๊ะเชะ!
หลี่เวยลอบอุทานในใจด้วยความลิงโลด
จางเค่อตัวสั่นเทา ยิ่งเห็นสายตาที่ดุร้ายยิ่งกว่าเสือของนางเขาก็ทำตัวไม่ถุกไปชั่วขณะ ชายวัยกลางคนผู้ขี้ขลาดเบนสายตาไปทางหลานชายหมายร้องขอความช่วยเหลือ
แต่ประโยคถัดมาที่หลุดออกจากปากของหลี่เวยก็ทำให้ความหวังของเขาต้องแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดี
"แลกกับข้าหรือ? ไฉนข้าจึงไม่เห็นจำได้ ข้ารู้เพียงว่าหมึกและพู่กันของข้าหายไป จนถึงตอนนี้ข้าก็ตามหามันมานานมากแล้ว"
จนถึงตอนนี้หลี่เวยก็มั่นใจกว่าเจ็ดส่วนแล้วว่าสันนิษฐานของเขาเป็นความจริง หมึกพู่กันที่จางเค่อมีเดิมทีมันควรจะเป็นของเขา!
เมื่อได้ยินใบหน้าที่ไม่รับแขกเป็นทุนเดิมของถงซื่อก็ยิ่งมือดำมืด ถึงขนาดที่หลี่เวยยังเห็นเส้นเลือดเต้นตุบตับบนหัวคิ้วของเขาอีกด้วย
"อื้ม ข้าเดาได้แล้วล่ะว่าเขาไปเอามาจากไหน หลี่เวยลำบากเจ้าแล้ว รอสักประเดี๋ยวป้าจะไปเอาที่เหลือออกมาให้" กระทั่งน้ำเสียงที่เคยโผงผางของนางก็กดต่ำลง ดูเหมือนจะพยายามระงับอารมณ์โกรธอย่างสุดความสามารถ
หลี่เวยถอนหายใจด้วยคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะง่ายดายปานนี้ ดวงตาเฉยชาเบนมองไปที่มุมหนึ่ง ตรงนั้นเขาเห็นจางเค่อกำลังทรุดนั่งอยู่บนพื้นสายตาจับจ้องไปทางบ้านหลังเก่าด้วยความหวาดกลัว กระทั่งเนื้อตัวก็ยังสั่นเทาโดยไร้หนทางควบคุม
จากที่หลี่เวยคิด ด้วยความสามารถของหลี่เวยคนเก่ามันคงจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะนำของทุกอย่างกลับคืนมาจากบรรดาญาติๆ ที่เห็นแก่ตัว แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่เวยคนเก่าถึงยังทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจนกระทั่งตกตายด้วยความหิวโหย
ถงซื่อเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมหมึกและพู่กันอีกจำนวนหนึ่ง นางยื่นมันให้กับเขาพร้อมกล่าวขอโทษขอโพยอีกยกใหญ่ ถึงขนาดที่จะให้เงินเขาเพื่อชดเชยเรื่องน่าอับอายเช่นนี้
ทว่าหลี่เวยก็เอ่ยปฏิเสธไป ถึงยังไงการมาของเขาครั้งนี้ก็คือการทวงคืนของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น หากเขายังโลภมากเกรงว่าฐานะของเขาในใจของชาวบ้านคงตกต่ำลงอีกครั้ง
เมื่อออกจากห่างบ้านหลังเก่าพอสมควรแล้ว คณะของหลี่เวยก็ได้ยินเสียงด่าทอเกรี้ยวกราดของสตรีดังลั่น มวลปักษาบินแตกกระเจิงด้วยความตกใจ
เสียงตบตีดังสนั่น คลอเคล้าเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังเสียดกระดูกจนหลายคนขนลุกชัน
"เอ้อโก่ว เงินนี้เจ้าเอาไปซื้อขนมกินกับเพื่อนๆ แล้วกัน ไว้ใกล้ค่ำเมื่อไหร่เจ้าค่อยกลับบ้าน"
หลี่เวยยื่นเงินมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เหล่าเด็กน้อยตามสัญญา เมื่อเด็กๆ ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วพวกเขาก็พากันเฮโลแยกย้ายออกไป
"ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านกับท่านอามากขอรับ หากไม่ได้พวกท่านเกรงว่าเรื่องราวคงจะไม่ง่ายดายเช่นนี้" หลี่เวยหันไปส่งยิ้มให้อีกสองคนที่เดินตามมาทางด้านหลัง
"ไม่เป็นไร มันเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว ข้าเห็นเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก วิ่งโทงเทงแก้ผ้าไปทั่วหมู่บ้าน สำหรับข้าเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับหลานแท้ๆ คนหนึ่ง" ชายชรากล่าวกลั้วหัวเราะ
หลี่เวยยิ้มเจื่อน ยกมือขึ้นกุมหน้าด้วยความอับอาย เอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก
"ระ เรื่องพวกนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวก็ได้กระมัง"
ท่าทีขวยเขินของชายหนุ่มทำให้ผู้ใหญ่บ้านเปล่งเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจ แม้แต่หม่าเซี่ยที่อาสาเข็นรถให้ชายหนุ่มก็ยังอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา
"อื้มๆ ไม่กล่าวแล้วๆ" ชายชราเอ่ยอีกสองสามคำก็ขอแยกทางกลับทั้งสอง
"ท่านอา ท่านจะไปไหนต่อหรือเปล่า" หลี่เวยยิ้มถามชายวัยกลางคนด้านหลัง
"อาจะกลับบ้าน ประเดี๋ยวจะเข็นรถให้เจ้าเอง" หม่าเซี่ยตอบพลางเข็นรถไปตามทางด้วยความเร็วคงที่
ระหว่างทางกลับสองฝ่ายไม่มีใครปริปากพูดแม้แต่คนเดียว บรรยากาศชวนอึดอัดดำเนินไปได้นานเท่าไหร่มิอาจทราบ หลี่เวยที่ทนไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้น
"ข้าได้ข่าวว่าเสี่ยวหยวนเดินทางไปหางานในตัวเมืองหรือ"
หม่าเซี่ยมองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจก่อนจะขานรับแผ่วเบา
"ใช่"
"เสี่ยวหยวนเป็นคนมีความสามารถ หากท่านอาไม่รังเกียจข้าอยากจะสอนหนังสือให้กับเขา"
ประหนึ่งมีฟ้าผ่ากลางใจ หม่าเซี่ยขมวดคิ้วน้อยๆ เขาจับจ้องไปยังชายหนุ่มบนรถเข็นด้วยความไม่เข้าใจ
"ตั้งแต่ที่ข้าตกต่ำ คนที่หวังดีต่อหน้าจริงๆ มีน้อยเสียจนสามารถนับได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ท่านอา ข้ารู้ว่าตลอดมาเป็นท่านที่คอยช่วยเหลือข้าอยู่เสมอ"
ไม่ต้องพูดถึงชีวิตของหลี่เวยคนก่อน เอาแค่เฉพาะตอนที่เขาเข้ามาสวมร่างนี้แล้วก็ได้
คนขาพิการเช่นหลี่เวยเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถจัดการเรื่องราวทุกอย่างด้วยตัวเองเช่นการตัดฟืนและหอบน้ำ
ฟืนที่จำเป็นต่อการก่อไฟทำอาหาร ปกติใช้เพียงไม่นานก็ควรจะหมดไป ทว่าบ้านของเขาไม่ว่าจะใช้มันมากแค่ไหนก็ไม่เคยหมดลง
น้ำที่จำเป็นต่อการใช้ทำสิ่งต่างๆ เช่นการกินหรือชำระร่างกาย แต่ไม่ว่าหลี่เวยจะใช้มันอย่างฟุ้มเฟือยมากแค่ไหน วันถัดมาของพวกนี้ก็จะกลับมาเต็มปริบจนแทบล้นโอ่งเช่นเดิม
ด้วยความสงสัยคืนหนึ่งเขาจึงแอบดูอยู่ในบ้านเงียบๆ และความจริงก็เปิดเผย เป็นท่านอาจากบ้านข้างๆ ผู้นี้ที่ทำทุกอย่างแทนเขา
หม่าเซี่ยมักจะแอบเอาฟืนจากบ้านของตัวเองมาทดแทนในส่วนที่เขาพึ่งใช้ไป อีกทั้งยังไปหอบน้ำจากลำธารท่ามกลางความมืดเพื่อทำให้น้ำกลับมาเต็มโอ่งอีกครั้ง
"ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าเสี่ยวหยวนอยากเรียนหนังสือ ฉะนั้นก็ให้ข้าสอนหนังสือเขาเป็นการตอบแทนเถิด" ชายหนุ่มกล่าวเสริม
หม่าเซี่ยยังไม่ทันตอบพวกเขาก็มาถึงบ้านเสียแล้ว จางไท่อิงพึ่งกลับจากการให้อาหารไก่จึงเห็นภาพนี้เจ้าพอดี
"ท่านพี่ เสี่ยวเวย พวกเจ้าไปไหนมาหรือ" หญิงวัยกลางคนยิ้มถาม
หลี่เวยมองใบหน้าอบอุ่นของท่านป้าก็เอ่ยตอบเสียงเจื้อยแจ้ว
"ท่านน้า ดูเหมือนท่านจะงามขึ้นอีกแล้ว"
"เจ้าเด็กบ้า ปากหวานจริงนะ" จางไท่อิงปิดปากหัวเราะร่า
หลี่เวยยิ้มจนตาหยี ก่อนเขาจะเข็นรถหมุนกลับมาสบตากับหม่าเซี่ยพลางเอ่ย
"ข้ารู้ว่าท่านไม่อาจตัดสินใจได้ทันที เพราะงั้นท่านกลับไปปรึกษากับท่านน้าก่อนเถิด"
"อื้ม" หม่าเซี่ยขานรับ สายตาจับจ้องร่างของเด็กหนุ่มที่เข็นรถห่างออกไปทุกที