บทที่ 11 แขกไม่ได้รับเชิญ

1866 คำ
หลี่เวยไม่ได้ต้องการคำตอบจากหม่าเซี่ยในทันทีเพราะชายหนุ่มรู้ถึงความกังวลใจของอีกฝ่าย ก่อนหน้าหลี่เวยมีนิสัยเช่นไรทุกคนล้วนทราบ และแม้ว่าช่วงนี้หลี่เวยจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าความกังวลและอคิที่เคยมีอยู่หายไปในทันที เรื่องนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของชายหนุ่ม หน้าที่ขอบเขาตอนนี้ก็คือรอ รอ และรอ หากโชคดีหม่าเซี่ยตอบรับข้อเสนอ อนาคตข้างหน้าหลี่เวยก็จะมีหนทางทำกินเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งทาง หม่าหยวนคือบุตรชายเพียงคนเดียวของหม่าเซี่ยกับจางไท่อิง ชายหนุ่มมีอายุน้อยกว่าหลี่เวยหนึ่งปีเห็นจะได้ ในนิยายมีเขียนถึงเขาอยู่ค่อนข้างมากทีเดียว เพราะอนาคตข้างหน้าเด็กหนุ่มบ้านนอกคนนี้จะมียศเป็นถึงผู้พิพากษาในเมืองหลวง ชื่อเสียงความซื่อสัตย์และยึดมั่นในคุณะธรรมของเขากลายเป็นที่ร่ำรือและนับถือของชาวบ้าน ทว่าความยึดมั่นและซื่อสัตย์ที่ว่าจะถูกเก็บลงไปเมื่อพระเอกของเรื่องได้รับภัยอันตราย ผู้พิพากษาและศาลหลวงคนนี้จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ไม่ว่าเขาจะถูกกดดันจากอำนาจของตัวร้ายหลักอย่างซ่งเป่ยเทียนแต่มันก็ไม่เคยสั่นคลอนจิตใจของเขาได้ สาเหตุที่เขาจงรักภักดีต่อพ่อพระเอกนักหนานั่นก็เป็นเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยเหลือหม่าหยวนไว้ แต่จะช่วยเหลือเรื่องอะไรหลี่เวยก็ไม่อาจทราบ หากตอนนี้เขาสามารถสอนหม่าหยวนให้อ่านออกเขียนได้ มีความรู้ความสามารถมากพอ อนาคตหากเขาเปิดธุรกิจขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอกับปัญหาที่ยากจะแก้ไข เทียบกับปัจจุบัน นับตั้งแต่ที่หลี่เวยถูกทุบตีจนข้าหัก เวลาก็ผ่านมาพอสมควร คงจะถึงเวลาที่พวกพระเอกนางเอกคงจะได้มาเจอกันแล้วกระมัง ที่เมืองสวีโจวเป็นที่อยู่อาศัยของนางเอกของเรื่อง ชื่อของนางคืออะไรสักอย่าง หลี่เวยจำไม่ค่อยได้ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือแซ่ของนางคือหลิน นางเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ ความเป็นอยู่ภายในจวนจึงย่ำแย่เสียยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ มารดาของนางชาติกำเนิดไม่ต่ำต้อย เสียดายก็แต่ตระกูลของมารดานางล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นนางเอกจึงมีความสามารถด้านการอ่านเขียนแม้จะไม่ได้รับการสอนสั่งจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง และด้วยความสามารถนี้ที่ทำให้นางมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนพบเข้ากับพระเอกของเรื่อง ในทุกๆ เดือนนางมักจะเขียนตำราวสันต์ตามความสนใจในช่วงวัยแล้วนำมันไปขายเพื่อหาเงินมาจุนเจือตัวเองและสาวใช้ผู้ภักดี ตามนิยายต้นฉบับคนเขียนมักจะเรียกนางเอกเป็นนามสมมุติสมัยที่แต่งแอบเขียนตำราวสันต์ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น...หงอี้? "....." หลี่เวยชะงักชค้าง จนถึงตอนนี้เขาพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ หรือว่าสตรีที่แต่งกายเป็นบุรุษคนนั้นจะเป็นนางเอกของเรื่อง! หลี่เวยคิ้วกระตุก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเคยเจอนางเอกก่อนพระเอกเสียอีก ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าตัวเขาไม่ได้ทำสร้างเรื่องให้นางต้องขุ่นข้องหมองใจ มิฉะนั้นพระเอกจิตป่วยที่มักจะกำจัดทุกคนที่ทำให้นางเอกไม่พอใจคงตามมาหักคอเขาถึงหมู่บ้าน แล้วแบบนั้นตัวเขาก็คงจะต้องตกตายไปด้วยความเศร้าโศกเป็นแน่ "ช่างเถอะ ไม่คิดเรื่องนี้แล้ว" หลี่เวยส่ายหน้าไปมาขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ชายหนุ่มเข็นรถมาหยุดที่ในห้องนอน ตรงมุมหนึ่งมีโต๊ะไม้ซึ่งความสูงกำลังพอดีเพียงพอที่เขาจะใช้มันเป็นที่ลงมือเขียนนิยายขาย เมื่อปัดกวาดข้าวของบนโต๊ะจนสะอาดเอี่ยมอ่องแล้วหลี่เวยจึงหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง หลังฝนหมึกเสร็จสรรพหลี่เวยจึงพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเขายังไม่ทันได้คิดนิยายที่จะเขียนเลย ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการคิดเนื้อหานิยายที่เขาเคยอ่านในชาติก่อนมาทำการรีไวเคิลเพื่อให้เข้ากับคนในยุคนี้ ไม่ว่ายังไงนี่ก็คือยุคโบราณ คงไม่มีใครรู้หรอกกระมังว่าเขาละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นน่ะ หลี่เวยยิ้มส่ายศีรษะให้ความคิดที่ไร้สาระของตน ก่อนจะลงมือเขียนเนื้อหาในนิยายบทแรกลงไปแต่หลังจากนั้นไม่นานหลี่เวยก็พึ่งจะตระหนักได้ถึงความยากลำบากบางอย่าง ซึ่งความลำบากที่ว่าก็คือความแตกต่างทางการใช้คำ ยุคสมัยปัจจุบันย่อมมีคำสมัยใหม่ซึ่งคนในยุคนี้ไม่มีทางเข้าใจ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลี่เวยต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ชายหนุ่มต้องใช้เวลาอยู่หลายชั่วยามในการเขียนนิยายหนึ่งบท กว่าจะเสร็จสิ้นก็ทำเอาชายหนุ่มปวดเมื่อยไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณหลังเอว ดวงตาสีดำขลับทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างก็เห็นว่าตอนนี้คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมุ่งตรงมา แต่จากลักษณะภายนอกที่แสดงออกแล้วหลี่เวยก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มาที่นี่ด้วยเจตนาอันดีเป็นแน่ ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบไสรถเข็นออกไปยังหน้าประตูบ้าน ก่อนจะลงมือปิดประตูลงกลอนเสียงดัง "หลี่เวย เจ้าอย่าหดหัวอยู่แต่ในบ้าน รีบออกมาซะ!" เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของใครบางคนดังลั่น หลี่เวยหดตาแคบ น้ำเสียงนี้เขาจำได้ดี ไม่ต้องใช้ความคิดให้ปวดหัวเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร "จางหยาง เจ้ามีอะไรก็พูดมา" "เจ้าสารเลว เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!" อีกฝ่ายตกคอกเสียงดังพลางออกแรงถีบประตูจนชายหนุ่มสะดุ้งโหยง หลี่เวยแค่นขมวดคิ้วมุ่น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขามั่นใจว่านอกจากเรื่องในวันนั้นตนเองก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขาอีก หรือว่าจางหยางจะโกรธแค้นฝันหุ่นเลยคิดมาเอาคืนเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงหลี่เวยก็ไม่มีสาเหตุให้ต้องประนีประนอมกันอีก ชายหนุ่มลอบวางแผนในใจ ดวงตาสีดำกลอกกลิ้งไปมาเล็กน้อยก่อนยิ้มเอ่ยวาจาที่เต็มไปด้วยความยั่วยุ "หึ คิดจะลงมือกับข้างั้นสิ?" "ถ้าใช่แล้วจะทำไม เจ้าทำให้บิดากับมารดาข้าต้องทะเลาะกัน แถมยังทำให้ลู่เหลียนทิ้งข้าไปอีก วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย" ประตูบ้านของหลี่เวยถูกอีกฝ่ายถีบจนมันทำท่าว่าจะหลุดออกมาอยู่รอมร่อ ชายหนุ่มราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้รีบเอ่ยกลั้วหัวเราะ "ที่เจ้าถูกทิ้งก็เพราะเจ้ามันไม่ได้เรื่อง แล้วจะมาโทษข้าได้ยังไง ฮ่าฮ่า" น้ำเสียงของหลี่เวยไม่ได้ดังมากนัก จึงมีแค่จางหยางผู้ยืนอยู่หน้าประตูที่ได้ยิน จางหยางโกรธมากเป็นทุนเดิม ตาขาวของเขาเต็มไปด้วยเลือดฝอยน่ากลัว ชายหนุ่มออกแรงถีบประตูจนมันหลุดออกไปทั้งบาน เมื่อสายตาสบเข้ากับเด็กหนุ่มบนรถเข็นที่นั่งยิ้มหน้าระรื่นความโกรธที่มากอยู่แล้วก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก เมื่อโทสะกลืนกินสติสัมปชัญญะของเขาจนสิ้นแล้ว จางหยางเดินปรี่เข้าหาอีกฝ่ายก่อนยกเท้าขึ้นถีบกลางหน้าอกจนหลี่เวยหงายท้องจนจากรถเข็นหัวฟาดพื้นเสียงดังลั่น สิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เหล่าหนุ่มสาว ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ไกลๆ ต้องตกตะลึง แม้พวกเขาจะไม่ชอบหลี่เวย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนพิการคนหนึ่ง แม้พวกเขาจะชั่วร้ายมากแค่ไหนก็ไม่กล้าพอที่จะลงมือกับอีกฝ่ายแน่นอน แต่คราวนี้จางหยางกลับลงมืออย่างโหดร้ายเช่นนี้ พวกเขาจะทนมองได้อย่างไร "จางหยาง เจ้าทำอะไร" ชายตัวอ้วนฉุผิวสีดำเมี่ยมรีบปรี่เข้าไปห้ามสหายสนิทเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใช้เท้าเตะไปบนร่างของหลี่เวยที่นอนกองอยู่บนพื้นหลายครั้ง "ข้าจะฆ่ามัน ไอ้สารเลวที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า เป็นแค่คนพิการคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนฮะ!" จางหยางราวกับหมาบ้า เขาพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้งหมายจะเข้าไปทำร้ายชายหนุ่มบนพื้นให้หายเจ็บใจ ชาวบ้านหลายคนที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็พากันเข้ามามุงดู และหนึ่งในนั้นก็มีหม่าเซี่ยและจางไท่อิงด้วย สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนจะแหวกฝูงชนเดินไปในบ้าน เมื่อเข้ามาใกล้พวกเขาก็ได้ยินเสียงด่าทอที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของจางหยาง "นี่มันอะไรกัน!" หม่าเซี่ยตกตะลึงก่อนที่อารมณ์ทั้งหมดจะแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว "เจ้าสารเลว เจ้าทำอะไรลงไป!" หม่าเซื่อโกรธจัด ชายวัยกลางคนชี้หน้าชายหนุ่มด้วยความโกรธจัด เมื่อได้ยินเสียงตะคอกประหนึ่งเสียงอัสนีกัมปนาทของหม่าเซี่ย จางหยางจึงได้สติกลับมา เขาหันมองชายวัยกลางคนที่จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนจะเบนสายตาไปยังชายหนุ่มอีกคนที่นอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางอ่อนแรง "ข้า...ข้า" ชั่วขณะจางหยางรู้สึกจนคำพูด เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องพูดอะไรดี จางไท่อิงปิดปากด้วยไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็น หญิงวัยกลางคนรีบเดินเข้าไปดูอาการของหลี่เวยก่อนจะส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว "เลือด! ท่านพี่ที่หัวของเสี่ยวเวยมีเลือดออก!" หม่าเซี่ยเดินเข้ามาดูก่อนจะเห็นว่าบนพื้นบ้านบริเวณศีรษะตอนนี้มีโลหิตสีแดงฉานไหลอาบย้อมเป็นวงกว้าง ฉับพลันเขารีบกุลีกุจอถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วปิดบริเวณหัวที่คาดว่าน่าจะเป็นปากแผลก่อนจะอุ้มร่างของชายหนุ่มขึ้นแล้ววิ่งไปทางด้านหลังของหมู่บ้าน "หลีกไป! หลีกไป!" ฝูงชนที่เห็นหม่าเซี่ยอุ้มเด็กหนุ่มที่ใบหน้าอาบไปด้วยเลือดออกมาก็ตกใจก่อนจะรีบแหวกเป็นทางเดินให้อีกฝ่าย ผู้ใหญ่บ้านจางพึ่งเดินมาถึงกลางหมู่บ้านก็ได้ยินว่าหม่าเซี่ยพาหลี่เวยไปหาหมอเหอที่ท้ายหมู่บ้านแล้ว คราแรกชายชราคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ใหญ่โตมากนักจึงไม่ได้แสดงท่าทีเร่งร้อน แต่เมื่อได้ฟังอาการของหลี่เวยที่ชาวบ้านคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังแล้วชายชราก็โกรธจนเคราสีขาวกระตุก "จางลี่เลี้ยงลูกอย่างไรจึงปล่อยให้เขาทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ เห็นทีว่าข้าคงต้องจัดการกับบ้านนี้อย่างเด็ดขาดเสียแล้ว" ชายชราโกรธจนหนวดกระตุก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม